ตอนที่ 394 เล่นละครก็ต้องให้สมจริง
มู่หยางดีใจมาก หลายปีมานี้ ไม่ได้ข่าวคราวน้องสาวเลย เวลานี้ได้ข่าวของน้องสาวโดยบังเอิญ
ซูจิ่วซืออายุน่าจะใกล้เคียงกับน้องสาว ไม่รู้ทำไม เขาสังหรณ์ใจว่า แม่นางคนนี้ก็คือน้องสาวของเขา
เผยปิงปิงยกกับข้าวออกมา พอเห็นทั้งสามอยู่ด้วยกัน บนพื้นมีกับข้าวกระจัดกระจาย ก็ถามอย่างสงสัย “มีใครเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร คุณชายมู่ เชิญนั่งกินก่อน!”
ซูจิ่วซือยิ้มให้มู่หยาง
มู่หยางพยักหน้า พอนั่งลงแล้วก็ยังแอบชำเลืองมองซูจิ่วซือ ไม่รู้ทำไม เขารู้สึกว่าแม่นางคนที่อยู่ข้างหน้าคล้ายน้องสาวของเขา
เวลาผ่านไปหลายปี ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับน้องสาวเลือนรางแล้ว จำได้แต่ว่าน้องสาวหน้ากลม น่ารักมาก
เวลานั้นเขาเป็นคนพาน้องสาวออกไป แต่เผลอปล่อยให้น้องสาวพลัดหลงไป เรื่องนี้เป็นปมในใจของเขา ทำให้เขาโทษตัวเองมาตลอด ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของเขาคือตามหาน้องสาวให้ได้ ดังนั้นพอเห็นจี้หยกเขาจึงตื่นเต้นมาก ถ้าสามารถพบน้องสาว อาการป่วยของแม่ก็คงจะหาย
ต่อจากนั้นมู่หยางก็เหม่อลอย ทั้งหมดนั่งกินอาหารด้วยกัน มู่หยางถามเรื่องราวตอนเด็กของซูจิ่วซือเป็นระยะๆ ซูจิ่วซือไม่อยากพูดมาก เรื่องนี้ทำให้มู่หยางผิดหวัง
เผยปิงปิงสังเกตดูมู่หยางตลอดเวลา นางรู้ว่ามู่หยางมั่นใจแล้วว่าซูจิ่วซือเป็นน้องสาว เรื่องนี้ง่ายกว่าที่นางคิด มีจี้หยก ก็ราบรื่นขึ้นมาก มู่หยางสืบหามานาน พอเห็นจี้หยกต้องตื่นเต้นแน่
พอกินอาหารเสร็จ มู่หยางก็รีบลาไป
เผยปิงปิงประคองซูจิ่วซือ ถามขึ้น “เจ้าไม่ล้มใช่ไหม! เจ้าจริงจังกับการเล่นละครมาก เอาน้ำมันทารองเท้าจริงๆ ข้าอยู่ในครัวเป็นห่วงเจ้ามาก กลัวเจ้าจะล้มกระดูกหัก”
ซูจิ่วซือยิ้ม “เล่นละครก็ต้องให้สมจริง ข้ารู้จักขีดจำกัด ไม่ล้มจริงจนบาดเจ็บ หลังจากนี้เรารอให้ตระกูลมู่มาเชิญตัวไป”
“ดูจากท่าทีของมู่หยาง คงไม่ให้เรารอนานแน่”
กู้หลียวนเองก็โล่งอก เรื่องนี้สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง อีกไม่กี่วัน ร้านเหล้าของเขาก็จะเปิดกิจการ ในที่สุดเขาก็มีกิจการของตัวเอง จะได้อาศัยร้านเหล้าผูกมิตรกับคนทั่วหล้า
วันรุ่งขึ้น มู่หยางก็พามู่อวิ๋นชางกับฮูหยินมู่มาหาซูจิ่วซือที่คฤหาสถ์ พวกเขาไม่ได้เชิญซูจิ่วซือไปที่จวนตระกูลมู่ แต่เลือกมาหาด้วยตัวเอง
จี้หยกนั้นพวกเขามั่นใจแล้ว เป็นจี้หยกของมู่ซือซือจริง เป็นจี้หยกที่มู่อวิ๋นชางทำเองกับมือมอบให้มู่ซือซือ เป็นของชิ้นเดียวในโลก และในนั้นมีมุมหนึ่งที่มู่ซือซือทำหัก
พอเห็นจี้หยกนั้น ทั้งสองจึงจำได้ทันที นี่คือจี้หยกของลูกสาว
ฮูหยินมู่นอนไม่หลับทั้งคืน รุ่งขึ้นจึงรีบมาทันที
ในห้องโถง ทั้งหมดนั่งหันหน้าเข้าหากัน ฮูหยินมู่จ้องมองซูจิ่วซือตลอดเวลา แววตาซับซ้อน ทั้งดีใจทั้งกลัวผิดหวัง
มู่อวิ๋นชางดูสงบ มีลักษณะของหัวหน้าตระกูล ท่วงท่าสง่า พูดกับซูจิ่วซือด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่วางอำนาจแม้แต่น้อย
“แม่นางซู จี้หยกนี้เป็นของเจ้าหรือ”
ซูจิ่วซือพยักหน้า “จี้หยกนี้ข้าห้อยติดตัวมาตั้งแต่เล็ก ฮูหยินมู่ ท่านคงจำผิด ข้ามีพ่อมีแม่ ไม่ใช่คนที่ท่านตามหาแน่”
ตอนที่ 395 ตระกูลมู่มาหา
ก่อนมาที่นี่ มู่อวิ๋นชางได้สืบถามความเป็นมาของซูจิ่วซืออย่างละเอียด รู้ว่านางมาจากจวนอันผิงโหว และได้รับการแต่งตั้งจากไทเฮาเป็นองค์หญิงอันผิง
ซูจิ่วซือมีชื่อเสียงเลื่องลือในจิงเฉิงแคว้นเว่ย มีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับนางมากมาย การสอบถามเรื่องของนางเป็นเรื่องง่าย
ตระกูลมู่ทำการค้า ใส่ใจเหตุการณ์ในแคว้นเว่ย เกี่ยวกับองค์หญิงอันผิง พวกเขาก็ได้ข่าวมานานแล้ว อีกทั้งนางยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับฟู่เฉินหรง ตระกูลมู่จึงสนใจนางเป็นพิเศษ
แม้ตระกูลมู่จะรักษาความเป็นกลางมาตลอด แต่กไม่ใช่ไม่เข้าใจสถานการณ์ ฟู่เฉินหรงมีโอกาสที่จะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ พวกเขาจึงไม่อาจมองข้าม จึงสืบเรื่องราวของฟู่เฉินหรงอย่างชัดเจน
จากการสืบถามจึงรู้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างฟู่เฉินหรงกับซูจิ่วซือใกล้ชิดกันมาก
การที่ซูจิ่วซือมาแคว้นเจียงครั้งนี้ จึงเกี่ยวข้องกับฟู่เฉินหรง
ในช่วงเวลาสำคัญ จู่ๆ ก็ปรากฏมีจี้หยกรูปผีเสื้ออยู่ที่นางา มู่อวิ๋นชางจึงระแวง ทุกอย่างช่างบังเอิญประจวบเหมาะเหลือเกิน
ถ้าตนยอมรับว่านางเป็นลูก ก็จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับรัชทายาท เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างรัชทายาทกับซิ่นอ๋อง ซูจิ่วซือสามารถตั้งหลักได้อย่างมั่นคงในจิงเฉิงแคว้นเว่ย นางจึงไม่ใช่ผู้หญิงที่ไร้ความคิด
ตรงกันข้ามย่อมมีแผนการล้ำลึก นางแสดงออกชัดเจนว่ายืนอยู่ข้างฟู่เฉินหรง
ถ้านางเป็นลูกสาวของตนจริง มู่อวิ๋นชางต้องยอมรับแน่ แต่ถ้าทั้งหมดนี้เป็นแผนหลอกลวง เขาไม่มีวันให้ตระกูลมู่เข้าร่วมการต่อสู้ในราชตระกูล ตระกูลมู่เป็นเช่นนี้มาตลอด
ฮูหยินมู่ผิดหวังมามากเหลือเกิน หลายปีมานี้มีคนมาแอบอ้าง ทุกครั้งนางดูออกว่าไม่ใช่ เวลานี้นางมั่นใจว่านี่เป็นจี้หยกของลูกสาว ในใจนางจึงมั่นใจว่านี่เป็นลูกสาวของนาง ถ้ายังไม่ใช่ นางกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้เจอลูกสาวอีก
เวลานี้มีแต่ต้องดูปานบนตัวซูจิ่วซือเพื่อตัดสินว่าเป็นลูกของนางหรือไม่
“แม่นางซู จี้หยกนี่เป็นของลูกสาวจริงๆ เป็นจี้หยกที่ท่านพี่ทำให้ลูกสาวคนเล็กตอนนั้น ท่านพี่จึงจำได้
ลูกสาวหายไปเมื่อสิบห้าปีก่อน เวลานั้นอายุแค่สามขวบ หลายปีมานี้ท่านพี่ได้ตามหาไปทั่ว แต่ไม่ได้ข่าวคราว ขอให้คุณหนูซูโปรดเข้าใจความคิดของคนเป็นพ่อแม่ ลูกสาวมีปานที่ไหล่ซ้าย แม่นางซูให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่”
ซูจิ่วซือไม่พูดไม่จา ราวกับว่ายังคงลังเล
“แม่นางซู แม่ข้าไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น เพียงแต่ขอดู หลายปีมานี้แม่คิดถึงน้องสาวมาก”
มู่หยางเกรงว่าซูจิ่วซือจะไม่ยอม เพราะการขอร้องนี้นับว่าเสียมารยาท เขาจึงรีบพูดขึ้น
แม้แต่กู้หลียวนก็ยังช่วยมู่หยางพูด “จิ่วซือ ในเมื่อใต้เท้ามู่พูดอย่างนี้แล้ว เจ้าให้ฮูหยินมู่ดูเถอะ! ฮูหยินมู่จะได้สบายใจ
ว่าไปแล้วก็น่าละอาย ข้ากับจิ่วซือแม้เป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกัน แต่เพิ่งไปมาหาสู่กันเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ เมื่อก่อนมีเรื่องเข้าใจผิดกัน ข้าจึงเห็นจิ่วซือเฉพาะตอนเด็ก หลายปีหลังจากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีก และไม่สามารถบอกอะไรได้”
ในที่สุดซูจิ่วซือก็พยักหน้ารับคำ
ซูจิ่วซือกับฮูหยินมู่เข้าไปในห้องด้วยกัน นางถอดเสื้อนอกออก แผลเป็นตั้งแต่ไหล่ซ้ายถึงไหล่ขวาเผยออกมาเบื้องหน้าฮูหยินมู่ พอเห็นตัวนางมีแผลเป็นมากอย่างนี้ ฮูหยินมู่ก็สงสาร “แม่นางซู เจ้า…”
“เมื่อกี้ข้าก็บอกแล้วและเกรงว่าฮูหยินจะไม่เชื่อ จึงคิดว่าให้ฮูหยินมาดูด้วยตัวเองดีกว่า
ตั้งแต่จำความได้ ตัวข้าก็มีแผลเป็นอยู่แล้ว ข้าจึงไม่รู้ว่าที่ไหล่ซ้ายมีปานรูปผีเสื้อหรือไม่ เรื่องที่ฮูหยินพูด ข้าไม่สามารถรู้ได้ พ่อแม่ข้าจากโลกไปนานแล้ว เรื่องนี้ไม่มีพยาน”