ดอกเหมยขาวพันธุ์กลีบเลี้ยงเขียวคือพันธุ์ที่ล้ำค่าที่สุดในบรรดาดอกเหมยทั้งหมด ดอกเหมยนับห้าสิบต้นนี้ล้วนได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีโดยคนสวนผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งองค์หญิงใหญ่หนิงหวาชื่นชอบเป็นอย่างมาก องค์หญิงรับสั่งให้ขยายสวนดอกเหมยเพิ่ม พร้อมทั้งปลูกดอกเหมยชนิดนี้แยกเอาไว้อีกที่หนึ่ง และนำหินภูเขาจำลองมาประดับตกแต่ง
เวลานี้ยังเช้าอยู่ ดอกเหมยขาวกลีบเลี้ยงเขียวจึงไม่ทันได้ผลิบาน ดอกเหมยทั้งหลายยังคงหุบกลีบดอกเอาไว้ มีเพียงไม่กี่ดอกเท่านั้นที่ผลิบานเพราะโดนลม ทว่าดอกเหมยเหล่านี้กลับส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจาย
สตรีล้วนชื่นชอบพฤกษา แน่นอนว่าไม่เว้นแม้แต่เหยาเยี่ยนอวี่ กลิ่นหอมของดอกเหมยทำให้ชื่นใจ เหยาเยี่ยนอวี่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นดอกเหมย มองดูท้องฟ้าสีครามแต้มไปด้วยดอกเหมยขาวดั่งหิมะ นางอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้น “ช่างหอมยิ่งนัก!”
ซูอวี้เหิงขยับตัวเข้ามาใกล้ นางยิ้มแล้วหยอกล้อขึ้น “พี่เหยาแต่งบทกลอนสักหนึ่งบทเถอะ เพื่อเป็นการชื่นชมดอกเหมยดีไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มบางๆ และส่ายหน้าไปมา “เจ้าอยากจะให้ข้าขายหน้าอีกแล้วหรือ”
“เปล่านะ” ซูอวี้เหิงคล้องแขนเหยาเยี่ยนอวี่พร้อมกับคลี่ยิ้มหวาน “เมื่อคราวก่อน ตอนที่พวกเราบรรเลงกู่เจิงได้ตกลงกันแล้วว่าพี่เหยาจะแต่งกลอน ทว่าสุดท้ายก็ยังไม่ได้แต่ง วันนี้มีดอกเหมยที่งดงามเช่นนี้ จะขาดคำกลอนได้อย่างไร”
เหยาเยี่ยนอวี่ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน นางหันไปทางซูอวี้เหิงยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่ว่าจะเป็น ดีดฉิน เดินหมาก เขียนอักษร บทกวี หรือขับร้องเพลง ทั้งหมดนี้ข้าล้วนไม่ถนัด คุณหนูสามได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ”
“ผู้ใดจะจริงจังกับเรื่องเหล่านี้เล่า เพียงแค่แต่งขำขันเท่านั้น” หันหมิงชั่นยิ้มแล้วพูดขึ้น “เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าสั่งให้พวกบ่าวรับใช้จัดเตรียมหมึกกับพู่กันเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวเขียนมาสักหนึ่งบทกลอน เพื่อเป็นการปิดปากอวี้เหิงเสีย”
เวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเสียใจมากที่ตอนนั้นตนเองไม่ตั้งใจเรียนวิชาศิลปศาสตร์ ทำให้เวลานี้แม้แต่ท่องบทกลอนที่คนโบราณเขียนเอาไว้นางก็นึกไม่ออกสักบทกลอนหนึ่ง เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้ม “หากสามารถเขียนออกมาได้ แล้วข้าจะร้องขอความเมตตาได้อย่างไร ข้าไม่อาจแต่งบทกลอนได้จริงๆ พวกเจ้าทั้งสองได้โปรดอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”
“คุณหนูเหยากำลังถ่อมตนอยู่” หันหมิงหลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน
เหยาเยี่ยนอวี่ร้องขอความเมตตา เหล่าสตรีทั้งหลายหัวเราะพูดคุยด้วยกัน เสียงหัวเราะของพวกนางปะปนกับกลิ่นหอมของดอกเหมยลอยล่องไปไกล
สวนดอกเหมยอีกด้านหนึ่ง หันซังเกอ หันซังเย่ว์ อวิ๋นคุน ซูอวี้เสียง เฟิงเซ่าเชินและเว่ยจาง พวกเขาทั้งหกคนนั่งอยู่ในศาลาหลิงหลง โต๊ะหินตรงกลางมีหมากล้อมวางเอาไว้ หันซังเกอกับอวิ๋นคุนเล่นหมากล้อมด้วยกัน ส่วนคนที่เหลือนั้นนั่งมองดูทั้งสองเล่นหมากล้อม ด้านข้างมีเสี่ยวถง[1]คอยต้มน้ำชา พวกเขาล้วนไม่มีใครพูดสิ่งใด ได้ยินเพียงเสียงน้ำเดือดดังมาจากหม้อดินเผา
อยู่ดีๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น เสียงนั้นทำลายความคิดของอวิ๋นคุน เฉิงอ๋องซื่อจื่อจับหมากล้อมสีดำเอาไว้พร้อมกับหันไปมองตามต้นเสียง เขายิ้มบางๆ แล้ววางหมากลง
เรื่องที่องค์หญิงใหญ่หนิงหวาเป็นแม่สื่อให้เว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่นั้น มีเพียงคุณชายทั้งสองคนแห่งจวนกั๋วกงและตัวเว่ยจางเท่านั้นที่ทราบเรื่อง แน่นอนว่าสองพี่น้องหันซังเกอไม่มีทางพูด ทางด้านเว่ยจางก็ยิ่งปิดปากเงียบ เขาไม่มีทางพูดอะไรอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้อวิ๋นคุนจึงไม่รู้ แม้กระทั่งเหยาเฟิ่งเกอเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาคิดว่าองค์หญิงใหญ่จัดงานเลี้ยงในครั้งนี้เพื่อเป็นการขอบคุณเหยาเยี่ยนอวี่ที่ช่วยรักษาหันซังเกอเสียอีก
ขณะที่อวิ๋นคุนกำลังพิจารณาการเดินหมากอยู่ จากนั้นเขาก็ได้เอ่ยถามขึ้นช้าๆ “ข้าได้ยินมาว่าใบหน้าน้องสามบุตรีของท่านลุงหกรักษาจนหายดีแล้ว นางทายาขี้ผึ้งของคุณหนูเหยาทำให้ไม่เหลือทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้แม้เพียงน้อย เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ”
หันซังเย่ว์ที่อยู่ด้านข้างยิ้มแล้วพูดขึ้น “จริงแท้แน่นอน”
อวิ๋นคุนกลอกตามองไปทางหันซังเย่ว์ “เช่นนั้น ชั่นเอ๋อร์ก็ขอยาขี้ผึ้งจากคุณหนูเหยามาลองใช้ดูสิ”
“เรื่องนี้ยังต้องพูดอีกหรือ ตอนนี้ชั่นเอ๋อร์กำลังใช้ยาขี้ผึ้งนั่นอยู่” หันซังเย่ว์รับน้ำชาที่เสี่ยวถงยื่นมาให้ เขาเป่าน้ำชา จากนั้นจิบเล็กน้อย
เฟิงเซ่าเชินพูดแทรกเข้ามาทันที “ยาของคุณหนูเหยานั้นวิเศษเสียยิ่งกว่ายาวิเศษ หลังจากที่คุณหนูรองใช้แล้วต้องรักษาได้ดังที่นางปรารถนาเป็นแน่”
ใบหน้าอันหล่อเหลาเย็นชาของอวิ๋นคุนเจือปนด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน นิ้วเรียวยาวเห็นข้อกระดูกชัดเจนนั้นจับหมากล้อมเอาไว้ นัยน์ตาอ่อนโยนเช่นนี้ยากที่จะได้เห็น
หันซังเย่ว์มองไปทางหันซังเกอ ทางด้านหันซังเกอเองก็มองมาที่เขาพอดี สองพี่น้องสบตากันครู่หนึ่งจากนั้นรั้งสายตากลับ
“เพียงแต่ ยาวิเศษของคุณหนูเหยาใช้กับชั่นเอ๋อร์ไม่ได้ผลเท่าใด” หันซังเกอวางหมากล้อมสีขาวลง เขากล่าวด้วยความเสียดาย
“หืม?” รอยยิ้มของอวิ๋นคุนจางหายไปในทันที “หมายความว่าอย่างไร”
หันซังเกอจึงอธิบายคร่าวๆ หันหมิงชั่นมีรอยแผลเป็นนี้มานานแล้ว ด้วยเหตุนี้ยาขี้ผึ้งจึงแทบจะใช้ไม่ได้ผลกับนาง
เวลานี้แววตาที่เจือไปด้วยความสุขของอวิ๋นคุนได้จางหายไปแล้ว ผ่านไปนานครู่หนึ่งเขาก็ได้เอ่ยถามขึ้น “เช่นนั้นก็หมายความว่าแม้แต่คุณหนูเหยาก็ไม่มีวิธีรักษาหรือ”
“ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีรักษา” หังซังเย่ว์ยิ้มอย่างจนปัญญา แล้วตอบคำถามแทนพี่ชายของตน “ยาขี้ผึ้งของคุณหนูเหยาใช้ได้ผลกับบาดแผลใหม่ หากชั่นเอ๋อร์อยากกำจัดรอยแผลเป็น นางจำต้องเจ็บตัวอีกครั้ง”
แววตาของอวิ๋นคุนไม่สงบนิ่ง นิ้วมือของเขาบีบแน่นโดยไม่รู้ตัว จนหมากล้อมแทบจะถูกบีบเป็นผุยผง
บรรยากาศจึงกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ซูอวี้เสียงที่ดื่มน้ำชาและมองดูการเล่นหมากล้อมอยู่ด้านข้างจึงรีบพูดขึ้น “คุณหนูหันเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ ความเป็นจริงรอยแผลเป็นนั้นไม่อาจทำลายความสง่างามของนางได้เลย”
“เป็นจริงตามนั้น” เฟิงเซ่าเชินรีบอธิบายขึ้น “อีกทั้ง คุณหนูหันยังเป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงใหญ่และท่านกั๋วกง และนางยังมีท่านซื่อจื่อและคุณชายรอง จะมีผู้ใดทำให้นางต้องเจ็บช้ำใจเพราะแผลเป็นเล็กน้อยนั่น ยังเห็นแก่หน้าของท่านกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่หรือไม่”
สองพี่น้องหันซังเกอและหันซังเย่ว์สบตากัน ใบหน้าที่คล้ายคลึงกันนั้นต่างก็เผยรอยยิ้มที่เศร้าหมอง น้องสาวของพวกเขา พวกเขาต้องปกป้องนางชั่วชีวิต ทว่าเป็นเพราะรอยแผลเป็นเล็กน้อยนี้ ทำให้เฉิงอ๋องและภรรยาของเขานิ่งเฉยทำเป็นมองไม่เห็นความรู้สึกที่อวิ๋นคุนมีต่อหันหมิงชั่น พวกเขาไม่มีทีท่าที่จะมาสู่ขอ แต่น้องสาวของพวกเขากลับดื้อดึงที่จะรอ
“ไม่เล่นแล้ว” อวิ๋นคุนสะบัดชายเสื้อด้วยความหงุดหงิด เขาเหยียดกายลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก
หันซังเกอเองก็โยนหมากกลับไป จากนั้นหันไปรับน้ำชาที่เสี่ยวถงยื่นมาให้ เขาเป่าน้ำชาเบาๆ แล้วจิบทีละนิด
อวิ๋นคุนเดินออกมาจากศาลา มือทั้งสองข้างไขว้หลังเอาไว้แล้วเดินเข้าไปใกล้ต้นดอกเหมย ทางด้านนี้ของสวนดอกเหมยได้ปลูกต้นดอกเหมยสีเหลืองเอาไว้ กลีบดอกเหมยเหลืองอร่าม แต่งแต้มสีสันให้กับฤดูหนาวที่เศร้าหมองนี้ เขาไม่ได้มีใจมาชมดอกเหมยเลย เพียงแค่เดินเล่นด้วยจิตใจที่เศร้าหมองก็เท่านั้น
เว่ยจางเดินตามอวิ๋นคุนมาเงียบๆ โดยไม่พูดสิ่งใด บุรุษทั้งสองเดินเล่นท่ามกลางดอกเหมย
“เสี่ยนจวิน ได้ยินว่าเมื่อหลายวันก่อนฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้เจ้าเข้าวังหรือ” อวิ๋นคุนเอ่ยถาม
“อืม” เว่ยจางตอบเสียงเรียบ
“เกี่ยวกับทหารม้าชั้นยอดเหล่านั้นหรือ”
“ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสถึงเรื่องนี้ เพียงแค่เอ่ยถามงานต่างๆ ของทหารเท่านั้น รวมถึงรายละเอียดการทำสงครามของพวกเราที่ดินแดนตะวันตก”
ทั้งสองพูดคุยและเดินลึกเข้าไปในสวนดอกเหมย ทว่ากลับมีเสียงหัวเราะดังขัดขึ้นมา เมื่อเงยหน้าขึ้น พวกเขาทั้งสองเพิ่งสังเกตว่าตนได้เดินผ่านดอกเหมยเหลืองอร่ามมาอยู่ท่ามกลางดอกเหมยขาวกลีบเลี้ยงเขียวเสียแล้ว
ทางด้านหันหมิงชั่นและเหยาเยี่ยนอวี่ที่ยืนอยู่ใต้ต้นดอกเหมยและกำลังเงยหน้าขึ้นมองดอกเหมยนั้น ไม่รู้ตัวเลยว่าทางด้านนี้มีคนบุกรุกเข้ามา พวกนางยังคงคุยปรึกษากันว่าดอกเหมยเหล่านี้กิ่งไหนเหมาะแก่การนำไปจัดใส่แจกัน หันหมิงชั่นรู้สึกชอบกิ่งที่หนาขนาดหัวแม่มือซึ่งเต็มไปด้วยดอกเหมย ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับรู้สึกปวดใจ และกล่าวว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายนักที่ต้องตัดกิ่งใหญ่เช่นนี้ ดอกไม้ที่สวยควรปล่อยให้อยู่บนกิ่งไม้และรอวันบานสะพรั่งอย่างช้าๆ ดีกว่า
[1] เสี่ยวถง บ่าวรับใช้ที่ยังเป็นเด็ก