เหยาเฟิ่งเกอที่ได้ฟังกลับรู้สึกว่า ไม่ได้เป็นเพียงแค่การที่ซูอวี้เหิงเชิญบุตรีในตระกูลสูงศักดิ์มาประลองพิณ ทุกคนล้วนรู้ดีว่าเหยาเยี่ยนอวี่เป็นน้องสาวของตน ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าในเมืองหลวงแห่งนี้มีเพียงแค่พี่สาวบุตรีภรรยาเอกคนนี้เท่านั้นที่นางจะสามารถพึ่งพิงได้ หากไม่คิดให้รอบคอบ เกรงว่าเมื่อถูกพูดออกไปคงจะไม่ดีกับชื่อเสียงของตน ไม่เพียงถูกผู้อื่นชี้หน้าด่าทอว่าเป็นบุตรีภรรยาเอกที่ปฏิบัติต่อบุตรีอนุภรรยาไม่ดี ทั้งยังอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจโหดร้ายไม่รักญาติมิตรของตน เรื่องนี้จะทำให้เสื่อมเสียต่อเกียรติยศและชื่อเสียงของจวนติ้งโหวและจวนข้าหลวงใหญ่ได้
ดังนั้นนับตั้งแต่ซูอวี้เหิงกลับไป วันถัดมาจวนองค์หญิงต้าจั่งและจวนติ้งโหวก็ส่งของมากมายไปยังบ้านนามู่เย่ว์
วันนี้นำของหวานและสุรามาให้ พรุ่งนี้ก็นำเมล็ดกินเล่นต่างๆ รวมถึงผลไม้และผักมาให้ วันมะรืนก็นำชุดน้ำชามาให้…จนกระทั่งเช้าวันที่สิบหกเดือนสิบ จวนองค์หญิงต้าจั่งก็ได้ส่งสาวใช้สิบสองคนมา โดยกล่าวว่าส่งพวกนางมาช่วยงาน เหยาเยี่ยนอวี่มองดูสาวใช้ทั้งสิบสองคนที่งดงามดั่งดอกต้นหอมนั้น ก็แทบจะร่ำไห้ทั้งน้ำตา
ความเป็นจริงเหยาเยี่ยนอวี่ก็ลงทุนลงแรงกับงานในครั้งนี้ไปไม่น้อย
แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็น ทว่าโชคดีที่ทางเหนือมีหิมะตกเพียงเล็กน้อย อากาศจึงดีมาก แสงแดดเจิดจ้า อีกทั้งป่าต้นพลับก็อยู่ตรงหุบเขาซึ่งด้านหลังมีลมพัดผ่านและหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ บนพื้นมีต้นหญ้ามากมาย แม้ว่าต้นหญ้าจะเหี่ยวเฉาทว่าข้อดีคือการที่เหยียบย่ำลงไปนั้น ผิวดินนุ่มและดินไม่ติดเท้า
เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้คนนำผ้าสักหลาดสีแดงมาปูบนพื้น จากนั้นก็สั่งให้คนนำไม้มาทำเป็นเก้าอี้สี่เหลี่ยมจัตุรัสเตี้ยๆ ขนาดสูงประมาณเจ็ดนิ้ว เก้าอี้เตี้ยนี้แตกต่างจากเก้าอี้เตี้ยที่ได้รับความนิยมในราชวงศ์ต้าอวิ๋น มันไม่มีที่เท้าแขนและไม่มีพนักพิงหลัง ซึ่งถ้าจะพูดตามตรงมันเป็นเพียงโต๊ะเหลี่ยมเตี้ยๆ เท่านั้น ส่วนด้านบนก็ปูผ้าสักหลาดหนาๆ หุ้มเอาไว้ วางโต๊ะเตี้ยแล้ว จากนั้นก็นำเบาะนั่งหนาๆ มาวางอยู่รอบทั้งสี่ทิศของโต๊ะเตี้ย
นางนำอาหาร ของกินเล่นและน้ำชาวางเอาไว้บนโต๊ะเตี้ย จัดให้ทุกโต๊ะนั่งกันเพียงสี่คน โดยคิดตามจำนวนคนที่มางาน นางได้จัดโต๊ะเตี้ยเช่นนี้ทั้งหมดหกตัว นอกจากนี้ยังมีฉากกั้นสิบสองพับอีกหกฉากกั้นเอาไว้ โดยนำมาวางทางทิศตะวันตกและทิศเหนือเพื่อกั้นลม กั้นลมหนาวที่จะพัดผ่านเข้ามา อีกทั้งยังมีตั่งนั่งตัวยาวขนาดเล็กวางไว้ด้านนอก เพื่อให้สาวใช้ที่คอยติดตามคุณหนูตระกูลต่างๆ มานั่งพัก
น้ำชา ขนม เมล็ดทานเล่นและผลไม้ล้วนเป็นของสดใหม่ ส่วนอาหารหลักในวันนี้คือหม้อไฟ
เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้คนฆ่าแพะห้าตัว จากนั้นก็นำเนื้อแพะไปแช่เย็นในถังน้ำแข็งที่สะอาด นำเนื้อแพะหั่นบางๆ แล้วนำก้อนน้ำแข็งมาแช่เอาไว้เพื่อคงความสดของเนื้อ ส่วนน้ำแกงของหม้อไฟนั้น นางได้ใช้ไก่ป่าและเห็ดป่ารวมถึงเครื่องเทศต่างๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกายทำให้ร่างกายอบอุ่นมาตุ๋นเป็นน้ำแกงไก่ที่หอมกรุ่น และนำผักสดสารพัดชนิดมาวางเอาไว้บนถาดอย่างเป็นระเบียบ
ทั้งหมดนี้เหยาเยี่ยนอวี่ได้ปรึกษาหารือกับซูอวี้เหิงแล้วค่อยทำ ในราชวงศ์ต้าอวิ๋นเมื่อถึงฤดูหนาวก็มีการรับประทานหม้อไฟเช่นเดียวกัน เพียงแต่การรับประทานหม้อไฟของพวกเขานั้นคือการทำให้สุกแล้วค่อยยกมา จากนั้นใส่ถ่านเพิ่มเข้าไปอีกสองก้อนแล้วมาตุ๋นกิน พวกเขาไม่มีวัฒนธรรมในการใช้เนื้อสดและผักสดใส่ลงไปในหม้อไฟ ด้วยเหตุนี้เหยาเยี่ยนอวี่จึงเตรียมผักสดกว่ายี่สิบชนิดเพื่อเอาไว้ให้ใส่เข้าไปในหม้อไฟ ตั้งแต่คุณประโยชน์ทางโภชนาการและหน้าตาสีสันของอาหารนั้น นางล้วนจัดเตรียมด้วยความตั้งใจ นางได้นำกลิ่นอายของหม้อไฟในโลกยุคปัจจุบันมาไว้อย่างแท้จริง
เช้าตรู่วันที่สิบหกเดือนสิบ รถม้าของซูอวี้เหิงได้จอดรอเอาไว้ตรงด้านนอกประตูเมืองทางใต้
คุณหนูรองหันหมิงชั่นแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง รวมถึงน้องสาวทั้งสองซึ่งเป็นบุตรีอนุภรรยาหันหมิงหลังและหันหมิงเจวี๋ย ทั้งสามคนนั่งรถม้ามาสองคันพร้อมทั้งพาบ่าวไพร่และสาวใช้เดินทางกันมาอย่างช้าๆ
ซูอวี้เหิงเดินลงมาจากรถม้า นางเดินขึ้นหน้าแล้วกล่าวทักทายด้วยความดีใจ หันหมิงชั่นร้องเรียกให้ซูอวี้เหิงขึ้นไปบนรถม้าของตน เพื่อพูดคุยเสวนากัน
เพียงไม่นาน อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ซึ่งเป็นบุตรีภรรยาเอกของเฉิงอ๋องและน้องสาวของนางอวิ๋นเหมยผู้เป็นบุตรีอนุภรรยาก็มาถึง พวกนางนั่งรถม้าแยกกันมาสองคัน
อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่เป็นสตรีที่หยิ่งทระนง เดิมทีนางไม่คิดจะมา ทว่าเห็นแก่หน้าขององค์หญิงต้าจั่ง เมื่อได้รับเทียบเชิญที่ซูอวี้เหิงเขียนด้วยตนเองนั้น มารดาของนางจึงเกลี้ยกล่อมให้นางพาน้องสาวที่เป็นบุตรีอนุภรรยามาด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน อวิ๋นเคอซึ่งเป็นบุตรีภรรยาเอกของเยี่ยนอ๋อง รวมถึงบุตรีอนุภรรยาอวิ๋นซีและน้องสาวอวิ๋นยั่ง ทั้งสามพี่น้องก็มาถึง ด้านหลังรถม้าของอวิ๋นเคอคือ บุตรีคนโตเกาเสวี่ยเจียวกับบุตรีคนรองเกาเสวี่ยซูของภรรยาเอก และบุตรีอนุภรรยาเกาเสวี่ยจื่อของจิ้งโหว
จากนั้นซย่าเจี๋ยฮุ่ยซึ่งเป็นบุตรีภรรยาเอกธิดาคนโตของเฝินหยางปั๋ว รวมถึงหลานสาวของอัครเสนาบดีเฟิงจงเยี่ยซึ่งก็คือพระราชนัดดาของฮองเฮาเหนียงเหนียงเฟิงจื่อเย่ว์และเฟิงจื่อซิงก็ทยอยมาถึง
ซูอวี้เหิงเห็นว่าคนมากันครบแล้ว รถม้าคันงามจอดเรียงรายอยู่หน้าประตูเมือง มองดูแล้วช่างงดงามยิ่งนัก
ซูอวี้เหิงมีรายชื่ออยู่ในมือ เมื่อมาหนึ่งคนนางก็จะจดเอาไว้ เหตุเพราะนางกลัวว่าจะมีผู้ใดตกหล่น หลังจากที่นางตรวจดูรายชื่อเป็นครั้งสุดท้ายนั้น ก็พบว่าเหลือเพียงบุตรีอนุภรรยาของมหาบัณฑิตหอเกียรติยศเฟิงเซ่าผิง ซึ่งก็คือเฟิงซิ่วอวิ๋นผู้เป็นญาติฝ่ายภรรยาของซูอวี้ผิงยังมาไม่ถึง ด้วยเหตุนี้นางจึงพูดด้วยความร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้นกับพี่เฟิงกัน เหตุใดจึงยังมาไม่ถึง”
เฟิงจื่อเย่ว์ผู้เป็นหลานสาวของอัครเสนาบดีจึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “เหิงเอ๋อร์ เจ้าหมายถึงพวกเราสองพี่น้องหรือ”
“อ๊ะ! มิใช่ หาใช่พวกพี่เจ้าค่ะ” ซูอวี้เหิงยิ้มแล้วรีบพูดขึ้น “ข้าหมายถึงพี่เฟิงที่เป็นคนในตระกูลฝ่ายมารดาของพี่สะใภ้ใหญ่”
หันหมิงชั่นคลี่ยิ้มแล้วพูด “ทั้งสองตระกูล ตระกูลหนึ่งแซ่เฟิง อีกตระกูลหนึ่งก็แซ่เฟิง เป็นเช่นนี้ช่างยากที่จะแยกแยะเหลือเกิน”
เฟิ่งจื่อเย่ว์และเฟิงจื่อซิงสบตากันแล้วยิ้ม จากนั้นก็ไม่ได้พูดสิ่งใดให้มากความ
แต่กลับกลายเป็นอวิ๋นเหยาที่ทนรอจนหงุดหงิด นางเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วพูดเร่ง “ยังต้องรออีกนานเท่าใด ออกมาแต่เช้าตรู่เช่นนี้ เวลานี้มันกี่ยามแล้วเหตุใดจึงยังไม่ไปอีก ประเดี๋ยวไปถึงบ้านนาเกรงว่าฟ้าจะมืดค่ำเสียก่อน”
ในบรรดาสตรีสูงศักดิ์ ตำแหน่ง ‘จวิ้นจู่’ ของอวิ๋นเหยาสูงศักดิ์ที่สุด เมื่อนางกล่าวคำพูดเช่นนี้ ผู้อื่นก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
กลับเป็นหันหมิงชั่นซึ่งเป็นบุตรีขององค์หญิงใหญ่ นางไม่อยากเห็นซูอวี้เหิงต้องกระอักกระอ่วนเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้นางจึงเลิกม่านขึ้นแล้วกล่าวคำพูดโน้มน้าว “ตกลงกันแล้วว่าจะออกเดินทางยามซื่อ[1] ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกครู่หนึ่งไม่ใช่หรือ บ้านนาหลังนั้นก็อยู่ไม่ไกล ถึงอย่างไรก็ถึงบ้านนาก่อนเที่ยงอย่างแน่นอน”
อวิ๋นเหยาขมวดคิ้วเป็นปม ถือว่าให้เกียรติหันหมิงชั่น นางไม่ได้พูดสิ่งใดให้มากความอีก เพียงแต่ยกมือขึ้นปิดม่านลงอย่างแรงเท่านั้น
แน่นอนว่าซูอวี้เหิงเองก็เป็นกังวลยิ่งนัก ขณะที่นางกำลังจะสั่งให้สาวใช้ไปดูว่าเฟิงซิ่วอวิ๋นเป็นอะไรหรือไม่นั้น ผัวจื่อที่อยู่ด้านหลังก็รีบวิ่งมารายงาน “คุณหนู รถม้าของคุณหนูเฟิงมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“ดีมาก คนมาครบแล้ว พวกเราไปกันได้แล้ว” ซูอวี้เหิงพูด แล้วบอกกับผัวจื่อ “ไปบอกผู้คุ้มกันด้านหน้า เตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว”
ด้วยเหตุนี้รถม้าหรูของเหล่าคุณหนูผู้มั่งคั่งก็ขับเคลื่อนออกไปคันแล้วคันเล่า ทั้งหน้าและหลังโดยรวมแล้วมีรถม้าคันใหญ่สิบกว่าคัน อีกทั้งด้านหลังก็มีรถม้าที่พวกสาวใช้และผัวจื่อนั่งไปอีกสิบกว่าคัน ด้านหน้ามีผู้คุ้มกันเป็นหัวขบวน ด้านหลังเป็นพวกบ่าวรับใช้ ถือเป็นขบวนรถม้าที่ยิ่งใหญ่นัก
เหตุเพราะคุณหนูทั้งหลายล้วนมีฐานันดรศักดิ์ที่สูงส่ง อีกทั้งหนึ่งในนั้นก็มีอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านที่เข้าและออกนอกเมืองจึงถูกผู้คุ้มกันปิดทางขวางกั้นเอาไว้ครู่หนึ่ง หลังจากที่รถม้าสิบกว่าคันนี้เคลื่อนตัวไปแล้ว จึงจะให้เดินเข้าออกได้
ประจวบเหมาะในเวลานี้ถังเซียวอี้และเก๋อไห่กำลังออกนอกเมือง เพื่อไปทำงานที่สนามล่าสัตว์ของราชวงศ์ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองอวิ๋นตู พวกเขาถูกผู้คุ้มกันของจวนองค์หญิงใหญ่ปิดทางขวางเอาไว้ตรงประตูเมือง จึงได้เห็นขบวนรถม้าโอ่อ่าเรียงยาวกำลังเคลื่อนตัว เขาอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “สวรรค์ ช่างยิ่งใหญ่ยิ่งนัก นี่…นี่จะไปทำอะไรกัน”
ผู้คุ้มกันที่ปิดทางขวางกั้นถังเซียวอี้และเก๋อไห่ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า เมื่อได้ยินถังเซียวอี้พูดเช่นนี้ จึงยิ้มแล้วพูดตอบ “คุณหนูสามเชิญบรรดาคุณหนูทั้งหลายไปเที่ยวเล่นนอกเมืองขอรับ ล้วนเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ หนึ่งในนั้นคือจวิ้นจู่ ในเมื่อทุกคนล้วนไม่มีเรื่องด่วน เช่นนั้นได้โปรดเห็นใจด้วย”
ถังเซียวอี้พยักหน้า “ไอ้หยา! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหล่าสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายจะไปเที่ยวเล่นที่ใด อีกอย่างฤดูนี้แล้ว ชานเมืองยังจะมีทิวทัศน์งดงามใดให้ชมอีก”
“เรื่องนี้พวกข้าเองก็บอกไม่ได้ ข้าแค่ทำหน้าที่ตรงประตูเมือง ผู้ที่ติดตามไปคอยคุ้มกันนั้นคือผู้อื่น”
[1] ยามซื่อ เวลา9.00น. – 11.00น.