คนกลุ่มหนึ่งยกโขยงขึ้นไปบนรถม้า พวกเขาพากันลงจากภูเขา จากนั้นรถม้าก็เลี้ยวบนถนนตรงทางแยกเข้าเมือง เดินทางไปบนถนนดินแดงเพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านนามู่เย่ว์
ภายในรถม้า เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก จึงเปิดอ่านตำรา ‘คัมภีร์ไท่ผิง’ ที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงมอบให้ นางอ่านไปเพียงหนึ่งหน้าโดยไม่ได้ใส่ใจมากนัก ทว่านางเพิ่งรู้ว่านี่คือตำราลมปราณภายในของลัทธิเต๋า
หลังจากที่อ่านได้หนึ่งบรรทัด เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าตำราเล่มนี้ไม่น่าสนใจ จึงพับเก็บตำราลงแล้วห่อเอาไว้ในผ้าอย่างดี จากนั้นยื่นให้กับชุ่ยเวย “ช่วยเก็บตำราเล่มนี้เอาไว้ให้ข้าที”
ชุ่ยเวยยิ้มแล้วพูดขึ้นด้วยความสงสัย “เหตุใดพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงจึงมอบคัมภีร์เล่มนี้ให้กับคุณหนูเจ้าคะ”
“คงเป็นเพราะว่าข้าได้ช่วยฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงที่หน้าวัดต้าเจวี๋ยไปครั้งหนึ่ง ทำให้วัดต้าเจวี๋ยของพวกเขาไม่ต้องเดือดร้อนกระมัง” เพราะถึงอย่างไร หากเกิดเรื่องขึ้นกับฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงที่หน้าวัดต้าเจวี๋ย ก็คงไม่ดีกับผู้เป็นเจ้าอาวาสของวัด
เมื่อเหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ ว่ากันว่าธาตุทั้งสี่[1]นั้นว่างเปล่า ทว่าดูท่าแล้วคงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
หลังจากที่ฮูหยินเฮ่อซีกลับจากวัดฉือซิน นางก็เล่าเรื่องทุกอย่างด้วยความละเอียดโดยไม่ตกหล่นแม้เพียงคำเดียวให้กับเฮ่อซีฟัง
ในวันที่สอง ขณะที่สองพี่น้องเหยาเฟิ่งเกอและเหยาเยี่ยนอวี่พูดคุยกันเป็นเวลานาน ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เฮ่อซีได้เล่าทุกเรื่องที่ได้ยินมาให้กับเว่ยจางฟัง
หลังจากที่เล่าจบนั้น มองดูสีหน้าเศร้าหมองของแม่ทัพเว่ยเซ่า เขาก็ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ไม่พูดไม่ได้ว่าสายตาของท่านแม่ทัพเว่ยเซ่านั้นช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก! คุณหนูเหยาผู้นี้มาเมืองอวิ๋นได้ไม่นาน ทว่ากลับได้รับการให้ความสำคัญจากจวนอัครเสนาบดี นางช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ! เท่าที่ข้าน้อยรู้ ท่านอัครเสนาบดีเฟิงจงเยี่ยดูแคลนเหยาหย่วนจือมาโดยตลอด มักจะหาเรื่องทำให้เหยาหย่วนจือต้องทุกข์ใจอยู่บ่อยครั้ง ทว่าคิดไม่ถึงว่าท่านจะมองบุตรีอนุภรรยาผู้นี้แตกต่างออกไป คาดว่าต้องมีบางอย่างซ่อนอยู่ภายในเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เว่ยจางปรายตามองเฮ่อซีครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “หากรู้สึกสงสัย เหตุใดจึงไม่ไปสืบเล่า”
“เฮ้อ!” เฮ่อซีถอนหายใจ ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ข้าน้อยได้ไปสืบแล้ว ทว่าคนของจวนอัครเสนาบดีกลับปิดปากเงียบ คนของพวกเราที่ไปสืบนั้นไม่ได้ความใดๆ แม้แต่น้อย”
“ในเมื่อไปสืบเรื่องนี้ที่จวนอัครเสนาบดีแล้วไม่ได้ความ เช่นนั้นพวกเจ้าไม่รู้จักไปสืบเรื่องนี้ที่วัดต้าเจวี๋ยและวัดฉือซินหรืออย่างไร รวมไปถึงจวนติ้งโหวอีกด้วย?” เว่ยจางมองเฮ่อซีพลางส่ายหน้าด้วยความจนใจ เขาถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “เฮ่อซีหนอเฮ่อซี ตอนนี้เจ้ายิ่งอยู่ก็ยิ่งทำงานได้เอื่อยเฉื่อยเข้าไปทุกที”
ที่ผ่านมา รองแม่ทัพเฮ่อซีทำงานด้วยความใจเย็นและมั่นคงมาโดยตลอด ทั้งยังรับผิดชอบงานต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี วันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขาถูกตำหนิว่า ‘เอื่อยเฉื่อย’ ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกว่าหากท่านแม่ทัพของตนได้สมรสเพื่อผูกไมตรีกับจวนติ้งโหว ถือเป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์ที่สุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้นำเรื่องของเหยาเยี่ยนอวี่มาใส่ใจ
ทว่าเขาคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าท่านแม่ทัพของตนจะสนใจคุณหนูเหยาถึงเพียงนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบลุกขึ้น พร้อมประสานมือสองข้างเข้าด้วยกันแล้วพูด “ข้าน้อยประมาทไปเสียแล้ว ท่านแม่ทัพ กรุณาผ่อนผันให้เวลาข้าน้อยอีกสองวัน ข้าน้อยจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด”
วันถัดมา เฮ่อซีไปสืบความสัมพันธ์ระหว่างจวนอัครเสนาบดีและคุณหนูเหยาที่วัดต้าเจวี๋ย แม้จะสืบไม่พบเรื่องใด ทว่ากลับเห็นขบวนรถม้าของเหยาเยี่ยนอวี่ออกไปจากวัดฉือซินกับตา
ย้ายออกไปแล้ว? เฮ่อซีรู้สึกว่านี่คือเรื่องใหญ่ จึงรีบให้คนไปถามคนในวัดฉือซินว่าเหยาเยี่ยนอวี่ไปที่ใด หลังจากที่ได้รู้ว่านางไปพักรักษาตัวที่บ้านนา ก็รีบกลับไปรายงานแม่ทัพเว่ยเซ่าอย่างรวดเร็วประดุจม้าบิน
พอเว่ยจางได้รู้ข่าวว่าเหยาเยี่ยนอวี่ย้ายออกไปจากวัดฉือซิน เพื่อที่จะไปพักรักษาตัวยังบ้านนามู่เย่ว์ ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบเท่าใดนัก เขาเพียงตอบกลับเฮ่อซีด้วยความเฉยเมย ทางด้านเฮ่อซีก็มิอาจคาดเดาได้ว่าท่านแม่ทัพเว่ยเซ่าคิดจะทำอะไรกันแน่ เขาจึงทำได้เพียงส่งคนไปสืบความสัมพันธ์ระหว่างจวนอัครเสนาบดีและคุณหนูเหยา
ทว่าคนของจวนอัครเสนาบดีกลับปิดปากเงียบอย่างเข้มงวด ในตอนนั้นหลิงซีจวิ้นจู่ทรงสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จึงทำให้ไม่มีใครเปิดเผยเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงเกิดอุบัติเหตุ ที่วัดต้าเจวี๋ยจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ทางด้านเฮ่อซีก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงนานหลายปี จึงทำให้เส้นสายในการสืบข่าวของเขาในเมืองหลวงมีไม่มาก เขาใช้เวลาทั้งหมดสิบวัน ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
วันที่หกเดือนเก้าคือวันที่ลู่ฮูหยินมีอายุครบห้าสิบปี ซุนฮูหยินน้อยเดินทางไปเรือนพักผ่อนจื่ออวิ๋นล่วงหน้าสามวัน เพื่อที่จะไปจัดงานฉลองวันเกิดให้ลู่ฮูหยินอย่างเงียบๆ ซึ่งนางบอกกับคนนอกว่าองค์หญิงต้าจั่งอยู่ในจวนแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย จึงใคร่อยากออกไปด้านนอก เพื่อพักผ่อนหย่อนใจและเปลี่ยนบรรยากาศ
ทางด้านองค์หญิงต้าจั่งและลู่ฮูหยิน รวมถึงเฟิงฮูหยินน้อย เหยาฮูหยินน้อยและซูอวี้เหิงก็ไปที่เรือนพักผ่อนจื่ออวิ๋นล่วงหน้าหนึ่งวัน พวกนางต่างก็บอกแค่ว่าจะไปเป็นเพื่อนองค์หญิงต้าจั่งเพื่อขึ้นเขาเที่ยวชมดอกเบญจมาศเบ่งบาน ล่องแม่น้ำเพื่อความเพลิดเพลิน ต่างก็ไม่เอ่ยถึงวันเกิดของลู่ฮูหยินแม้เพียงคำเดียว
ทว่าเหล่าราชนิกุลและตระกูลชั้นสูงล้วนเฉลียวฉลาดยิ่งนัก แต่ละคนต่างเตรียมของขวัญอย่างเงียบๆ จากนั้นส่งมาที่เรือนพักผ่อนบนภูเขา
ณ จวนติ้งโหว ของขวัญวันเกิดขององค์หญิงต้าจั่ง ติ้งโหวและลู่ฮูหยิน ทางจวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองได้จัดเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ในทุกปีก่อนที่จะถึงวันเกิดเหล่านี้ มารดาของเหยาเฟิ่งเกอซึ่งก็คือหวางฮูหยินจะให้คนส่งของขวัญมาที่เมืองหลวงล่วงหน้าเสียก่อน แน่นอนว่าในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน
ทางด้านเหยาเยี่ยนอวี่ที่รักษาตัวอยู่ในบ้านนานั้น แน่นอนว่าไม่สามารถออกไปได้ ทว่าข้างกายของนางมีคนของเหยาเฟิ่งเกออยู่ จึงมีคนเตือนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ งานฝีมือทางด้านเย็บปักถักร้อยของเหยาเยี่ยนอวี่นั้นไม่อาจให้ผู้อื่นชื่นชม งานภาพวาดและงานเขียนก็ไม่สู้ดีนัก หลังจากที่พิจารณาดูแล้ว ก็ไม่อาจให้สิ่งใดที่เหมาะสมได้ ด้วยเหตุนี้ นางจึงนั่งคัดลอกพระสูตร ‘วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร’ สิบเล่มอย่างหามรุ่งหามค่ำ จากนั้นใช้ผ้าต่วนสีเหลืองอำพันห่อไว้ แล้วสั่งให้บ่าวรับใช้ส่งไปให้เหยาเฟิ่งเกอ โดยกล่าวว่าตนคัดลอกตำรานี้แทนลู่ฮูหยินจากใจจริง ได้โปรดนำไปแจกจ่ายให้ผู้อื่น เพื่อเสริมสิริมงคลและความมีอายุยืนยาวให้กับลู่ฮูหยิน
เหยาเฟิ่งเกอชื่นชอบในของขวัญชิ้นนี้จากเหยาเยี่ยนอวี่ยิ่งนัก แม้นจะไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร ทว่านางคัดลอกด้วยตนเอง อีกทั้งเหล่าราชนิกุลราชวงศ์ต้าอวิ๋นล้วนนับถือในศาสนาพุทธ เหล่าฮูหยินที่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่งล้วนสร้างหอพระเอาไว้ในเรือน การที่อนุชนคัดลอกพระสูตรของพระพุทธองค์ให้กับผู้อาวุโสเพื่อสะสมสิริมงคลและความมีอายุยืนยาว ถือเป็นความกตัญญูสูงสุด อีกทั้งสถานะและสถานการณ์ของเหยาเยี่ยนอวี่ในเวลานี้ หากนางมอบของขวัญที่เป็นเครื่องประดับหรือสิ่งของล้ำค่านั้นเกรงว่าจะไม่เหมาะสม
ทางด้านลู่ฮูหยินก็ชื่นชอบของขวัญชิ้นนี้มากเช่นกัน ตอนที่นำของขวัญไปให้ ก็สั่งให้เหลียนหมัวมัวรีบรับเอาไว้ พร้อมทั้งกล่าวขึ้น “เด็กคนนี้ช่างมีน้ำใจไมตรีเหลือเกิน” และยังกำชับกับเหลียนหมัวมัว “นำไปบูชาบนหิ้งพระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นเวลาสามวันสามคืน จากนั้นค่อยส่งมอบให้กับผู้อื่น”
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสยิ่งนัก แสงแดดส่องจ้า ทว่ากลับไม่มีลมแม้แต่น้อย เนินเขาจื่ออวิ๋นที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์เป็นทุ่งดอกเบญจมาศที่กว้างใหญ่ บรรดาสตรีนั่งอยู่ตรงศาลาในเรือนพักผ่อนจื่ออวิ๋น พวกนางกำลังเพลิดเพลินกับดอกเบญจมาศไปพลางจิบน้ำชาพร้อมพูดคุยเล่นกันไป
นอกศาลา สาวใช้นำถ่านมาจุดไฟ แล้วใช้หม้อดินเผาขนาดเล็กต้มชาสดใหม่ที่ปลูกเอาไว้ในเรือนพักผ่อน โดยน้ำที่ใช้ต้มชานั้นเป็นน้ำแร่จากหุบเขา
องค์หญิงต้าจั่งทรงพึงพอใจกับการคัดลอกพระสูตรของเหยาเยี่ยนอวี่ยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถามเหยาเฟิ่งเกอ “อาการป่วยของน้องสาวเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เหยาเฟิ่งเกอคลี่ยิ้มแล้วตอบกลับ “ทำให้องค์หญิงต้าจั่งเป็นห่วงแล้วเพคะ หลังจากที่น้องสาวกินยาที่ผู้เฒ่าไป๋จ่าย อาการก็ดีขึ้น เพียงแต่เห็นผลค่อนข้างช้าเพคะ หากจะให้หายดีทั้งหมด เกรงว่ายังต้องใช้เวลาอีกหลายวัน ตอนนี้นางกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านนาเพคะ”
“คงไม่เป็นอะไรแล้วกระมัง เด็กคนนี้มีบุญวาสนา แค่โรคภัยไข้เจ็บเล็กน้อยอย่างนี้ มิอาจทำอะไรนางได้หรอก” องค์หญิงต้าจั่งตรัสขึ้น พร้อมแย้มยิ้มพลางทอดสายตามองซูอวี้เหิง “นิสัยใจคอของเหิงเอ๋อร์และนางเข้ากันได้ดี วันนั้นนางร้อนใจถึงขั้นที่จะพาคนไปที่วัดฉือซินให้ได้ ทำให้เกิดความวุ่นวายกันไปทั่วทั้งเมือง”
ซูอวี้เหิงคลี่ยิ้มแล้วคล้องแขนองค์หญิงใหญ่เอาไว้ด้วยท่าทีที่ออดอ้อน “หลานเป็นห่วงอาการของพี่เหยานี่”
ลู่ฮูหยินหัวเราะแล้วพูดขึ้น “ยัยหนูสามช่างมีจิตใจที่เมตตายิ่งนัก เป็นเด็กที่จิตใจดีจริงๆ”
องค์หญิงต้าจั่งลูบดวงหน้าเล็กๆ ที่มีเสน่ห์ของซูอวี้เหิงด้วยความรักใคร่ จากนั้นถอนหายใจก่อนพูดขึ้น “เฮ้อ! พวกเจ้าดูนิสัยที่ไม่รู้จักโตของนางสิ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าต้องหาคู่ครองเยี่ยงไรจึงจะทำให้วางใจได้”
ลู่ฮูหยินปรายตามองไปที่เฟิงฮูหยินน้อยอย่างเงียบสนิท เฟิงฮูหยินน้อยยกยิ้มพลันพูดขึ้น “ในปีนี้ ท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้นกั๋วกงได้ทำศึกสงคราม นำชัยชนะกลับมาให้ราชสำนัก มีทั้งแม่ทัพน้อย รองแม่ทัพและขุนพลดีเด่นที่อยู่ใต้บังคับบัญชา แม้นจะไม่มีหลายสิบคน ก็นับว่ามีสิบกว่าคน วีรบุรุษที่ยังหนุ่มยังแน่นเหล่านี้ ตอนนี้กำลังเป็นที่ชื่นชมยกย่องของคนทั่วไป จึงเป็นแหล่งคัดเลือกบุตรเขยที่ดีของเหล่าตระกูลกงและตระกูลโหวเพคะ”
[1] ธาตุทั้งสี่ หมายถึงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟซึ่งสื่อความหมายถึงความว่างเปล่า