หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) – ตอนที่ 79

“ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มกันเลยไหม?”

 

เมื่อเห็นโรแลนด์ยิ้มออกมาแจ่มใส บาร์ดรู้สึกว่าความโกรธของเขาพุ่งพร่านอยู่เต็มอกจนมันจะไหลออกมาจากปากของเขามาเป็นคำก่นด่า

 

ทว่าเขาแค่พูดกับตัวเองว่าขุนนางควรจะรักษามารยาทดังนั้นเขาจึงอดทนกับมัน

 

“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก พวกเราค่อยคุยเรื่องนี้หลังจากพวกข้าพักอีกสักวันสองวันก่อนก็ได้ เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็เดินทางมาไกล และพวกเรายังคงเหนื่อยกันอยู่” บาร์ดพูดโดยไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา “ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะมาหาคุณเอง”

 

หลังจากพูดแบบนี้บาร์ดก็เดินลงบันไดไปทันที

 

เขากลัวว่าถ้าเขาอยู่ต่อไปเขาจะไม่สามารถอดกลั้นจากการดูถูกเหยียดหยามได้และทำให้เขาเสียสติ

 

ที่ชั้นหนึ่งนักเวทย์ฝึกหัดที่สลบไปก็ได้สติขึ้นมาแล้ว หมอนั่นพึมพัมก่นด่าอย่างต่อเนื่อง

 

บาร์ดขมวดคิ้วเดินลงมาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ถูกชวนมา?”

 

“ไม่มีใครอยู่ในหอคอยเวทมนตร์เลย” นักเวทย์ผู้เป็นขุนนางหนุ่มยืนอยู่ข้างหน้าด้วยท่าทางสับสนพร้อมพูดว่า “ในตอนที่คุณไปคุยกับเจ้านั่น พวกข้าได้ไปยังชั้นหก เจ็ด และแปด และพบว่าไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว”

 

บาร์ดตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ยิ้มเยาะ “พูดอีกนัยหนึ่งก็คือคนในหอคอยเวทย์ออกไปกันหมดแล้ว? นี่มันเป็นฝีมือของอัลโด้หรือโรแลนด์กันแน่? แต่ไม่สำคัญว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของพวกเราจะเป็นไปตามที่พวกนั้นคาดเอาไว้สินะ น่าสนใจ”

 

“แล้วพวกเราจะทำอะไรต่อไปกันดี” นักเวทย์หนุ่มถาม

 

“เราจะทำอะไรได้อีก!” บาร์ดกล่าวอย่างขมขื่น “พวกเราต้องหาที่พักกันก่อน ข้าเคยเจอบุตรชายของนายกจอห์นอยู่สองสามครั้งความสัมพันธ์ของพวกเราค่อนข้างเยี่ยมเลยทีเดียว ไปพักที่นั่นกันสักวันสองวันก่อนแล้วค่อยเริ่มทำอย่างอื่นก็แล้วกัน พวกเราจะค่อยๆช่วยกันคิดอย่างช้าๆว่าจะทำยังไงกับไอสวะโรแลนด์ดี”

 

“แล้วแต่คุณจะสั่งเลย” นักเวทย์ขุนนางหนุ่มตอบกลับ

 

หลังจากนั้นกลุ่มของพวกเขาก็ออกจากหอคอยเวทย์และก่อนที่จะจากไป บาร์ดได้หันมามองหอคอยเวทย์ด้วยความขุ่นเคืองอยู่พักหนึ่ง

 

โรแลนด์นั้นอยู่บนชั้นแปดและมองลงมาผ่านทางหน้าต่าง เขามองพวกนั้นจากไป เมื่อเขากำลังจะเริ่มทดลองเวทย์ต่อทันใดนั้นเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากข้อความภายในกิลด์

 

ภายในกิลด์ เบทต้า @ โรแลนด์ :“ พี่ครับรีบมาที่บ้านหลังที่ 25 ทางตะวันออกที มีเรื่องสำคัญมากครับ”

 

โรแลนด์ตอบว่า “มีอะไรงั้นเหรอ?”

 

“มันเป็นภารกิจสำคัญครับ บางทีอาจจะเป็นดันเจี้ยนขนาดเล็ก”

 

เชี้ยเอ้ย! โรแลนด์รู้สึกได้ถึงความไร้โชคของตัวเอง เบทต้านั้นค่อนข้างมีโชคในการกระตุ้นภารกิจจริงๆ จนถึงตอนนี้ ภารกิจทั้งหมดที่โรแลนด์ได้ทำสำเร็จล้วนมาจากเบทต้าทั้งสิ้น

 

ภารกิจขนาดเล็กนั้นไม่ค่อยมีค่ามากนัก ทว่าภารกิจอันนี้เป็นภารกิจประเภทดันเจี้ยน

 

เขาลุกขึ้นทันทีและออกจากหอคอยเวทมนตร์

 

แน่นอนก่อนออกจากหอคอยเวทย์เขาได้ใช้แขนเวทย์เพื่อปิดทางเข้าด้วยหินขนาดยักษ์

 

อย่างไรก็ตามหากเขาออกไปแล้วจะเท่ากับว่าไม่มีใครอยู่ในหอคอยเวทย์เลย ถึงแม้ว่าคนธรรมดาจะรู้สึกเกรงกลัวต่อความแข็งแกร่งของนักเวทย์ ทว่าโจรผู้เชี่ยวชาญบางคนไม่ได้ใส่ในมันนัก หลังจากประตูหินปิดลง มีเพียงแค่พลังจิตเท่านั้นที่จะสามารถใช้เพื่อเปิดประตูได้

 

พูดกันตามตรง พวกโจรคงไม่มีทางเข้ามาได้แล้ว

 

เว้นแต่ว่าพวกเขาจะมีคนที่มีความสามารถระดับสูงของพวกโจรเท่านั้นถึงจะสามารถบุกรุกเข้าไปได้

 

โรแลนด์รีบไปยังบ้านหลัง 25 ทางทิศตะวันออกทันที ที่ทางเข้าเด็กผู้หญิงตัวผอมผิวเหลืองยืนอยู่ที่ประตูสวมชุดเมดสีดำและสีขาว

 

เมื่อเห็นโรแลนด์เธอก้มตัวลงเล็กน้อยและพูดว่า “ท่านโรแลนด์ ท่านเบทต้าบอกให้ข้ารอท่านอยู่ที่นี่”

 

โรแลนด์มองดูเด็กสาวคนนี้และพบว่าผิวของเธอดูดีขึ้นมาก เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนช่วงนี้จะดีขึ้นสินะ”

 

เด็กสาวเผยรอยยิ้ม “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านและท่านเบทต้าที่ช่วยข้า”

 

จากนั้นเธอก็พาโรแลนด์เข้าไปยังบ้านหลังนั้น

 

มันเป็นบ้านมือสองที่ฟอนิเจอร์ยังคงใช้ได้อยู่ถึงแม้ว่ามันจะดูเก่าและทรุดโทรมมากก็ตามที แต่ภายในก็สะอาดและเป็นระเบียบมาก

 

ไม่มีใครอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่มีเสียงของคนทำอาหารดังมาจากห้องครัว

 

โรแลนด์พบว่าสิ่งนี้ค่อนข้างแปลก สาวใช้ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อขอโทษและกล่าวว่า “ท่านเบทต้านั้นอยู่ในครัวเดิมทีนั่นเป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำ ทว่าอาหารที่ข้าทำรสชาติมันแย่จนเกินไป”

 

เด็กสาวก้มหัวของเธอลง เธอดูผิดหวังและละอายใจมาก

 

นี่เป็นเมดสาวของเบทต้า ดังนั้นโรแลนด์จะไม่ปลอบใจเธอ ถ้าเกิดหากว่าเบทต้าสนใจเธอขึ้นมาล่ะ? จุดยืนของโรแลนด์คงน่าสงสัยน่าดู

 

โรแลนด์ดึงเก้าอี้และนั่งลง

 

เด็กสาวรีบเสิร์ฟน้ำอุ่นในทันที โรแลนด์เริ่มจิบมัน เบทต้านั้นน่าจะเป็นคนสอนเธอเรื่องมารยาทในการเสิร์ฟน้ำอุ่นให้แขกแก่เธอแน่ๆ

 

หลังจากจิบไปได้สองอึก เขาก็เห็นเบทต้าออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานสองใบในมือ

 

จานถูกวางไว้บนโต๊ะ โรแลนด์พบว่าอาหารจานแรกคือถั่วผัดเค็ม ส่วนอีกจานคือกะหล่ำปลีและเนื้อทอด

 

จากนั้นสาวใช้ก็วางตะเกียบสีขาวอมเหลืองสองอันลงบนโต๊ะ

 

ตะเกียบนั้นค่อนข้างใหม่และเพิ่งทำมาอย่างชัดเจน

 

ท้ายที่สุด เมดสาวก็นำไวน์ผลไม้สองแก้วมาไว้ที่โต๊ะ

 

“กินกันเถอะครับ” เบทต้ากล่าวด้วยท่าทางที่ดูสุภาพ

 

“ผัดผัก!” โรแลนด์มองไปที่ของบนโต๊ะสักพักและพูดว่า “สองวันที่ผ่านมา นี่คือสิ่งที่นายทำมาตลอดงั้นเหรอ?”

 

เบทต้าพยักหน้า “เพราะถึงยังไง ขุนนางผู้สูงศักดิ์ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนสกิลด้วยวิธีเดียวกันกับนักเวทย์ ผมเลยมีเวลาว่างค่อนข้างมากเลยเลือกสำรวจโลกนี้ นอกจากนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนผมค่อนข้างเซ็งกับอาหารของโลกนี้ ในโรงเตี๊ยมอาหารก็แย่มาก ผมทนไม่ไหวจริงๆ ดังนั้นผมเลยขอให้ช่างตีเหล็กทำกระทะและตะหลิวให้ผม และด้วยเพลิงจากการพ่นไฟของผม มันทำให้กระทะร้อนได้เร็วมาก”

 

โรแลนด์ขมวดคิ้วกับคำพูดพวกนี้ “ฉันคิดว่าพ่นไฟของนายนี่ใช้กับการย่างเนื้อและผัดอาหารเท่านั้น มันไม่เคยได้ใช้อย่างถูกจุดประสงค์ของมันเลย”

 

“แต่จริงๆแล้วผมรู้สึกว่านี่เป็นวิธีที่เหมาะสมในการใช้ทักษะ เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ว่ามันน่าสนใจมากกว่าไปใช้ในการต่อสู้หรอกเหรอครับ?”

 

“มันก็ไม่ผิดหรอก” โรแลนด์หยิบตะเกียบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าปากแล้วส่งเสียงประหลาดใจ “รสชาติไม่เลว”

 

เบทต้ายิ้มอย่างพอใจ “ในโลกนี้ที่ทักษะการทำอาหารล้าหลังผมได้กลายเป็นเชฟระดับปรมาจารย์”

 

โรแลนด์เดาะลิ้นของเขาก่อนจะหยิบถั่วผัดเค็มขึ้นมาและเอาเข้าปาก จากนั้นเขาก็เริ่มดื่มไวน์ผลไม้ตาม อย่างที่คิดไว้มันเป็นความสดชื่นที่ยากจะบรรยายออกมา จากนั้นเขาก็ถามอย่างสงสัยว่า “แล้วภารกินนั่นเป็นยังไง?”

 

“เดี๋ยวผมจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง” เบทต้าพูดขึ้นมาขณะกินอยู่ “เมื่อประมาณสองชั่นโมงก่อน ผมกำลังหาวัตถุดิบที่เพิ่มรสชาติอยู่ในตลาด อาทิเช่นพวกขิงหรืออะไรทำนองนั้น ในท้ายที่สุดผมเจอเข้ากับเจ้าโจรคนหนึ่งที่ขโมยกระเป๋าตังค์ของคนบนถนน ผมไล่จับโจรคนนั้นได้และได้ลงโทษเขา จากนั้นเมื่อผมค้นดูกระเป๋าตังค์ผมก็พบเข้ากับกระดาษเหม็นๆที่มีสัญลักษณ์อะไรสักอย่างอยู่ในนั้น จากนั้นผมก็ได้รับภารกิจดันเจี้ยน”

 

หมอนี่โชคดีจริงๆ… โรแลนด์ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

 

ความสามารถที่ซ่อนอยู่ของหมอนี่คงเป็นเทพแห่งความโชคดี

 

“รอเดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวผมแชร์ภารกิจไปให้”

 

หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีโรแลนด์ก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบและหลังจากที่เขาเลือกรับภารกิจเขาก็เห็นภารกิจสีม่วงขึ้นมาในระบบภารกิจของเขา

 

ปลดล็อกสุสานลับของเมืองเดลพอน (แนะนำปาร์ตี้) (แนะนำระดับ 3)

 

มันเป็นภารกิจระดับสีม่วงโรแลนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ด้วยเพียงแค่เราสองคน บางทีมันอาจจะมีปัญหาได้ ลองหาคนเพิ่มไหม?”

 

“พี่หมายถึงฮอร์กและเพื่อนของเขางั้นเหรอ?”

 

“ก็น่าจะเป็นพวกนั้น” โรแลนด์พูดและพยักหน้า

 

เบทต้าครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดว่า “แต่รวมพวกนั้นแล้วพวกเราก็ยังมีแค่สี่คนเท่านั้น ห้าคนถือว่าเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของปาร์ตี้ขนาดเล็ก ยิ่งไปกว่านั้นเราไม่มีผู้รักษาด้วย”

 

“งั้นลองโพสต์หาผู้รักษาในฟอรั่มดูไหม” โรแลนด์เสนอและพูดว่า “ลองดูเผื่อว่ามีพวกนักบวชอยู่ใกล้ๆกับเดลพอน”

 

เบทต้าคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีใช้ได้ “งั้นพี่โพสต์หานะครับ เพราะถึงยังไงพี่ก็เป็นคนมีชื่อเสียงในนั้น”

 

โรแลนด์ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้แล้วตอบตกลง “ได้เลย”

 

ในขณะนี้รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเบทต้า “นี่น่าจะเป็นภารกิจดันเจี้ยนอันแรกของเกม ถ้าลองใช้ชื่อ F6 ในการหาคนฟอรั่มจะต้องดุเดือดอย่างแน่นอนเลยครับ”

Mage are too Op หฤโหดโคตรนักเวทย์

Mage are too Op หฤโหดโคตรนักเวทย์

Mage are too Op หฤโหดโคตรนักเวทย์
Score 6.9
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Mage are too Op หฤโหดโคตรนักเวทย์ในฐานะผู้เล่นกลุ่มแรกที่เข้าสู่โลกแห่งฟาลาน เกมเสมือนจริงเกมแรกของโลก โรแลนด์ได้เริ่มตัวตนใหม่ของเขาในฐานะนักเวทย์ ทว่าการเป็นนักเวทย์นั้นแสนยากลำบากไม่เหมือนที่เขาเคยจิตนการไว้ ครั้งแรกที่เขาลองร่ายเวทย์หัวของเขาก็ระเบิดออกมา ผู้เล่นนักเวทย์คนอื่นๆต่างถอดใจและพากันลบตัวละครทว่าโรแลนด์ก็ยังคงดื้อดึงต่อไป โรแลนด์เริ่มพัฒนาความสามารถของตัวเองจนเชี่ยวชาญและพบเข้ากับพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาของตัวเอง ซึ่งทำให้เขาสามารถเปลี่ยนความคิดของผู้เล่นที่มีต่อนักเวทย์และค้นหาความลับของเกมนี้ได้….

Comment

Options

not work with dark mode
Reset