ตอนที่ 310 ถึงเวลาที่จะอยู่อย่างมีความสุข
ซูจิ่วซือเข้าใจความหมายที่เฟิ่งอวิ๋นหล่างตรัส วันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะทูล นี่เป็นโอกาสที่ซูเหลียงอินเอาชีวิตเข้าแลก นางต้องอาศัยเรื่องนี้มาทำให้ซูเหวินถูกขับออกจากจวนอันผิงโหว
เหตุการณ์ผ่านมานาน ไม่มีหลักฐานจริงๆ นี่เป็นเหตุผลที่นางไม่ได้ลงมือจนกระทั่งบัดนี้ เดิมทีนางอยากจะทำลายครอบครัวของซูเหวินทีละน้อย เป็นการแก้แค้นแทนซูหมิง
เวลานี้เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงจัดการด้วยพระองค์เอง นางรู้ดี เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐาน แค่อาศัยพระดำรัสของเฟิ่งอวิ๋นหล่าง
เมื่อก่อนซูเหวินเป็นลุงแท้ๆ ของกู้เฝิ่นไต้ เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงโปรดปรานกู้เฝิ่นไต้ ย่อมไม่อาจจัดการกับซูเหวิน เวลานี้กู้เฝิ่นไต้ตายแล้ว วันเวลาอันแสนสุขของซูเหวินควรจะสิ้นสุดลง
“ฝ่าบาท ตอนที่ท่านพ่อตาย หม่อมฉันอายุยังน้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อสองสามปีก่อนในวันครบรอบการตายของท่านพ่อ ท่านแม่ได้พาข้าไปคารวะท่านพ่อ และพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต
ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อตายเพราะถูกวางยา และเป็นยาพิษชนิดเดียวกับที่วางยาท่านป้า
ท่านป้าไม่ได้ติดโรคมาจากท่านพ่อ แต่ถูกวางยาพิษ หลายปีผ่านไปท่านพ่อก็ถูกวางยาพิษชนิดเดียวกัน
ท่านพ่อเคยสงสัยเรื่องนี้มาก่อน เคยตรวจสอบ แต่ยังไม่ทันตรวจสอบชัดเจนก็ตาย ท่านแม่เสียใจที่ไม่มีหลักฐาน จึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ อยากให้ข้าจดจำสาเหตุการตายของท่านพ่อ
หลังจากท่านพ่อตาย อารองก็สืบทอดจวนอันผิงโหวอย่างราบรื่น พอท่านปู่ตาย ก็ไล่พวกหม่อมฉันออกจากจวนอันผิงโหว คนที่วางยาพ่อข้าเป็นใคร จึงแน่ชัดอยู่แล้ว”
ซูจิ่วซือพูดอย่างราบเรียบ ช้าๆ นี่เป็นความจริงในเวลานั้น แม้ไม่มีหลักฐาน แต่ก็ไม่ได้ใส่ร้ายซูเหวิน
ซูเหวินเริ่มร้อนใจ รีบปฏิเสธ “กระหม่อมถูกใส่ร้าย ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน กระหม่อมกล้าสาบานต่อฟ้า ไม่ได้ทำร้ายพี่ชายแน่นอน
เวลานั้นพี่สะใภ้กลัวว่าถ้าอยู่ที่เดิมจะคิดถึงท่านพี่ จึงอยากออกไปจากจวนอันผิงโหว
ข้าพยายามขอร้องให้อยู่ต่อแต่ไม่ได้ผล จึงให้พี่สะใภ้พาลูกออกไปจากจวน และเคยบอกพี่สะใภ้ไว้ว่า ถ้าพี่สะใภ้อยากกลับมาเมื่อไรก็กลับมาได้ ต่อมาพี่สะใภ้คิดตก กระหม่อมก็ยังรับครอบครัวพี่สะใภ้กลับ”
ซูจิ่วซือยิ้มหยัน ซูเหวินช่างหน้าด้านจริงๆ คำอย่างนี้ก็พูดออกมาได้
“อารอง ตอนที่ออกจากจวนอันผิงโหวข้าอายุแปดขวบแล้ว ไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ประสา แม่ข้าไม่เคยพูดว่าอยากออกไปจากจวนอันผิงโหว และยังขอร้องอารองว่าอย่าขับไล่พวกข้าไป
อารองไล่พวกข้าออกจากจวนเอง บอกว่าตั้งแต่นี้ไปจวนเป็นของอารองแล้ว เรื่องนี้ข้าจำได้อย่างชัดเจน อารองทูลฝ่าบาทอย่างนี้ไม่รู้สึกละอายใจหรือ”
ซูเหวินไม่รู้ว่าเฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงหมายความว่าอย่างไร ในใจแม้จะวิตก แต่สีหน้ายังคงสงบ ปฏิเสธอย่างจริงจัง “เป็นการใส่ร้าย ฝ่าบาท กระหม่อมทูลเป็นความจริงทั้งหมด เด็กคนนี้ใส่ร้ายกระหม่อม คำพูดของนางเชื่อถือไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งอวิ๋นหล่างไม่ตรัส ทรงเคาะโต๊ะชาเบื้องพระพักตร์ ราวกับทรงครุ่นคิด ทั่วท้องพระโรงเงียบสงัด บรรดานางกำนัลต่างก้มหน้ารอ อยู่ข้างๆ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแม้เพียงเล็กน้อย ระยะนี้วังในไม่สงบจริงๆ
ซูจิ่วซือก้มหน้านิ่ง ในใจมีแผนการไว้แล้ว คราวนี้ซูเหวินหนีไม่พ้นแน่
“ก่อนหน้านี้เราได้ยินเรื่องที่นางฟางข่มเหงจิ่วซือ ถ้าบอกว่าพวกเจ้าไล่ครอบครัวฮูหยินซู เราเชื่ออย่างนี้ นางฟางเคยทำจริงๆ
เหตุการณ์เมื่อก่อนไม่มีหลักฐาน เราไม่ได้เชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงไม่ได้สืบถาม”
——
ตอนที่ 311 สละบรรดาศักดิ์อันผิงโหว
เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงชะงัก แล้วตรัสเรื่องอื่นทันที “ซูเหวิน เจ้าเองก็อายุมากแล้ว ตำแหน่งจวนโหวควรสืบทอดให้คนหนุ่ม ตามหลักเหตุผล ซูเหิงสมควรสืบทอดจวนโหวต่อไป เขาเป็นผู้สืบทอดสายตรง บัดนี้ก็โตแล้ว สามารถสืบทอดตำแหน่งโหว ซูเหวิน เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
สีหน้าซูเหวินแข็งทื่อ นี่เป็นเรื่องภายในของจวนอันผิงโหว เฟิ่งอวิ๋นหล่างไม่ควรยุ่งเกี่ยว นี่เป็นข้อตกลงที่รู้กันระหว่างเจ้ากับขุนนาง
แต่ครั้งนี้เฟิ่งอวิ๋นหล่างทำผิดปกติเกินไป ซูเหวินไม่อาจโต้แย้งได้เลย ซูเหิงเป็นผู้สืบทอดสายตรงจริงการที่เขาสืบทอดตำแหน่งจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
ซูเหวินจะตอบปฏิเสธได้หรือ เขาได้แต่บากหน้าทูลว่า “ที่ฝ่าบาทตรัสนั้นมีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอายุมากแล้ว เดิมก็ตั้งใจจะให้ซูเหิงเป็นผู้สืบทอดจวนอันผิงโหว จึงให้ซูเหิงกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่วซือยังคงยิ้มหยัน ถึงตอนนี้ซูเหวินยังไม่ลืมที่จะยกตัว
นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐาน นางเองก็ไม่คาดหวังว่าเฟิ่งอวิ๋นหล่างจะลงโทษซูเหวินจริงๆ ถึงอย่างไรซูเหวินก็เป็นขุนนางราชสำนัก ถ้าลงโทษเขาทันทีทันใด อาจจะเกิดข้อครหา ระยะนี้เมืองหลวงเกิดเรื่องมากพอแล้ว
“ซูเหิงเฉลียวฉลาด เราชอบเขา ซูเหวิน เจ้าเองก็ควรกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบที่บ้านเกิด”
นี่เป็นการตรัสเป็นนัยให้เขาขอเกษียณกลับบ้านเกิด ซูเหวินไม่มีเหตุผลที่จะไม่ปฏิบัติตาม เขารู้ดีว่าเขาและซูเหมยหมดอำนาจแล้ว ขืนอยู่ต่อไปเกรงว่าจะถึงแก่ชีวิต รีบเกษียณกลับไปบ้านเกิดก็ดี อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้
เขากราบถวายบังคม “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องอย่างยิ่ง กระหม่อมเองก็มีความคิดเช่นนี้ ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากลับไปเถอะ! เรายังมีเรื่องจะกำชับองค์หญิงอันผิง”
“กระหม่อมถวายบังคมลาพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเหวินลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากเย็น พอพ้นจากประตูนี้แล้ว เขาก็ไม่ใช่อันผิงโหว เกียรติยศความมั่งคั่งที่มีอยู่ถูกลูกสาวของซูหมิงแย่งชิงไปหมด สิ่งที่เขาเคยทุ่มเทไขว่คว้ามา สุดท้ายยังคงกลับไปอยู่ในมือของซูหมิง
มาถึงขั้นนี้แล้ว จำเป็นต้องขัดขวางซูฉี ไม่ไห้เล่นงานซูจิ่วซืออีก ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจบชีวิต บัดนี้เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงยืนอยู่ข้างซูจิ่วซือแล้ว
“จิ่วซือ ระงับความเศร้าโศกด้วย เรารู้ว่าน้องสาวเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม นางตายเพราะช่วยชีวิตชิงเฉิง เราจะจัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่
เราคืนบรรดาศักดิ์แห่งจวนผิงอันโหวให้ซูเหิงแล้ว ถือว่าเป็นการปลอบขวัญดวงวิญญาณของซูเหลียงอินบนสวรรค์ น่าเสียดายจริงๆ ไม่อาจจัดพิธีศพอย่างสมเกียรติได้ แต่เราจะไม่ทำให้นางน้อยเนื้อต่ำใจ เราจะให้คนเคลื่อนศพนางไปฝังที่นอกเมืองหลวง เรื่องงานศพให้เจ้ากับซูเหิงจัดการเถอะ อย่าให้เอิกเกริก”
ซูจิ่วซือก้มหน้า สีหน้าเศร้าหมองชัดเจน “เหลียงอินจิตใจดีงาม กุ้ยเฟยประสบอันตราย นางยอมช่วยโดยไม่คำนึงถึงชีวิต ฝ่าบาทเพคะ เหลียงอินทิ้งอะไรไว้หรือไม่”
“นางทิ้งจดหมายเลือดไว้ให้เจ้า”
ตรัสจบก็ทรงหันมาพยักพระพักตร์ให้หลี่เสิ้งเต๋อซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง หลี่เสิ้งเต๋อเข้าใจทันที รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พับเรียบร้อยออกจากลิ้นชักข้างๆ เดินมาตรงหน้าซูจิ่วซือ ค้อมคารวะแล้วยื่นให้นาง
ซูจิ่วซือรับผ้าเช็ดหน้า เป็นผ้าเช็ดหน้าของซูเหลียงอิน บนนั้นเขียนข้อความไว้สองบรรทัด “พี่สาว ชาติหน้าค่อยเป็นพี่น้องกันอีก ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ พี่กับพี่รองดูแลตัวเองด้วย”
ซูจิ่วซือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ผ้าเช็ดหน้ามีกลิ่นคาวเลือดรุนแรง ทำให้ปวดร้าวใจสุดขีด เบื้องหน้าปรากฏมีภาพใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใส ร้องเรียกพี่สาวอย่างอ่อนหวาน
ซูจิ่วซือปวดร้าว พยายามข่มใจ ไม่ให้เสียมารยาทเบื้องพระพักตร์เฟิ่งอวิ๋นหล่าง
“เจ้าไปเยี่ยมชิงเฉิงหน่อย นางโทษตัวเองมาก ไปปลอบใจนาง เราพูดไม่ได้ผลเท่าคำพูดเจ้า” ขณะตรัสถึงประโยคสุดท้าย สีพระพักตร์เฟิ่งอวิ๋นหล่างหม่นหมองอย่างชัดเจน