ตอนที่ 350 การรักคนคนหนึ่งมากเกินไปเป็นจุดด่างพร้อย
สีพระพักตร์ของซุ่นตี้เครียด แต่ไม่ได้ตรัสแทรกฟู่เฉินหรง รอให้ฟู่เฉินหรงพูดต่อ จุดด่างพร้อยที่สำคัญที่สุดของซุ่นตี้ก็คือการประหารรัชทายาทตวนฮุ่ย
คดีกบฏในเวลานั้นพัวพันถึงผู้คนมากมาย ในเมืองหลวงเลือดนองเป็นสายน้ำ
พระองค์สังหารผู้คนจนเลือดเข้าตา ไม่ทรงรับฟังคำพูดของผู้ใด ทรงคิดแต่ว่าบัลลังก์มังกรเป็นของพระองค์แต่ผู้เดียว ไม่ใส่พระทัยแม้แต่พระโอรสแท้ๆ การก่อกบฏเป็นโทษทัณฑ์ใหญ่หลวงที่พระองค์ไม่อาจทนได้
เหตุการณ์รัชทายาทตวนฮุ่ยพลิกคดีเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ผู้คนต่างพากันหลบหนี้ เกรงว่าจะทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว แต่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ ราษฎรรุ่นต่อมารู้ว่าซุ่นตี้ซึ่งทรงรักใคร่ราษฎรดุจลูกหลานเคยสังหารพระโอรสและผู้คนมากมาย
นี่เป็นจุดด่างพร้อยสำคัญที่สุดของซุ่นตี้
“วันหลังเจ้าก็จะเป็นฮ่องเต้ที่ดีหมั่นเพียรว่าราชการรักใคร่ราษฎร แต่เจ้าก็ยังมีจุดด่างพร้อย เพียงแต่จุดด่างพร้อยของเจ้ากับของข้าไม่เหมือนกัน การรักคนคนหนึ่งมากเกินไปเป็นจุดด่างพร้อยของเจ้า”
“พระอัยกา จิ่วซือเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับหลาน ถ้าไม่มีนาง หลานคงตายไปแล้ว นางทำให้หลานได้มายืนอยู่ที่นี่ ถ้าจิ่วซือตายด้วยพระหัตถ์ของพระอัยกา หลานจะตายตามนางอย่างแน่นอน”
“เจ้า เฉินหรง นางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ยังสำคัญกว่าบ้านเมืองหรือ”
ซุ่นตี้ทรงกริ้วจนพระหัตถ์สั่น ฟู่เฉินหรงทำให้พระองค์พอพระทัย สิ่งเดียวที่พระองค์ไม่พอพระทัยคือการที่เขารักผู้หญิงคนหนึ่งมากเกินไปมั่นคงเกินไป ฮ่องเต้ควรตัดขาดจากความรักความผูกพัน จึงจะหนักแน่น ไม่ได้รับผลกระทบจากใครคนใดคนหนึ่ง
“หลานไม่อาจเอาจิ่วซือมาเทียบกับบ้านเมือง ในฐานะที่เป็นรัชทายาท หลานให้ความสำคัญต่อบ้านเมือง ในฐานะคนคนหนึ่ง หลานให้ความสำคัญต่อจิ่วซือ ไม่ว่าเป็นรัชทายาทหรือเป็นคน ก็เป็นหลานเอง ทั้งสองอย่างไม่ได้ขัดแย้งกัน
จิ่วซือสามารถช่วยเหลือหลานได้ ถ้าหลานมีนางอยู่เคียงข้าง ต่อไปแคว้นเจียงจะดีขึ้นเรื่อยๆ พระอัยกาทรงดูแคลนนางเกินไป หลานเลือกคนไม่ผิดเช่นเดียวกับพระอัยกา ในใจของหลานมีแต่นางคนเดียวเท่านั้น
พระอัยกา ถ้าพระอัยกาทรงยืนยันไม่ให้นางมีชีวิตอยู่ ก็โปรดฆ่าหลานด้วยเถิด ให้หลานไปอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ในปรโลก”
ฟู่เฉินหรงพูดจบก็คุกเข่าลงกับพื้น ซุ่นตี้ไม่ตรัสอีก สีพระพักตร์ลังเล ฟู่เฉินหรงกำลังบีบคั้นพระองค์ ให้พระองค์ทรงไว้ชีวิตซูจิ่วซือ
พระองค์ทรงรู้สึกว่าถ้าซูจิ่วซือยังมีชีวิตอยู่จะเป็นอุปสรรค จึงต้องการกำจัดซูจิ่วซือ เวลานี้ซูจิ่วซือยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้
“เฉินหรง ทุกคนในโลก ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเอาหรือทิ้ง”
“ตั้งแต่หลานเกิดมา หลานยังเลือกไม่มากหรือ เวลานี้คนใกล้ชิดของหลานมีแต่จิ่วซือเท่านั้น นางเป็นคนที่หลานไม่มีวันทิ้ง
พระอัยกา หลานไม่ต้องการสิ่งชดเชย ต้องการจิ่วซือเท่านั้น หลานสูญเสียคนใกล้ชิดไปมากเหลือเกิน ไม่อาจสูญเสียนางไปอีก ถ้าพระอัยกาให้หลานสงบใจอยู่ที่แคว้นเจียง โปรดไว้ชีวิตจิ่วซือด้วยเถิด นางอยู่ที่ไหน หลานก็อยู่ที่นั่น”
ซุ่นตี้ไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง แต่ทรงนึกถึงพระโอรสที่เสียชีวิตไป นี่เป็นเรื่องที่พระองค์เสียพระทัยที่สุด ซิ่นอ๋องสมควรตาย แต่รัชทายาทตวนฮุ่ยตายเพราะถูกใส่ร้าย
ตอนที่รัชทายาทตวนฮุ่ยเสียชีวิต ฟู่เฉินหรงอายุไม่ถึงหนึ่งขวบ อายุเพียงเท่านี้เขาก็สูญเสียทุกอย่าง และทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระอัยกาพระองค์นี้ ทำให้เขาต้องระเห็จไปอยู่ที่อื่นถึงยี่สิบกว่าปี พระองค์ทรงรู้สึกละอายพระทัยต่อฟู่เฉินหรง
พระองค์ไม่ปรารถนาให้เกิดช่องว่างกับฟู่เฉินหรงเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงเวลานั้นซิ่นอ๋องจะฉวยโอกาสเข้ามา ในเมื่อไม่สามารถกำจัด จึงจำเป็นต้องยินยอม
“ก็ได้ เรารับปากเจ้า ไม่ทำร้ายซูจิ่วซือ แต่เราไม่จัดการแต่งงานให้เจ้าเด็ดขาด
เจ้ากับเฟิงชิงสุ่ยหมั้นหมายกันไว้แล้ว ถ้าเจ้ายกเลิกการหมั้นหมายโดยที่เราไม่มีเหตุผลจะยับยั้งได้ เราจะทำให้เจ้าทั้งสองสมหวัง ทำให้ซูจิ่วซือเป็นพระชายาของรัชทายาท ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระชายาของรัชทายาท”
——
ตอนที่ 351 ข้อตกลงระหว่างพระอัยกากับพระราชนัดดา
ฟู่เฉินหรงโล่งอก จุดหมายที่เขามาวันนี้ก็เพื่อให้ซุ่นตี้ทรงรับประกันว่าจะไม่ทำร้ายซูจิ่วซือ เรื่องอื่นเขารู้ว่าไม่เร่งด่วน
“จิ่วซือจะทำให้พระอัยกาพอพระทัย”
“เราจะรอดู เฉินหรง เราไม่ทำอะไรนาง แต่ถ้าคนใกล้ชิดทำร้ายนางจะโทษเราไม่ได้ ในเมื่อเจ้าให้นางมาเมืองหลวง ก็ควรจะรู้ว่ามีอันตรายอย่างไร ไม่ว่าอย่างไร เส้นทางนี้เจ้าต้องเดินต่อไป”
“หลานเข้าใจ”
ฟู่เฉินหรงรับปาก เขาเข้าใจความหมายของซุ่นตี้ เวลานี้เขาเองยังมีอันตรายรอบด้าน เมื่อซูจิ่วซือมาแล้ว ก็ต้องเผชิญอันตรายเช่นเดียวกัน
เพียงแต่ว่าเขาและนางเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เขาจะพยายามปกป้องซูจิ่วซือจนสุดความสามารถ และเชื่อว่าเขากับนางจะมีชีวิตต่อไป และเป็นผู้พิชิตในที่สุด
“ออกไปได้แล้ว!”
ซุ่นตี้ทรงโบกพระหัตถ์ ฟู่เฉินหรงเห็นว่าเรื่องที่จะทูลก็ทูลไปแล้ว จึงลุกออกไป ขอแต่ให้ซุ่นตี้ไม่ทำร้ายซูจิ่วซือ เขาก็สบายใจแล้ว พระองค์เป็นฮ่องเต้ และเป็นพระอัยกาของเขา ถึงจะป้องกันอย่างไรก็ไม่ป้องกันไม่ได้ ไม่เป็นผลดีต่อใคร
เขากับซุ่นตี้เป็นตั๊กแตนตำข้าวที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน ถ้าไม่แก้ปัญหานี้ เขาคงพ่ายแพ้แก่ซิ่นอ๋อง
พอฟู่เฉินหรงไปแล้ว ซุ่นตี้ก็ถอนพระทัยเบาๆ “เด็กคนนี้ยากที่จะสลัดออกจากความรัก”
“ฝ่าบาทอย่าทรงวิตกเกินไป องค์หญิงอันผิงมีความสามารถจริงๆ ที่แคว้นเว่ยมีคำร่ำลือเกี่ยวกับนางไม่น้อย” หวังฝูซึ่งอยู่ข้างๆ ทูลขึ้น
“อยู่ที่นี่อันตรายกว่าอยู่แคว้นเว่ยมาก เฟิงชิงสุ่ยเหมาะกับเฉินหรงมากกว่านาง เสียดายที่เฉินหรงไม่เข้าใจเรื่องนี้ ช่างเถอะ เฉินหรงเป็นคนดึงดัน ถ้าเราฆ่าซูจิ่วซือ เฉินหรงคงจะขัดใจกับเรา เด็กคนนี้นึกถึงแต่ซูจิ่วซือ เมื่อก่อนเราทำผิดต่อเขา ไว้ชีวิตได้ก็ไว้เถอะ!
หวังฝู เจ้ารีบออกคำสั่ง ยกเลิกเรื่องนี้ ไม่ต้องจัดการซูจิ่วซือ”
หวังฝูพยักหน้า “บ่าวเข้าใจ ฝ่าบาทไม่ต้องทรงวิตกกับเรื่องนี้ องค์รัชทายาทไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจเหตุผล วันหลังคงไม่ทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวัง”
ซุ่นตี้ทรงกระแอมเบาๆ “เราแก่แล้ว ไม่มีเวลามากนัก พอจะช่วยได้แค่นี้แหละ วันหลังต้องอาศัยเฉินหรงเอง แคว้นเจียงเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่ลิขิตฟ้า เราทำเต็มที่แล้ว”
ซุ่นตี้ไม่ทรงมองในแง่ดีนัก ยังทรงวิตกเกี่ยวกับอนาคตของแคว้นเจียง เป็นเพราะพระองค์ทรงชราแล้ว จึงทรงเริ่มรู้สึกว่าพละกำลังไม่เป็นไปตามพระทัยคิด เวลานั้นถ้าไม่ประหารรัชทายาทตวนฮุ่ย แคว้นเจียงก็คงไม่เผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้!
หลังจากรัชทายาทตวนฮุ่ยถูกประหาร พระองค์ทรงพบว่าไม่มีคนที่สามารถสืบทอดบัลลังก์ ทรงประคับประคองมาจนถึงทุกวันนี้ ทอดพระเนตรเห็นซิ่นอ๋องสร้างฐานอำนาจของตนขึ้นมาทีละน้อย ว่าไปแล้วนี่เป็นผลจากการกระทำของพระองค์เอง
“ฝ่าบาทอย่าทรงวิตกเกินไป พระพลานามัยสำคัญที่สุด”
หวังฝูรู้ว่าซุ่นตี้ทรงห่วงใยแคว้นเจียง จึงรีบทูลเตือน
“เจ้าออกไปก่อน! เรื่องที่เรามอบหมาย รีบไปจัดการ เราจะอยู่คนเดียวเงียบๆ ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
หวังฝูขานรับแล้วถวายบังคมออกไป ซุ่นตี้ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์เพียงลำพัง จู่ๆ ก็ทรงรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คงเป็นเพราะความชรา พระองค์มีพระชนม์เจ็ดสิบพรรษาแล้ว
…..
ซูจิ่วซืออยู่ที่หอหยกเขียว เบื้องหน้านางมีอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะ กับข้าวไม่ต่ำกว่ายี่สิบอย่าง อุดมสมบูรณ์จริงๆ มีกลิ่นหอมของอาหารโชยมาเป็นระยะๆ ตลอดเวลา
ซูจิ่วซือราวกับมองไม่เห็นอาหารบนโต๊ะ ยังคงนั่งอย่างสงบ คนที่นั่งตรงกันข้ามกับนางคือจงมั่วเจียง
“เจ้าไม่บอกข้าว่าชอบอะไรก็ไม่เป็นไร ข้าให้คนทำอาหารขึ้นชื่อทุกอย่าง คงมีสักอย่างที่เจ้าชอบ ฝีมือการปรุงยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าเจ้าได้ชิมคงไม่มีวันลืมแน่ รีบกินเถอะ!”