หลังจากจบภารกิจเบื้องต้นทุกคนจะได้รับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของตัวเอง
ฮอร์กนั้นได้รับโล่ที่มีคุณสมบัติเพิ่มความต้านทาน ในขณะที่ลิงค์นั้นได้รับชุดเกราะที่เพิ่มความต้านทานธาตุไฟ
ของรางวัลของเจ็ทคือคทาสีดำซึ่งมีลูกตุ้มสีดำแขวนอยู่ตรงปลายคทา นี่มันดูไม่เหมือนคทาเลยแม้แต่น้อยมันดูเหมือนค้อนเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตามเจ็ทท์เองก็ค่อนข้างชอบมัน
ส่วนเบทต้านั้นเป็นคนที่โชคดีมากที่สุด เขาได้รับดาบยาวธาตุไฟ มันส่องแสงสีแดงและดูไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย อาวุธชิ้นนี้จะแผดเผาร่างของผู้ใช้มัน ทว่าเบทต้านั้นมีสายเลือดของมังกรเพลิงซึ่งช่วยให้เขามีความต้านทานธาตุไฟ เจ้าสิ่งที่อยู่ในมือของเขานั้นมันก็ราวกับเป็นแค่ที่อุ่นแขน
ส่วนโชคของโรแลนด์นั้นค่อนข้างธรรมดา
เขาได้รับไม้เท้าที่มีคุณสมบัติสองอย่างคือพลังเวทย์ +2, พลังชีวิตสูงสุด +6
หลังจากได้ไม้เท้านี้เขาก็ทำการทดสอบทันทีโดยการลองร่ายบอลเพลิงขนาดเล็กธรรมดา
พลังทำลายของเวทย์นั้นเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ทว่าไม่ได้เห็นได้ชัดขนาดนั้น แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไม่มี แต่อย่างไรก็ตามค่าพลังชีวิตสูงสุดเพิ่มขึ้นมานั้นมันก็ไม่แย่
ส่วนอุปกรณ์ที่ดีที่สุดนั้นเป็นสิ่งที่เขาได้รับมาจากความสำเร็จในการเคลียร์ภารกิจดันเจี้ยนแบบหลักเป็นคนแรก
ในมุมมองของระบบ สร้อยคอสงบใจเป็นอุปกรณ์ที่มีชื่อสีทองและมีเอฟเฟคเพียงแค่อย่างเดียว…
สงบใจ : ดูดซับและเก็บกักพลังจิตที่ผู้สวมใส่ปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจ และหากพลังจิตของผู้สวมใส่ต่ำกว่า 50% พลังจิตที่ถูกเก็บไว้จะถูกส่งกลับมายังผู้สวมใส่ ความเร็วในการส่งกลับ 30/วินาที มีผลต่อเนื่อง 3 วินาที
พลังจิตหรือเรียกอีกอย่างว่า MP ภายในระบบนั้นได้มีการวัดค่าที่แน่นอนไว้ให้ โดย MP ของโรแลนด์ ณ ปัจจุบันนั้นมีอยู่ราวๆ 140/140 ถึงแม้ว่าโรแลนด์จะเลเวลอัพและมีเลเวลที่สูงขึ้น เขาก็คิดไว้ว่าค่า MP สูงสุดของเขาคงมีไม่เกิน 400 ทว่าด้วยสร้อยคอสงบใจมันจะสามารถช่วยให้เขามีค่ามานาสูงสุดถึง 500 หน่วยได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมันเป็นอุปกรณ์ที่ฟื้นฟูพลังจิตโดยอัตโนมัติและสามารถใช้ได้ตั้งแต่ช่วงแรกจนถึงช่วงท้ายของเกม
มันเป็นอุปกรณ์ทองคำอย่างแท้จริง
โดยปกติแล้วโรแลนด์จะไม่ค่อยสนใจในเรื่องอุปกรณ์เช่นนี้ แต่เขาสามารถบอกได้ 100% เลยว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้เหมาะกับวิธีเล่นเกมของเขามาก
สำหรับนักเวทย์ อุปกรณ์ก็แค่องค์ประกอบภายนอก ซึ่งไม่ได้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกเขามากนัก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นข้อจำกัดของประสิทธิภาพของนักเวทย์นั้นส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ MP และจำนวนเวทย์ MP นั้นถือว่าสำคัญมากที่สุด มันเรียกได้ว่าเป็นสิ่งแรกก่อนการใช้เวทย์เลยก็ได้
ไม่ว่าอุปกรณ์จะดีขนาดไหนและไม่ว่าเวทย์ที่เรียนมาจะเยี่ยมยอดสักเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าหากไร้ซึ่ง MP แล้วนั้นพวกเขาก็จะไม่สามารถใช้มันได้
นอกจากนี้โรแลนด์ชอบศึกษารูปแบบการพัฒนาเวทย์มาก ดังนั้นมันจำเป็นอย่างมากเพื่อให้เขาใช้เวทย์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถึงแม้ว่าผนึกพลังแห่งโรแลนด์นั้นจะสามารถช่วยให้เขาเติมเต็มมานาได้รวดเร็วมากขึ้น ทว่าหากมีการทดลองที่บ่อยครั้งหรือถี่เกินไป ก็จะมีช่วงเวลาที่เขาไม่ได้ร่ายเวทย์อยู่ด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้นด้วยอุปกรณ์ชิ้นนี้ ถึงแม้ว่าเข้าจะไม่ได้ใช้มันเพื่อการต่อสู้ ทว่าเขาก็สามารถใช้มันในการช่วยทดลองเวทย์ได้อยู่ดี
ความล่าช้าในการเรียนรู้หรือการต่อสู้จะหาไป และยิ่งไปกว่านั้นมันสามารถใช้ได้ในตลอด “ช่วงชีวิต” ของเขา นี่มันอุปกรณ์ระดับพระเจ้าชัดๆ
ในพวกเขานั้นไม่มีใครที่เป็นพวกปากสว่าง ไม่มีใครบอกถึงคุณสมบัติของอุปกรณ์ที่พวกเขาได้รับมา
พวกเขาออกจากสุสาน และพวกเขาพบว่าตอนนี้เป็นช่วงบ่ายของเกมเรียบร้อยแล้ว
“ยังไงก็กลับเมืองกันก่อนเถอะ” ฮอว์กพูดอย่างเหน็บเหนื่อยขณะจ้องมองดวงอาทิตย์ซึ่งเอียงไปทางทิศตะวันตกแล้ว
คนอื่นๆตอบตกลงอย่างอ่อนแรง
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำภารกิจดันเจี้ยนสำเร็จแล้ว ทว่านอกจากโรแลนด์แล้วอีกสี่คนก็ไม่ได้ตื่นเต้นมากเท่าไหร่
เหตุผลนั้นน่าเหลือเชื่อเล็กน้อย ดันเจี้ยนนั้นถูกเคลียร์ง่ายเกินไป
สำหรับผู้เล่นบางคนนั้น บางครั้งสถานการณ์ที่ยากลำบากก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกภายในเกม
พวกเขาตรงมาที่นี่อย่างรวดเร็วด้วยความคาดหวัง และมองหาประสบการณ์แปลกใหม่จากภารกิจประเภทดันเจี้ยนซึ่งอยู่ในโลกของเกมที่เป็นเอกลักษณ์อย่างมาก
แม้ว่ามันจะยากลำบากและท้าทายมาก แต่พวกเขาก็อยากจะท้าทายมัน การเล่นเกมแบบผู้เล่นแนวหน้านั้นคือการท้าทายและเข้าสู้ความสำเร็จ
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะผ่านมันไปได้อย่างง่ายดายและแทบไม่ได้ใช้ความพยายามใดๆเลยแม้แต่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงความคาดหวังของพวกเขาที่หายไป พวกเขายังรู้สึกเสียใจอีกด้วยที่ในความเป็นจริงคือพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย
อย่างไรก็ตามโรแลนด์ค่อนข้างมีความสุข ประการแรกเขาได้รับอุปกรณ์ทองคำชิ้นหนึ่งและประการที่สองเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความพยายามอย่างเต็มที่ในการศึกษารูปแบบเวทย์ที่พัฒนาแล้วนั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง
อย่างน้อยความสามารถทางอักขระก็ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากแล้ว
ไม่เหมือนกับอีกสี่คนที่เหลือ ซึ่งเชื่อในแนวคิดเกี่ยวกับความแข็งแกร่ง โรแลนด์นั้นเชื่อในเรื่องมุมมองของการคิดและทฤษฎี ตราบใดที่เขาสามารถทำเป้าหมายให้สำเร็จลุล่วงได้ กระบวนการหรือวิธีการก็ไม่สำคัญอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ทักษะและความรู้นั้นก็ช่วยให้เขาสำเร็จภารกิจได้ มันก็สนุกในตัวของมันเองอยู่แล้ว
พวกเขากลับไปที่กำแพงเมือง โดยไม่ได้เร่งรีบเข้าไปด้านใน
โรแลนด์หันไปพูดกับเจ็ทว่า “แล้วนายจะเอายังไงต่อ? จะกลับไปเมืองของนายไหม?”
“ไม่ล่ะ ฉันขออยู่ที่นี่ดีกว่า” เจ็ทกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมืองก่อนของฉัน ฉันเป็นผู้เล่นคนเดียวภายในเมือง ถึงแม้ว่า NPC จะฉลาดขนาดไหนก็ตามและไม่ว่าจะเหมือนมนุษย์มากขนาดไหน ทว่าทัศนคติของพวกเรานั้นต่างจากพวกเขามากเกินไป มันไม่มีอะไรที่จะสามารถเชื่อมในการพูดคุยกันได้เลย ในเมื่อมีพวกนายสี่คนอยู่ในเมืองนี้รวมฉันไปก็จะกลายเป็นห้า พวกเรายังสามารถพูดคุยและช่วยเหลือกันและกันได้”
คำพูดของเขาฟังดูเข้าท่าเลยทีเดียว จากนั้นโรแลนด์ก็ถามไปว่า “แล้วนายมีที่พักหรือยัง?”
“ฉันเป็นนักบวชสายต่อสู้ของโบสถ์แห่งชีวิต ตราบใดที่ยังมีโบสถ์แห่งชีวิตอยู่ ฉันก็สามารถอยู่ฟรีและทางโบสถ์ก็มีหน้าที่ต้องเตรียมอาหารสามมื้อให้แก่ฉันอีกด้วย”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ท่าทางของฮอร์กก็ราวกับว่ากินมะนาวเข้าไป (1) “องค์กรของพวกผู้ใช้เวทย์นี่ใจกว้างจริงๆ มอบประโยชน์ต่างๆให้ตั้งมากมาย โคตรดี”
โรแลนด์ถามอย่างสงสัย “เท่าที่ฉันรู้มานักรบเองก็มีสมาคมเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่มีเหมือนกัน แต่พวกเรานักรบก็ต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าองค์กรนั่นอยู่ดี” ฮอร์กพูดอย่างขมขื่น “ไม่เพียงแต่เท่านั้น หลังจากเข้าร่วมสมาคมนักรบ พวกเรายังจำเป็นต้องทำภารกิจพิเศษโดยไม่มีค่าตอบแทนอีกด้วย ใครแม้งจะโง่เข้าว่ะ”
“เป็นไปไม่ได้เลยที่มีการมอบภาระหน้าที่โดยการไม่ใช้อำนาจหรือการตอบแทนใดๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงพวกนักรบคนอื่นๆคงออกมาเอะอะโวยวายกันใหญ่แล้ว”
ฮอว์กพูดอย่างช่วยไม่ได้ “มันก็มี แต่แม้งโคตรไร้ประโยชน์ อย่างถ้าหากนักรบในองค์กรพบเจอเข้ากับปัญหาใดๆ พวกเขานั้นก็จะเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผล 100% และอื่นๆอย่างเช่นการเรียนสกิลหายากได้ถูกลง”
ก็จริงที่มันโคตรไร้ประโยชน์
ไม่เหมือนกับนักเวทย์ อาชีพอื่นๆนั้นสกิลจะถูกเรียนรู้โดยอัตโนมัติทันทีที่พวกเขาเลเวลอัพ หลังจากขึ้นไปถึงระดับนึง มันจะมีสกิลพิเศษและความสามารถที่หลากหลายให้พวกเขาได้เลือกเรียนและมันไม่จำเป็นต้องตั้งใจหรือเคร่งเครียดเพื่อเรียนรู้มัน
สำหรับการไกล่เกลี่ยปัญหา…พวกผู้เล่นดูเหมือนคนที่กลัวปัญหางั้นเหรอ?
พวกเขาอยากจะให้พวก NPC มาหาเรื่องพวกเขาจะตาย พวกเขาจะได้มีข้ออ้างในการจัดการพวกนั้น
“ถ้าอย่างนั้นเราจากกันตรงนี้นะ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นค่อยมาติดต่อกัน” โรแลนด์พูดด้วยรอยยิ้ม “และในภารกิจหลักอันต่อไป พวกเราค่อยมาคุยกันอีกทีเมื่อพวกเรามีเลเวลสูงขึ้น”
คนอื่นๆพยักหน้ารับ
ภารกิจหลักอันถัดไปมีการ “แนะนำไว้ที่ระดับ 5” เขียนไว้อยู่ในคำอธิบาย
ภารกิจนั้นเป็นสีเทาไม่สามารถถูกกระตุ้นได้
พวกเขาทั้งห้าแยกกัน โรแลนด์นั้นตรงไปยังหอคอยเวทย์และพบว่ามีคนกำลังรอเขาอยู่ที่นั้น
เป็นบาร์ดและนักเวทย์ฝึกหัดสองคนที่อยู่กับเขา เขามองตรงมาที่โรแลนด์และเดินเข้าไปหาเขา
เมื่อโรแลนด์อยู่ตรงหน้าเขาบาร์ดกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “บุตรทองคำ เจ้ามั่นใจมาจากไหนงั้นเหรอว่าเจ้าไม่สามารถตายได้?”