ตอนที่ 110: ชื่อตอนอยู่ท้ายเรื่อง
โรแลนด์นั้นรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย เขานั้นพึ่งจะบอกฮอร์กไปหยกๆว่าอาจจะมีผู้เล่นที่ตกหลุมพรางของ NPC และในตอนนี้นั้นเขาก็เกือบจะถูกตบหน้าเอาเสียแล้ว
อันที่จริงแล้วคนเรานั้นไม่ควรคิดว่าตัวเองนั้นสูงส่ง
โรแลนด์นั้นจับไปยังตราไม้ปลอมแน่นขึ้นและกลับไปยังหอคอยเวทย์
แทนที่จะเรียกเจ้าตราไม้นี่ว่าเบาะแส มันน่าจะเป็นสิ่งที่พี่ชายคนโตของตระกูลเอ็ดเวิร์ดทิ้งเอาไว้เพื่อเตือนก่อนที่เขาจะฆ่าตัวตายเสียมากกว่า
หลังจากคิดเกี่ยวกับมัน เขาก็พบสิ่งที่น่าสงสัยมากมาย
ถ้าหากว่าไม่ใช่จอห์นที่เป็นคนสั่งให้แก๊งอันธพาลลักพาตัวและฆ่าครอบครัวของลิซ่า แล้วใครกันละที่ขู่ให้เอ็ดเวิร์ดทําแบบนั้น? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อฮอร์กส่งเหล่าขอทานไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของจอห์น ภายในเวลาแค่ห้าวันถัดมาพี่คนโตตระกูลเอ็ดเวิร์ดก็ทําให้การจับตามองนั้นยุ่งเหยิงไป
แก๊งอันธพาลนั้นล่มสลายไปแล้วด้วยฝีมือของบาร์ด ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะค้นหาหลักฐานใหม่ๆได้อีก
และตอนนี้ฆาตกรที่แท้จริงนั้นก็น่าจะรู้เกี่ยวกับการกระทําของบุตรทองคําแล้ว
ข่าวรั่วไหลออกไปจากทางกลุ่มขอทานของฮอร์กงั้นเหรอ?
ยิ่งโรแลนด์คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความที่ว่ามันมีเบาะแสไม่มากนักมันเลยกลายเป็นหนามกั้น เขานั้นพยายามแยกตัวบุคคลออกมา เขานั้นเข้าใจถึงเหตุผลว่าทําไมมันถึงมีกล้องวงจรปิดจํานวนมากอยู่ในทุกที่ทั่วประเทศจีน
ไม่ว่าอาชญกรจะฉลาดมากขนาดไหนก็ตามมันก็ไม่มีประโยชน์หากเขาถูกจับตามองจากกล้อง
เมื่อเขากลับมายังหอคอยเวทย์โรแลนด์นั้นก็ใช้เวลากว่าสี่ชั่วโมงไปกับเวทย์หุ่นเชิดจนกระทั่งเขาใจเย็นลง
เขานั้นตัดสินใจที่จะไม่คิดมากเกินไปในช่วงนี้ ฆาตกรนั้นจะต้องพยายามลวงเขาแน่ๆในช่วงนี้ เขานั้นจําเป็นต้องพิจารณาถึงสิ่งต่างๆหลังจากได้ข้อมูลจากแก๊งเกรย์แซนด์
ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว วิเวียนนั้นเสิร์ฟอาหารเย็นให้เขาพร้อมหนังสือเล่มบางๆไว้ตรงหน้าโรแลนด์
“นี่คือ?” โรแลนด์ถามด้วยท่าทีสงสัย
“รายได้และค่าใช้จ่ายในเดือนที่แล้วของหอคอยเวทย์คะท่าน” วิเวียนอธิบาย “จริงๆมันควรจะเป็นหน้าที่ของประธานที่จะต้องตรวจดู ทว่าตอนนี้เขานั้นไม่อยู่ที่นี่ ดังนั้นมันจึงจําเป็นต้องเป็นหน้าที่ของท่านแทน”
เป็นอย่างนี้เองสินะ โรแลนด์มองไปยังสมุดบัญชีขณะที่เขากําลังทานอาหารเย็นอยู่
จากนั้นไม่นานนัก โรแลนด์ก็เงยหน้าขึ้นมาและถามว่า “ใครเป็นคนทําบันทึกนี่กัน?”
“คลาอัสคะท่าน” วิเวียนตอบ “ในบรรดานักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมดเขานั้นเก่งด้านตัวเลขมากที่สุด”
คลาอัสชายหนุ่มที่พาโรแลนด์เข้ามายังหอคอยเวทย์เมื่อตอนที่เขามาที่นี่เป็นครั้งแรกสินะ
เขานั้นค่อนข้างมีพรสวรรค์ในบรรดานักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมด เขาสามารถเรียนรู้เวทมนตร์ได้อย่างรวดเร็วทั้งยังมีนิสัยที่เป็นมิตรอย่างมาก
“แล้วไอสิบเหรียญทองนี่มันมาจากไหน มันไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับมันเลย?”
วิเวียนจ้องมองด้วยรอยยิ้มพร้อมกล่าวว่า “นั่นเป็นภาษีที่เก็บจากพื้นที่โดยรอบของพวกเรา โดยมีหอคอยเวทย์เป็นจุดศูนย์กลาง พื้นที่โดยรอบราวสองกิโลเมตรนั้นถือเป็นอาณาเขตของเราทั้งสิ้น”
“แล้วทําไมถึงไม่มีป้ายเสียภาษีละ?” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย “ถ้าอย่างนั้นเราจะรู้ได้ยังไงว่ามีใครไม่ยอมจ่ายภาษีบ้าง?”
“ไม่จําเป็นต้องออกใบภาษีให้พวกเขาหรอก พวกเขานั้นแค่ต้องจ่ายสิบห้าเหรียญทองในทุกเดือนก็เท่านั้น” วิเวียนยิ้ม “หอคอยเวทย์ของพวกเรานั้นไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น พวกเรานั้นสนใจแค่การเก็บเงินและรักษาความสงบสุขในพื้นที่ก็เท่านั้น”
คําพูดของวิเวียนนั้นสุภาพเป็นอย่างมาก ทว่ายากมที่เธอพูดถึงคนอื่นๆบรรยากาศรอบตัวเธอนั้นดูสูงส่งเป็นอย่างมาก
ทว่ามันก็เป็นเรื่องปกติที่จะคิดกันแบบนั้น อย่างไรก็ตาม นักเวทย์นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทั้งน่านับถือและน่าหวดกลัว พวกเขานั้นถือเป็นสัญลักษณ์ของความลึกลับ ในฐานะของผู้ใช้เวทย์ต่อให้เธอยังเป็นเพียงนักเวทย์ฝึกหัดอยู่ก็ตาม มันก็ไม่น่าแปลกที่วิเวียนจะมีความภาคภูมิใจในตัวเอง
หลังจากอ่านบัญชีต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดโรแลนด์ก็เข้าใจเสียทีว่ารายได้จากหอคอยเวทย์นั้นมาจากไหนกันแน่
ซึ่งนั่นหมายความได้อีกอย่างว่าตอนนี้โรแลนด์นั้นเป็นผู้ควบคุมหอคอยเวทย์อยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่อัลโด้กําลังพักฟื้นอยู่เช่นนี้
ภาระหน้าที่ทุกอย่างของหอคอยเวทย์จะถูกโยนไปให้โรแลนด์ เขานั้นต้องไปพบทั้งขุนนาง และพ่อค้าที่ต้องการเข้ามาติดต่อ เขานั้นต้องไปทําสัญญาและข้อตกลงกับพวกเขา อย่างเช่นการกวาดล้างเหล่าสัตว์อสูรหรือสัตว์เวทย์ใกล้เดลพอน อีกอย่างก็คือการช่วยไปชําระล้าง
สิ่งเหล่านี้นั้นทําให้โรแลนด์ยุ่งขึ้นมาก เขาพานักเวทย์ฝึกหัดสองสามคนติดตัวไปด้วยทุกนี้ ซึ่งมันช่วยลดเวลาการทํางานลงไปได้อย่างมาก
เขานั้นไม่มีทางเลือก เพราะถึงยังไงเขาก็ได้รับค่าจ้างจํานวนมากมาจากหอคอยเวทย์
เขานนโมวนมากมาจากหอคอ
มันเป็นหลักการง่ายๆ ก็แค่ทํางานเพื่อแลกเงิน
ทว่าต้องขอบคุณการอัปเดตล่าสุดของเกม โอกาสในการกระตุ้นภารกิจนั้นเพิ่มขึ้น ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ เขานั้นได้กระตุ้นภารกิจเล็กๆไปสองถึงสามภารกิจแล้วซึ่งช่วยมอบค่าประสบการณ์ให้เขาเมื่อเคลียร์ภารกิจสําเร็จ
ต้องขอบคุณภารกิจพวกนั้นที่ทําให้ตอนนี้โรแลนด์นั้นอีกแค่ก้าวเดียวก็จะเข้าสู่เลเวลห้าได้แล้ว หลอดค่าประสบการณ์ของเขาขาดอยู่อีกแค่นิดเดียว
จากนั้นเขาก็ขังตัวเองไว้ในห้องทดลองเวทย์และสั่งกับวิเวียนว่าห้ามใครรบกวนเขาเด็ดขาด
จากนั้นเขาก็ใช้เวลาร่วมห้าชั่วโมงในห้องทดลองเวทย์และในที่สุดเขาก็สําเร็จรูปแบบเวทย์ที่พัฒนาของเวทย์หุ่นเชิด : เวทย์หุ่นเชิดรูปแบบพัฒนา
โรแลนด์นั้นได้คิดหาหนทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพมันด้วยวิธีที่หลากหลาย ทว่าทุกวิธีนั้นล้วนแล้วแต่มีข้อเสีย สุดท้ายเขานั้นตัดสินใจที่จะเสริมพลังมันไปก่อน ในการเสริมพลังครั้งแรกนั้นแน่นอนว่ามันมีประสิทธิภาพที่ไม่ค่อยดีนัก ทว่าถ้าหากทําต่อไปอีกสองถึงสามครั้งล่ะ?
แน่นอนว่าก่อนจะพูดถึงเรื่องนั้นเขาต้องแก้ปัญหาเรื่องการขาด “พื้นที่” ในแบบแบบจําลองเวทย์เสียก่อน
ทันที่ที่เขาเรียกหุ่นเชิดเสริมพลังออกมา เขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบขึ้นมาทันที
“คุณเชี่ยวชาญเวทย์หุ่นเชิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว EXP +140”
“คุณเลื่อนระดับสู่เลเวลห้า”
“โปรดเลือกความเชี่ยวชาญสกิลในอาชีพของคุณ”
จากนั้นหัวข้อเกี่ยวกับความชํานาญในอาชีพก็ปรากฏขึ้นมาเป็นหัวข้ออยู่ภายในระบบ
โรแลนด์นั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดเขาก็เลเวลห้าเสียที มันไม่ง่ายเลยจริงๆ หลังจากมาถึงเลเวลห้าแล้วค่าประสบการณ์ที่เขาต้องใช้เพื่อเลื่อนระดับนั้นก็เพิ่มขึ้นมหาศาล จากเลเวลในตอนนี้ ต่อให้เป็นนักรบความเร็วในการเลื่อนระดับของพวกเขาก็ต้องลดลงเช่นกัน
โรแลนด์มองไปยังเมนูภายในระบบและอ่านชื่อความเชี่ยวชาญที่ถูกลิสต์เอาไว้
ความเชี่ยวชาญด้านการร่ายเวทย์, ความเชี่ยวชาญด้านการทํานาย, ความเชี่ยวชาญด้านอัญเชิญ เขาเลื่อนลงไปเรื่อยๆจนถึงความเชี่ยวชาญสุดท้าย จนกระทั่งเขาพบเข้ากับความเชี่ยวชาญที่เขาต้องการ
ความเชี่ยวชาญด้านมิติ
โลกนี้นั้นมีขนาดใหญ่มากใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งทําให้ความสามารถที่เกี่ยวกับการเดินทางนั้นสําคัญเป็นอย่างยิ่ง
เหล่าผู้เล่นภายในฟอรั่มนั้นต่างบ่นกันมาเรียบร้อยแล้ว พวกเขานั้นมักจําได้รับภารกิจให้ส่งของไปยังเมืองอื่น และบ่อยครั้งที่ภารกิจเหล่านั้นต้องการให้พวกเขาไปยังต่างประเทศ ตอนนี้พวกเขานั้นยังไม่เชี่ยวชาญภาษาฮอลเลียสด้วยซ้ํา นับประสาอะไรกับต่างประเทศ
พวกเขานั้นรู้สึกราวกับจะร้องไห้เมื่อต้องเดินจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง
เมื่อเทียบกับความสะดวกสบายของสังคมสมัยใหม่ซึ่งมีระบบคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพถนนที่ดีกว่ามาก ในโลกนี้เป็นถนนลูกรัง หลายพื้นที่เป็นถนนบนภูเขาที่ขรุขระ ไม่จําเป็นต้องพูดถึงระยะทาง เกือบตลอดเวลาที่พวกเขาเดินไปตามทางบนภูเขาพวกเขาจะพบกับสัตว์ร้ายที่ดุร้ายหรือสัตว์เวทย์ที่กินมนุษย์
ถ้าโชคดีก็ถือว่าได้เนื้อกองโตไว้กินไปอีกสองสามวัน
หากว่าซวยหน่อยละก็พวกเขาก็จะต้องกลับไปยังเมืองพร้อมกับค่าประสบการณ์ที่หายไป
บางครั้งพวกเขาก็เจอกับพวกโจร มันเป็นการผจญภัยที่เขย่าขวัญเป็นอย่างยิ่ง
การเดินทางเกมนี้นั้นมันจึงไม่เหมือนเกมอื่นๆ เพราะอย่างนั้นความสามารถในการเดินทางในระยะไกลนั้นจึงถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสําคัญ
ไม่ใช่ว่าใครๆก็อยากจะอยู่ในที่เดิมๆตลอดชีวิตและไม่จากไปไหนเลย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดของโรแลนด์ในการเลือกความเชี่ยวชาญทางด้านมิติ
เขานั้นหวังที่จะเดินทางท่องเที่ยวในอนาคต ในเมื่อโลกมันใหญ่ถึงขนาดนี้ ทําไมเขาถึงจะเที่ยวมันไม่ได้ล่ะ?
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ขี่หรือเวทย์ที่ใช้บิน มันก็ไม่ง่ายเท่ากับการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวและเคลื่อนย้ายไปเมืองอื่นได้
นั่นแม้งโคตรเจ๋งเลย
ผู้แต่งลืมใส่ชื่อตอน ตอนนี้ครับ ^^