“เจ้าบอกให้คุณหนูเหยาวางใจเถอะ” เฟิงเซ่าเชินยิ้มอย่างมีเลศนัย ทำเอาหยิ่นเห้อขนลุกชันไปทั้งร่าง
“คุณชาย ท่าน…ให้บ่าวไปเช่นนี้ ใช่ว่าคุณหนูเหยาจะโผล่หน้าออกมาให้พบนี่ขอรับ!”
“เจ้าไม่ไปแล้วจะรู้ได้อย่างไร!” เฟิงเซ่าเชินกล่าวพลางผลักหยิ่นเห้อลงจากรถม้า พร้อมทั้งออกคำสั่งกับบ่าวที่ตามมา “ให้ม้าเร็วกับเขาหนึ่งตัว”
หยิ่นเห้อรับบังเหียนม้า จากนั้นกระโดดขึ้นไปขี่หลังม้า แล้วควบออกนอกเมืองและมุ่งหน้าไปยังบ้านนามู่เย่ว์อย่างรวดเร็ว
เวลานี้ เหยาเยี่ยนอวี่พักอาศัยอยู่ในบ้านนาน้อยวัวจวู ทว่าหยิ่นเห้อไปบ้านนามู่เย่ว์ จึงหานางไม่เจอ ทว่าหยิ่นเห้อรู้จักนิสัยนายของตนเป็นอย่างดี อีกทั้งหยกแขวนนี้ถือเป็นหยกที่คุณชายพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วจะนำไปให้บ่าวรับใช้เรื่อยเปื่อยได้อย่างไร เหตุเพราะไม่เจอเหยาเยี่ยนอวี่ที่บ้านนามู่เย่ว์ หยิ่นเห้อจึงขี่ม้าเร็วมุ่งหน้าไปยังบ้านนาน้อยวัวจวู
ขณะที่เดินทางด้วยความเร่งรีบนี้ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดสลัวลงแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่กำลังขดตัวนอนอยู่ในเรือนที่อบอุ่น นางอาศัยแสงสว่างจากเทียนอ่านตำรา ข่าวลือในเมืองหลวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนาง แน่นอนว่านางก็ได้ฟังจากบ่าวที่สัตย์ซื่อเยี่ยงเฝิงโหย่วฉุนมาแล้วบ้าง และเป็นธรรมดาที่นางจะเคร่งเครียดอยู่บ้าง ทว่านางก็ไม่ได้หวาดกลัวจนตัวสั่น
ดั่งสุภาษิตที่ว่าทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน[1] การที่เดินมาถึงจุดๆ นี้ได้ เป็นสิ่งที่นางคิดเอาไว้แต่แรกแล้ว นางฝึกฝนและร่ำเรียนด้านการแพทย์ก็เพื่อที่จะรักษาคน เรื่องนี้เป็นสัญชาตญาณที่หล่อหลอมอยู่ในกระดูกและเลือดของนาง หากจะให้นางมองผู้ป่วยโดยไม่เอ่ยถามสิ่งใด ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจทำได้อยู่แล้ว ทว่านางเองก็คาดไม่ถึงว่าจะทำให้นางมีชื่อเสียงถึงเพียงนี้ เริ่มจากการช่วยรักษาบุตรีของเยี่ยนอ๋อง จากนั้นก็ช่วยรักษาบุตรชายขององค์หญิงใหญ่
เดิมทีการที่สตรีมีความรู้ความสามารถด้านการแพทย์ที่ลึกซึ้งก็เป็นบทสนทนาที่น่าพูดถึงอยู่แล้ว เพียงพอให้เหล่าสตรีที่ว่างเว้นไม่มีการใดทำ พูดคุยเล่นสนุกปากได้เป็นบางเวลา ยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังเป็นบุตรีของขุนนาง อีกทั้งยังได้ช่วยรักษาเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ ด้วยเหตุนี้ หากในเมืองหลวงตกอยู่ในสถานการณ์เงียบสงบและไม่กล่าวถึงเรื่องของตน ทั้งยังมีการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้ เกรงว่าคงจะผิดเพี้ยนไปเสียแล้ว
“…เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไรกัน? คุณหนูของพวกเราคือคนที่พวกบ่าวรับใช้อยากพบก็พบได้กระนั้นหรือ!” เสียงของเฝิงหมัวมัวดังขึ้น จึงทำลายความเงียบสงบในเรือนหลังเล็ก “จวนอัครเสนาบดีอะไรกัน อยู่ดีๆ จวนอัครเสนาบดีจะสั่งให้บ่าวรับใช้มาส่งสารอะไร อย่าได้เชื่อเขาเป็นอันขาด ไล่เขาออกไปให้สิ้นเรื่อง!”
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเป็นปม จากนั้นวางตำราที่อยู่ในมือไว้ด้านข้าง นางเหยียดกายลุกขึ้นพลางบิดเอวด้วยความเกียจคร้าน ยื่นเท้าลงจากตั่งไม้อุ่น พร้อมกับสวมรองเท้าเกี๊ยะไม้ประดับด้วยไหมทองคำร้อยลูกปัด
ในเวลาเดียวกันเฝิงหมัวมัวก็เพิ่งสั่งสอนบ่าวรับใช้เสร็จแล้วเดินเข้ามา ในมือของหมัวมัวมีชามน้ำแกงร้อนๆ เมื่อเห็นเหยาเยี่ยนอวี่จะลุกเดินออกไปด้านนอก พลันพูดขึ้น “คุณหนูเหน็ดเหนื่อยแล้วกระมัง ดื่มน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวและเม็ดบัวที่กำลังต้มเสร็จร้อนๆ หน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่เฝ้ามองเฝิงหมัวมัววางชามไว้บนโต๊ะ พร้อมกับเปิดฝาและตักน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวและเม็ดบัวลงในถ้วยเล็ก แล้วจึงเอ่ยถามขึ้น “เมื่อครู่คนที่มาอยู่ด้านนอกคือผู้ใด?”
เฝิงหมัวมัวขานตอบ “เป็นบ่าวรับใช้เจ้าค่ะ เขาบอกว่าตนเองเป็นบ่าวรับใช้ในจวนอัครเสนาบดี ได้รับคำสั่งจากนายของตนเพื่อมาส่งของให้คุณหนู เมื่อครู่บ่าวได้ถามไปแล้ว เขาเป็นบ่าวรับใช้อายุราวสิบกว่าปี เขามาเพียงคนเดียว บ่าวจึงคิดว่าไม่น่าจะใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด ไม่แน่เขาอาจจะเป็นผู้อื่นที่อ้างนามของจวนอัครเสนาบดีมาหลอกลวงก็ย่อมได้ บ่าวจึงให้คนไล่เขาออกไปแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่เองก็ไม่ได้สนใจ นางรับถ้วยน้ำแกงมาพร้อมกับเป่าลมร้อนอย่างแผ่วเบา เพียงไม่นานไม่ตงก็เดินเข้ามา เมื่อนางเห็นเหยาเยี่ยนอวี่กำลังกินน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวและเม็ดบัว จึงยืนอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟังโดยไม่กล้ากล่าวสิ่งใด
“มีเรื่องอะไรกระนั้นหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่วางถ้วยไว้บนโต๊ะ จากนั้นใช้ผ้าเช็ดริมฝีปาก
ไม่ตงพลันเดินขึ้นหน้าแล้วขานตอบ “เรียนคุณหนู เซินเจียงกล่าวว่าไม่ว่าจะขับไล่คนของจวนอัครเสนาบดีเช่นไรก็ไม่ยอมไปเจ้าค่ะ เขาบอกว่าตนเป็นบ่าวรับใช้ที่คอยติดตามนายน้อยตระกูลเฟิง เหตุเพราะมีเรื่องสำคัญจึงจำต้องขอพบคุณหนูเจ้าค่ะ”
เฝิงหมัวมัวเริ่มไม่สบอารมณ์ นางหันไปต่อว่าไม่ตง “เหลวไหล! เขาที่เป็นชายหนุ่มจะพบกับคุณหนูของพวกเราง่ายๆ ได้เช่นไร เขาเห็นว่าที่นี่เป็นที่ใดกัน หากยังไม่ยอมกลับไปก็สั่งให้เรียกพวกบ่าวมาลากเขาออกไปเสีย!”
“หมัวมัวอย่าได้โมโหเลย” เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวจบก็สั่งไม่ตง “เจ้าออกไปบอกเขา มีเรื่องใดก็ให้เขาพูดกับเจ้าตามตรง เวลานี้ข้าไม่ออกไปพบคนนอก”
ไม่ตงขานรับแล้วเตรียมตัวออกไป เหยาเยี่ยนอวี่บอกเฝิงหมัวมัว “ไม่เช่นนั้นหมัวมัวก็ออกไปดูด้วยเถอะ ในเมื่อเขาบอกว่าตนเป็นคนของจวนอัครเสนาบดี เกรงว่าพวกเราคงไม่ควรเสียมารยาทกับเขา หากเขามีเรื่องอะไร หมัวมัวตัดสินใจทำตามความเหมาะสมเถอะ ให้เขาอาละวาดต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีแต่อย่างไร”
เฝิงหมัวมัวฟังคำสั่งพลันย่อตัวลงแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า พร้อมกับมองเฝิงหมัวมัวเดินออกไป นางถอดรองเท้าเกี๊ยะ เท้าที่สวมถุงเท้าเหยียบลงบนพรมพลางยืดเส้นยืดสาย
ช่วงเวลานี้ อากาศเหน็บหนาวแล้ว นางจึงไม่สะดวกที่จะออกไปยืดเส้นยืดสาย และออกกำลังกายท่าอู่ฉินซี่[2]ที่บันทึกไว้ใน ‘คัมภีร์ไท่ผิง’ ตอนแรกเหยาเยี่ยนอวี่เองก็ไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อผ่านการอ่านอยู่หลายครั้งหลายหนนางจึงค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย เวลานี้นางสามารถฝึกฝนได้ไม่กี่กระบวนท่าแล้ว นางฝึกวิธีการสูดลมหายใจเข้าออก อีกทั้งในยามที่นางนั่งเป็นเวลานานก็จะลุกขึ้นมาฝึกฝนเป็นประจำทุกวัน แม้ว่าจะไม่เห็นผลลัพธ์ ทว่าสำหรับวิธีการยืดเส้นยืดสายเช่นนี้ ก็ถือเป็นวิธีที่ไม่เลว
เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน เฝิงหมัวมัวก็กลับมาแล้ว เวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่กำลังนวดและกดบริเวณแผ่นหลัง เมื่อเห็นเฝิงหมัวมัวเดินเข้ามานางก็ไม่ได้หยุดลง เพียงแค่เอ่ยถามขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง”
“บ่าวรับใช้ผู้นั้นนำหยกแขวนมาหนึ่งอันเจ้าค่ะ บอกว่าคุณชายเฟิงสั่งให้นำมาให้คุณหนู อีกทั้งยังฝากบอกคุณหนูว่าขอให้คุณหนูวางใจ” เห็นได้ชัดว่าเฝิงหมัวมัวไม่ค่อยเชื่อเสียเท่าใด เมื่อเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้ว่ากล่าวสิ่งใด นางจึงพูดขึ้นอีกหนึ่งประโยค “บ่าวให้เขานำหยกแขวนกลับไปแล้วเจ้าค่ะ อีกทั้งยังบอกกับเขาว่า แม้ว่าจวนข้าหลวงใหญ่ไม่อาจเทียบชั้นกับจวนอัครเสนาบดีได้ ทว่าก็ไม่ใช่ที่ที่ผู้ใดคิดอยากจะเหยียบย่ำก็เหยียบย่ำได้”
เหยาเยี่ยนอวี่ฟังจนจบ แล้วยิ้ม “หมัวมัว ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”
“หวังว่าจะเป็นบ่าวที่คิดมากเกินไปเจ้าค่ะ ทว่าบ่าวได้ยินมาว่าจวนอัครเสนาบดียึดถือและให้ความสำคัญกับกฎระเบียบมารยาท คิดไม่ถึงว่าคุณชายของจวนพวกเขาจะทำตามอำเภอใจตนเองเช่นนี้” เฝิงหมัวมัวไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก การนำสิ่งของส่วนตัวมาให้เช่นนี้ หากเผยแพร่ออกไป ชื่อเสียงของคุณหนูจะป่นปี้เอาได้! ถึงเวลานั้นจะให้คุณหนูของตนกระทำเช่นเดียวกับหญิงงามทั่วไปที่ต้องไปเป็นอนุภรรยาของคุณชายเหล่านั้น?! จวนอัครเสนาบดีไม่ใช่น้ำที่สามารถข้ามผ่านไปได้ง่ายๆ หากคุณหนูของตนเข้าไปยังตระกูลนี้แล้ว ชีวิตย่อมไม่มีความสุขแน่นอน
เหยาเยี่ยนอวี่เข้าใจในความหมายของเฝิงหมัวมัว ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแต่นางเองก็คาดคิดไม่ถึงว่าในวันที่สองเฟิงเซ่าเชินถึงกับมาที่บ้านนาน้อยวัวจวูด้วยตนเอง
เฟิงเซ่าเชินในฐานะหลานชายสุดที่รักของฮูหยินท่านอัครเสนาบดี ใช่ว่าจะเติบโตขึ้นมาด้วยข้าวเพียงหนึ่งกำมือเดียว เขาเติบโตและคลุกคลีมากับสตรีในตระกูลเฟิงมาตั้งแต่เล็ก เขาไม่มีความสามารถในด้านใดนัก ทว่าความสามารถในการปิดม่านฟ้าข้ามทะเลนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก การที่เขาหลบเลี่ยงผู้คุ้มกันในจวนและพาเพียงบ่าวรับใช้คนสนิทไปบ้านนาน้อยวัวจวู ถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก
เพียงแต่ คุณชายเฟิงก็คาดคิดไม่ถึง ตนเองที่ใกล้จะได้พบเจอกับคุณหนูเหยา สตรีที่ตนเฝ้าคะนึงหา แต่กลับได้พบเจอกับแม่ทัพติงหย่วนผู้ซึ่งมีโอกาสว่างงานจึงออกมาเดินเล่นนอกเมือง ซ้ำยังเร่ร่อนอยู่แถวหน้าประตูบ้านนาของคุณหนูเหยา
“แม่ทัพเว่ยเซ่า! ช่างบังเอิญนักที่ได้พบเจอท่านที่นี่” แม้ว่าเฟิงเซ่าเชินจะเป็นถึงบุตรชายของจวิ้นจู่ ทว่าไม่ได้มียศมีตำแหน่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อได้พบเจอกับแม่ทัพติงหย่วนจึงต้องทำความเคารพก่อนเป็นธรรมดา
เว่ยจางยังคงขี่อยู่บนหลังม้า เขาหันหน้ามาทางเฟิงเซ่าเชินแล้วพยักหน้า พร้อมกับพูดต่อ “ช่างบังเอิญเสียจริง เพียงแต่ที่แห่งนี้อยู่บนหุบเขาที่ไกลห่างจากเมือง เหตุใดคุณชายเฟิงจึงมาที่นี่พร้อมกับผู้ติดตามเพียงคนเดียวเช่นนี้”
ความจริงเป็นเช่นนี้ เมื่อคืนตอนที่หยิ่นเห้อออกไปจากบ้านนาน้อยวัวจวูแล้วกลับเข้าเมือง เขาได้บังเอิญพบกับฉังเหมา ฉังเหมาเปรียบพยาธิในท้องของเว่ยจาง ไม่ว่านายของเขาจะคิดสิ่งใด เขาล้วนรู้และเข้าใจเป็นอย่างดี เดิมทีฉังเหมาเองก็ครุ่นคิดว่าควรจะทำเช่นไร จึงจะสามารถช่วยนายของตนเอาอกเอาใจคุณหนูเหยาได้ เมื่อพบกับหยิ่นเห้อ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกันเล็กน้อย แล้วบังเอิญรู้เรื่องสำคัญเข้า ด้วยเหตุนี้เขาจึงพลันกลับจวนไปรายงานเว่ยจางในทันที
[1] ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน เปรียบถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้
[2] อู่ฉินซี่ ท่าการออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพวิธีหนึ่งที่สืบทอดกันมา โดยท่าการเคลื่อนไหวเลียนแบบท่าทางของสัตว์ 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก