ตอนที่ 536 แข่งยิงธนู
นางยิงธนูแม่น แต่ละครั้งยิงเข้ากลางเป้าพอดี หันมามองซูจิ่วซือซึ่งสวมเสื้อคลุมสีชมพู
นางหันหน้ามา ยิ้มให้ซูจิ่วซือ “แขกคนสำคัญจริงๆ ลมอะไรหอบคุณหนูมู่มาที่นี่ ได้ยินว่าคุณหนูมู่เคยแข่งขี่ม้ายิงธนูได้อันดับหนึ่ง ในเมื่อมาแล้ว คุณหนูมู่แสดงฝีมือหน่อย”
“ได้ ถ้าคุณหนูเฟิงสนใจ ข้าก็ขอแสดงฝีมือ”
ซูจิ่วซือพูดจบก็ถอดเสื้อคลุมออกให้อาหลานซึ่งอยู่ข้างหลัง
เฟิงชิงสุ่ยให้คนเอาธนูมาให้ซูจิ่วซือ
ซูจิ่วซือรับธนู วางลูกธนู ขึ้นสาย ดึงคันธนู ท่าทางคล่องแคล่ว ได้ยินเสียงเฟี้ยว ลูกธนูของซูจิ่วซือพุ่งเข้ากลางเป้าพอดี
เฟิงชิงสุ่ยอยู่ข้างๆ ปรบมือเบาๆ ร้องชม “ฝีมือเยี่ยม มิน่าคุณหนูมู่ จึงได้รางวัลอันดับหนึ่ง ถ้างั้นเรามาแข่งกันหน่อยดีไหม? ยิงครั้งละสามดอก
ซูจิ่วซือไม่ได้ปฏิเสธ หยิบลูกธนูสามดอก ดวงตาฉายแววมั่นใจ เล็งเป้า ปล่อยมือ ลูกธนูทั้งสามดอกพุ่งออกไปพร้อมกัน ทั้งหมดปักกลางเป้าพอดี
เฟิงชิงสุ่ยมองซูจิ่วซือด้วยความประหลาดใจ
นางขี่ม้ายิงธนูเพราะเคยฝึกในกองทัพ ถือกำเนิดในตระกูลแม่ทัพ
แต่ซูจิ่วซือไม่ใช่ นางเป็นเพียงคุณหนูจวนโหว และตอนเด็กก็ถูกขับออกจากจวนโหว นางไปฝึกขี่ม้ายิงธนูที่ไหน และทำได้อย่างชำนาญ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะฝึกได้ในชั่วข้ามคืน คู่ควรกับรางวัลอันดับหนึ่ง ซูจิ่วซือช่างเป็นปริศนาจริงๆ
เฟิงชิงสุ่ยเองก็ยิงเข้ากลางเป้าอย่างง่ายดาย ทั้งสองไม่อาจตัดสินแพ้ชนะ ถ้าแข่งต่อคงไม่มีความหมาย
เฟิงชิงสุ่ยเอาธนูให้สาวใช้ แล้วยิ้มให้ซูจิ่วซืออีกครั้ง “คุณหนูมู่ร้ายกาจจริงๆ สมกับที่ได้รางวัลอันดับหนึ่ง ยิงธนูได้แม่นมาก ไม่รู้ว่าอาจารย์ของคุณหนูมู่เป็นใคร”
“อาจารย์ข้าแม้บอกคุณหนูเฟิง คุณหนูเฟิงก็อาจจะไม่รู้จัก แค่ฝีมือเล็กน้อย คุณหนูเฟิงเป็นคนเคยผ่านการสู้รบมาแล้ว เมื่อกี้ข้าอวดฝีมือต่อหน้าคนเก่ง”
ซูจิ่วซือยิ้มน้อยๆ สีหน้าสงบ นางรู้ว่าแข่งต่อไปก็ไม่รู้แพ้รู้ชนะ นางเป็นคนที่ฝึกอะไรจะฝึกอย่างจริงจัง ถ้าไม่ฝึกก็ไม่ฝึกเลย แต่ถ้าฝึก ก็จะทำให้ดีที่สุด เฉพาะแต่ขี่ม้ายิงธนู นางไม่ด้อยกว่าเฟิงชิงสุ่ยแน่
“คุณหนูมู่ถ่อมตัวเกินไป เมื่อกี้ได้ขยับเนื้อขยับตัวแล้ว ถ้างั้นก็นั่งข้างนอกเถอะ ข้างหน้ามีศาลา เราไปนั่งที่นั่น”
เฟิงชิงสุ่ยพูดจบก็เดินไปที่ศาลา ซูจิ่วซือเดินตามหลัง ทันทีที่ทั้งสองนั่งลง สาวใช้ก็ยกชามาให้อย่างนอบน้อม
เฟิงชิงสุ่ยเปิดฝาถ้วยชา น้ำชาในมือยังมีไอร้อนลอยขึ้นมา นางเป่าปาก จิบช้าๆ แล้วถามขึ้น “ไม่ทราบว่าคุณหนูมู่มาหาข้ามีธุระอะไร?”
“เสบียงของเฉินหรงถูกคนผานซานจ้ายปล้นไป อยากให้คุณหนูเฟิงเขียนจดหมายถึงซูต้าเฉิง ให้เขายกกำลังทหารไปชิงเสบียงคืนมา คุณหนูเฟิงเคยเป็นแม่ทัพ ย่อมเข้าใจความสำคัญของเสบียง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองและชีวิตของทหารห้าหมื่นคน ขอให้คุณหนูเฟิงเก็บความไม่พอใจส่วนตัวไว้ก่อน ช่วยเฉินหรงสักครั้ง”
ซูจิ่วซือเองไม่อยากพูดอ้อมค้อมกับเฟิงชิงสุ่ย จึงบอกความตั้งใจของตนต่อเฟิงชิงสุ่ยโดยตรง
เฟิงชิงสุ่ยพอได้ยินก็วางถ้วยชาในมือลง พูดเย้ยหยัน “คุณหนูมู่คำนึงถึงบ้านเมืองตั้งแต่เมื่อไร? นึกไม่ถึงว่าคุณหนูมู่จะมีความผูกพันกับแคว้นเจียงล้ำลึกปานนี้ ชีวิตของทหารเกี่ยวข้องกับคุณหนูมู่อย่างไร”
“คุณหนูเฟิงเคยร่วมเป็นร่วมตายกับทหารในสนามรบ จึงพูดอย่างนี้ได้ ถ้าทหารตระกูลเฟิงได้ยินคำพูดของคุณหนูเฟิงอย่างนี้คงจะผิดหวังมาก”
ตอนที่ 537 คุกเข่าขอร้อง
“ข้าไม่เคยทำให้ทหารตระกูลเฟิงผิดหวัง เอาใจใส่ทหารตระกูลเฟิงมาตลอด คนอื่นจะเป็นหรือตายเกี่ยวอะไรกับข้า? องค์รัชทายาทไม่คิดจะแต่งงานกับข้า เขาจะเป็นหรือตายเกี่ยวอะไรกับข้า?”
เฟิงชิงสุ่ยย้อนถาม จากนั้นก็มองซูจิ่วซืออย่างสะใจ “เจ้าตั้งใจมาขอร้องข้าหรือ?”
แม้ไม่อยากยอมรับ แต่พอนึกถึงสภาพของฟู่เฉินหรงเวลานี้ ซูจิ่วซือก็สะกดความรู้สึกในใน ตอบรับอย่างราบเรียบว่าใช่
พอได้ยินว่าใช่ เฟิงชิงสุ่ยก็หัวเราะร่า “ฮ่าฮ่า…ซูจิ่วซือหนอซูจิ่วซือ เจ้าก็มีวันนี้ ในที่สุดเจ้าก็มาขอร้องข้า ข้ารู้ว่าสักวันหนึ่งเจ้าต้องมาขอร้องข้า เจ้ายังไม่เชื่อ เวลานี้เจ้าคงยอมรับแล้วสิ!
เมื่อก่อนเจ้าถือว่าองค์รัชทายาทชอบเจ้าจึงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา เวลานี้คงรู้แล้ว องค์รัชทายาทชอบเจ้าแล้วเป็นอย่างไร ความรักความใคร่ช่วยอะไรไม่ได้ ข้ากับองค์รัชทายาทจึงจะคู่ที่ฟ้าประทาน ในยามคับขัน ยังได้อาศัยข้า เจ้าหรือจะทำอะไรได้”
ซูจิ่วซือไม่ได้โต้แย้ง นางมาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อทะเลาะกับเฟิงชิงสุ่ย
ความจริงแล้วแม้ซูจิ่วซือไม่มา เฟิงชิงสุ่ยก็รู้เรื่องเสบียงถูกปล้น ซูต้าเฉิงส่งจดหมายถึงนาง
เพียงแต่นางนึกไม่ถึงว่าซูจิ่วซือจะรู้ข่าวอย่างรวดเร็ว พอนึกถึงว่าซูจิ่วซือเพิ่งไปเข้าเฝ้า เฟิงชิงสุ่ยจึงเข้าใจทันที ดูแล้วซุ่นตี้คงรู้ดีว่านางคือคนที่เหมาะสมที่จะเป็นพระชายารัชทายาท
“คุณหนูเฟิง ถือว่าข้าขอร้องเจ้า เจ้ายินดีช่วยหรือไม่?”
เฟิงชิงสุ่ยรู้สึกเหนือชั้นขึ้นมาทันที นางปรายตามองซูจิ่วซือ ยิ้มอย่างเย็นชา “ขอร้องต้องไม่ทำท่าอย่างนี้ ซูจิ่วซือ ถ้าเจ้าจะขอร้อง ก็ต้องทำท่าขอร้องด้วย”
ซูจิ่วซือมองหน้าเฟิงชิงสุ่ย นางรู้ว่าเฟิงชิงสุ่ยจงใจกลั่นแกล้ง นางกำหมัดแน่นในแขนเสื้อ แต่สีหน้าราบเรียบอย่างน่าประหลาดใจ สุดท้ายจึงลุกขึ้นคุกเข่าเบื้องหน้าเฟิงชิงสุ่ย
พอเห็นซูจิ่วซือคุกเข่า อาหลานรีบเข้าไปจะประคองซูจิ่วซือ
“อาหลาน ถอยไป อย่าเข้ามา”
ซูจิ่วซือร้องห้ามอาหลาน
เฟิงชิงสุ่ยหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกสะใจมาก ความรู้สึกอัดอั้นในใจหายไปหมดสิ้น
ซูจิ่วซือคุกเข่าตัวตรง “ขอร้องโปรดช่วยเฉินหรง”
“คุณหนูมู่ แค่คุกเข่ายังไม่พอ ยังต้องโขกศีรษะ ถึงจะเป็นการขอร้อง!” ซิวซูอยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้น เฟิงชิงสุ่ยไม่ได้ห้าม ถือว่าเป็นการยอมรับคำพูดของชิวซู
อาหลานโกรธจัดจนทนไม่ไหว ร้องออกมา “พวกเจ้าอย่าข่มเหงกันเกินไป ไม่งั้นข้าฉีกปากเจ้าแน่”
ซูจิ่วซือพยายามระงับอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่ ดวงตาฉายแววอำมหิตออกมาแวบหนึ่ง นางเตรียมใจไว้แล้ว รู้ว่าเฟิงชิงสุ่ยจะถือโอกาสข่มเหงนาง เฉพาะหน้านี้เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับนางก็คือความปลอดภัยของฟู่เฉินหรง เรื่องอื่นค่อยคิดบัญชีทีหลัง
วันนี้ถูกลบหลู่ วันหลังจะเอาคืน
ขณะที่ซูจิ่วซือเตรียมจะโขกศีรษะ จู่ๆ ก็มีเสียงของฟู่เยว่อี้ดังขึ้น “ชิงสุ่ย อะไรกันนี่ อยู่ดีๆ เจ้าจะข่มเหงคุณหนูมู่ได้อย่างไร เหม่ยพ่าน พื้นเย็นจัด ประคองคุณหนูมู่ขึ้นมา”
เสียงของนางดังกังวาน เข้ามาแทรกอย่างกะทันหัน เฟิงชิงสุ่ยพอเห็นว่าเป็นฟู่เยว่อี้ สีหน้าเริ่มไม่พอใจ ฟู่เยว่อี้มายุ่งอะไรกัน
เหม่ยพ่านเข้าไปประคองซูจิ่วซือ เมื่อมีฟู่เยว่อี้อยู่ด้วย ซูจิ่วซือจึงลุกขึ้นทันที นางไม่อาจคุกเข่ากับพื้นไปตลอด
“พี่สะใภ้ ข้างนอกเย็น เจ้าไม่สบาย ไม่อยู่พักผ่อนในห้อง ออกมาจะไม่สบาย”
เฟิงชิงสุ่ยพูดด้วยใบหน้าที่ฝืนยิ้ม
“อึดอัดอยู่แต่ในห้องก็ไม่สบาย เลยออกมาเดินเล่น คุณหนูมู่มีอะไรหรือ?” ฟู่เยว่อี้นั่งลงข้างเฟิงชิงสุ่ย
“คุณหนูมู่มีเรื่องขอร้อง จะคุกเข่าให้ได้ ข้าเองก็จนใจ”