ตลอดระยะเวลาสามวันติดต่อกัน เหยาเฟิ่งเกอไม่ได้ใช้ธูปหอมที่ช่วยให้ผ่อนคลายอีกต่อไป และไม่ได้ดื่มยาต้มด้วย แน่นอนว่าซานหูได้ปิดบังเรื่องของยาต้ม และนางก็ได้บอกกับผู้อื่นว่านายหญิงของนางได้ดื่มยาต้มมาโดยตลอด ทว่าในความเป็นจริงนางแอบเทมันลงไปในกระโถน
สามวันมานี้ เหยาเฟิ่งเกอมีบางเวลาที่ได้สติ และทุกครั้งที่นางเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ นางจะทำได้เพียงหลั่งน้ำตา ในวันที่สี่เหยาเยี่ยนอวี่ตรวจจับชีพจรให้เหยาเฟิ่งเกอ ใบหน้าของนางปรากฏความยินดีจางๆ เส้นลมปราณกระเพาะของเหยาเฟิ่งเกอดีขึ้นมาก ด้วยเหตุที่นางฝังเข็มตามจุดฝังเข็มต่างๆ ของเส้นลมปราณในส่วนของไต ทำให้ชี่ของไตสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ธาตุไฟในบริเวณตับลดลงเล็กน้อย
แพทย์แผนจีนมองว่าอวัยวะภายในทั้งห้า นั้นย่อมมีความสัมพันธ์กับทฤษฎีปัญจธาตุ เส้นลมปราณของหัวใจคือธาตุไฟ เส้นลมปราณของตับคือธาตุไม้ เส้นลมปราณของม้ามคือธาตุดิน เส้นลมปราณของปอดคือธาตุทอง และเส้นลมปราณของไตคือธาตุน้ำ ความสัมพันธ์ของปัญจธาตุเชื่อมโยงเป็นสายระโยงระยาง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก การรักษาแบบแพทย์แผนจีนจึงวนเวียนอยู่กับทฤษฎีนี้เป็นหลัก
สิ่งนี้ไม่เหมือนกับการรักษาของแพทย์ตะวันตกแม้แต่น้อย เริ่มแรกที่นางศึกษานั้น เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกไม่คุ้นเคยเลย แต่เมื่อใช้เวลาในการศึกษาสิบปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ไม่สั้นเลย บวกกับความเฉลียวฉลาดของนาง แม้ว่าวันนี้จะเป็นครั้งแรกของนาง แต่นางก็สามารถแสดงพรสวรรค์ของตนออกมาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเห็นผลลัพธ์ที่ดี ดูเหมือนว่าอารยธรรมจีนนั้นช่างลึกซึ้งอย่างแท้จริง ความอัศจรรย์ทางด้านการแพทย์แผนจีนนั้นไม่ได้มีแค่ในตำนานเท่านั้น
“คุณหนูเจ้าคะ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ซานหูเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ภายในใจของนางรู้สึกว่าได้รับการปลอบประโลมเป็นอย่างยิ่ง หลายวันมานี้ คุณหนูรองก็ถือว่าตั้งใจและเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ซานหูรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในข้าวต้มของพี่สาวสามารถใส่ใบผักกาดได้ทุกครั้ง สำหรับใบผักกาดชนิดใด…กลับไปข้าจะเขียนให้เจ้า แล้วเจ้าก็วานให้คนที่เหมาะสมไปซื้อ ห้ามทำให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องสังเกตเห็นเรื่องนี้โดยเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“อีกอย่าง เจ้ากับหลี่หมัวมัว พวกเจ้าทั้งสองคนต้องคอยเกลี้ยกล่อมพี่สาวตอนที่นางได้สติว่า โรคของนางต้องดีขึ้น อาการของนางสามารถรักษาได้ และนางจะไม่มีทางสิ้นใจ พูดในเชิงโน้มน้าวใจ หน้าที่ของพวกเจ้าก็คือต้องหว่านล้อมให้พี่สาวเชื่อให้ได้” เหยาเยี่ยนอวี่กำชับอย่างหนักแน่น
ซานหูจึงมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ความหมายของคุณหนูคือนายหญิงของพวกเราต้องหายดีใช่หรือไม่ ท่านมั่นใจแล้วใช่หรือไม่” ผู้ที่รู้สึกหมดหวังอย่างที่สุดก่อนหน้านี้ เวลานี้การได้ยื่นมือไปคว้าฟางสักเส้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีแล้ว
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เหยาเยี่ยนอวี่มองเหยาเฟิ่งเกอที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ จากนั้นนางจึงลากซานหูไปคุยด้านข้างด้วยเสียงเบา “เจ้าลองคิดดีๆ ถ้าคนในครอบครัวหรือแม้แต่หมอหลวงบอกว่าเจ้าได้ป่วยเป็นโรคร้าย อีกทั้งไม่สามารถรักษาได้แล้ว เจ้าจะเป็นเช่นไร เจ้าคอยติดตามรับใช้พี่ใหญ่มาหลายปีเพียงนี้ คงจะเคยได้ยินคำว่า สามคนกลายเป็นเสือ ชี้กวางเป็นม้าได้ โรคนี้อาจไม่ได้หนักหนาสาหัสเช่นนั้น แต่พอถูกพวกเจ้าพูดกรอกหูซ้ำๆ ซากๆ นางจึงล้มป่วยหนัก และคิดว่าตนคงไม่มีทางรอด พี่สาวไม่เชื่อว่าตนจะหายป่วย เช่นนี้แล้วโรคนี้จะรักษาต่อไปได้อย่างไร”
“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ซานหูจึงรีบก้มหน้าลง ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ตั้งแต่ฮูหยินน้อยรองได้เผลอหลุดปากออกมาโดยที่ไม่ตั้งใจ ด้วยคำพูดว่าโรคที่นายหญิงของนางเป็นคงไม่มีทางรักษาให้หายดีแล้ว แม้กระทั่งหมอหลวงยังกล่าวว่าโรคนี้ช่างเป็นโรคที่เกินจะต้านลิขิตสวรรค์จริงๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สภาพจิตใจของนายหญิงก็ไม่เคยดี นางกินอาหารไม่ลง สีหน้าบูดบึ้งทุกวัน ความวิตกกังวลนี้เป็นเหตุทำให้นางที่ไม่ได้ป่วยหนัก อาการทรุดจนล้มป่วยหนักถึงเพียงนี้
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นซานหูฟังรู้ความ จึงไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก
เหยาเหยียนเอินส่งน้องสาวเสร็จ เขาก็พักอาศัยอยู่ในจวนโหวอีกสองวันก็ได้เวลากลับ ก่อนจะจากไป เขามาพบหน้าเหยาเยี่ยนอวี่อีกครั้ง และกำชับนางต้องดูแลตนเองดีๆ อย่าคิดถึงแต่คนในครอบครัวจนไม่ทำตามกฎระเบียบและมารยาท เหยาเยี่ยนอวี่ก้มหน้าลงพลางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ และก็ขานรับไม่หยุด
ในเรือนหลักของจวนโหว เหล่าสาวใช้ต่างอยู่ข้างนอก ทำให้ภายในเรือนนั้นเงียบสงบ
ลู่ฮูหยินเพิ่งจะจุดธูปไหว้เจ้าแม่กวนอิมเสร็จ และกำลังจะเปิดอ่านคัมภีร์สวดมนต์ ไม่ทันไรก็ถูกเสียงม่านประตูตรงด้านหลังก่อกวน เหลียนหมัวมัวกลับจากประตูหลังและโบกมือให้เหล่าสาวใช้ เพื่อให้พวกนางแยกย้ายกันไป จากนั้นก็เข้ามาในเรือนนอนพลางขยับเข้าไปใกล้ข้างหูของลู่ฮูหยิน แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “สาวใช้เตี้ยนหลานรายงานว่า ในเรือนฮูหยินน้อยสามได้หยุดใช้ธูปหอมกล่อมประสาทแล้วเจ้าค่ะ”
ดวงตาของลู่ฮูหยินเบิกกว้างและค้างไว้ จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ “ถึงเวลานี้แล้ว จะใช้หรือไม่ใช้ธูปหอมกล่อมประสาทก็เหมือนกันมิใช่หรือ”
“ฮูหยินกล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ” เหลียนหมัวมัวยิ้มจางๆ แม้แต่หมอหลวงจางที่เก่งกาจที่สุดในสำนักหมอหลวงยังบอกว่านางคงมีชีวิตอยู่ต่อได้ไม่ถึงเดือน ต่อให้เป็นผีสางเทวดาก็ไม่อาจต้านลิขิตสวรรค์นี้ได้
สีหน้าของลู่ฮูหยินแปรเปลี่ยนจากนั้นก็เอาคัมภีร์สวดมนต์ข้างมือวางกลับไปที่เดิม แล้วถามด้วยเสียงเรียบเฉย “ใครเป็นคนสั่งให้หยุดใช้ธูปหอมกล่อมประสาท”
“คุณหนูรองเหยาเจ้าค่ะ” เหลียนหมัวมัวตอบกลับด้วยเสียงต่ำ “คุณหนูรองเหยาบอกว่า กลิ่นธูปหอมแรงเกินไป กลัวว่าผู้ป่วยจะทนไม่ไหว ดังนั้นจึงให้หยุดใช้ แล้วยังบอกว่า อย่างไรฮูหยินน้อยสามก็ไม่สามารถดื่มยาต้มเข้าสู่ร่างกายมาหลายวันแล้ว และยังสะลึมสะลืออยู่ตลอดเวลา จึงไม่จำเป็นต้องใช้ธูปเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดเจ้าค่ะ”
ลู่ฮูหยินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “นั่นก็ถูก”
“เตี้ยนหลานบอกว่า คุณหนูรองเหยาเฝ้าอยู่ตรงหน้าเตียงนอนของฮูหยินน้อยสามทุกวัน บอกว่าจะคอยดูแลนาง แต่ก็ไม่เห็นจะทำสิ่งใดเลยเจ้าค่ะ”
“ปล่อยให้นางทำไปเถอะ พวกนางเป็นพี่น้องกัน เวลานี้จึงมักมีคำพูดมากมายพูดคุยกัน” ลู่ฮูหยินเอ่ยจบ ค่อยๆ หลับตาลง จากนั้นก็นับลูกประคำในมือ
ในเรือนหลัง ภายในเรือนของเฟิงฮูหยินน้อย สตรีผู้เป็นฮูหยินของบุตรชายคนโต สาวใช้ของซุนซื่อนามว่า ชิงซิ่ง และสาวใช้ของเฟิงฮูหยินน้อยนามว่า ไฉ่จู มาอยู่ด้วยกันและได้แอบพูดคุยกันเสียงเบา
“พี่ไฉ่จู ได้ยินมาว่าทางฮูหยินน้อยสาม แม้แต่ยายังหยุดดื่มแล้วหรือ” ชิงซิ่งถามขึ้น
“คงไม่ใช่หรอกกระมัง? ยาสมุนไพรก็ยังคงต้มในโรงครัวแล้วส่งไปที่เรือนนั้นทุกวัน” ไฉ่จูขมวดคิ้วขึ้นแล้วตอบกลับ “เจ้าอย่าได้พูดจาเรื่อยเปื่อยสิ ถึงอย่างไรฮูหยินน้อยสามไม่มีทางหยุดดื่มยาแน่นอน”
“โธ่ ข้าไม่ได้หมายความเยี่ยงนั้นสักหน่อย ผู้อื่นใช้ก็แค่โสมเขากวาง จะมีค่าเท่าใดกันเชียว? ข้าได้ยินมาว่า คุณหนูรองเหยาเป็นคนสั่ง อย่างไรยาต้มที่ฮูหยินน้อยสามดื่มเข้าไป นางก็อาเจียนออกมาอยู่แล้ว จึงไม่อยากให้นางต้องทรมานดื่มมันอีก”
“ที่กล่าวมาก็ถูกต้อง ดื่มไปก็อาเจียนออกมาเสียเปล่า ไม่ควรต้องไปทนทุกข์ทรมานอีก”
“นี่ไม่ใช่ว่าเป็นพี่สาวทางสายเลือดของนางหรอกหรือ ทำเช่นนี้โหดเหี้ยมเกินไปหรือเปล่า เจ้าบอกว่าวันข้างหน้านางจะได้กลายเป็นฮูหยินน้อยสาม ไม่รู้ว่าจิตใจของนางจะโหดเหี้ยมเท่าใดกัน”
“คุณหนูที่มีอนุภรรยาเป็นมารดาให้กำเนิด เจ้าจะไปคาดหวังให้นางมีจิตใจที่กว้างขวางอีกหรือ แค่พอตัวก็พอแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ยศขุนนางที่เป็นข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองล่ะก็…ใช่หรือไม่เล่า” ไฉ่จูที่กำลังจะพูดก็หยุดลง จากนั้นก็หัวเราะอย่างเบิกบาน
“โธ่! สงสารคุณชายสามของพวกเราเสียจริง”
“ไป! เจ้ามีอะไรน่ากังวลอีก เจ้าไม่ใช่คนของครอบครัวคุณชายสามสักหน่อย มีคุณชายรองคอยรักใคร่เจ้าก็พอแล้ว”
“พี่สาวพูดจาขบขันอีกแล้ว! หรือจะให้คุณชายใหญ่รักใคร่เจ้าด้วย?”
ในค่ำคืนนี้ ซูอวี้เสียงก็ได้กลับไปเยี่ยมเยือนและดูอาการป่วยของเหยาเฟิ่งเกอตามปกติ เหยาเฟิ่งเกอยังคงนอนอยู่บนเตียงอย่างสะลึมสะลือ ซานหูกล่าวว่าหนึ่งชั่วยามก่อน ฮูหยินน้อยสามได้ตื่นขึ้นมาแล้วดื่มน้ำไปครึ่งถ้วย
ซูอวี้เสียงยืนอยู่ในเรือนสักพักแล้วก็ออกไป จากนั้นเดินออกไปอยู่ตรงใต้ชายคาระเบียงพลางถามขึ้น “ช่วงนี้คุณหนูรองเป็นเช่นไรบ้าง”
สาวใช้คนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อสีฟ้าครามตรงใต้ชายคาระเบียงจึงได้ค้อมตัวลงแล้วตอบกลับว่า “ปกติคุณหนูรองจะมาเยี่ยมเยือนฮูหยินน้อยสามหลังทานอาหารเช้าและอาหารเที่ยงเสร็จ และถ้าตอนกลางคืนฮูหยินน้อยสามไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร นางก็จะไม่มาเยือนเจ้าค่ะ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าล่ะหลายคืนที่ผ่านมานี้ เขามาแล้วไม่เจอหน้านางเลย นัยน์ตาของซูอวี้เสียงเปล่งประกาย จากนั้นก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก พลางกลับเข้าไปในเรือน
นี่เป็นวันที่สิบสองที่เหยาเยี่ยนอวี่เข้าจวนโหว เหยาเฟิ่งเกอตื่นขึ้นมาในเวลากลางวันได้นานยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถนอนพิงอยู่บนหมอนเพื่อพูดคุยเล่นกันกับเหยาเยี่ยนอวี่ อาการของนางดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งนางยังสามารถกินอาหารที่เป็นของเหลวได้หลากหลาย อย่างเช่น ข้าวโพดบดตุ๋น รังนกตุ๋น และเห็ดหูหนูขาวตุ๋น หลี่หมัวมัวที่ไม่รู้ว่าไปแอบสวดมนต์อันเชิญพระไตรปิฎกและเจ้าแม่กวนอิมที่ดินแดนชมพูทวีปมากี่ครั้ง เวลานี้นางได้มองเหยาเยี่ยนอวี่เป็นผู้มีพระคุณของนางไปแล้ว
Related