ตอนที่ 640 ซุ่นตี้ทรงซักถาม
“อื้อ”
ซูจิ่วซือพยักหน้า ยิ้มให้มู่ซืออวี่ “ซืออวี่ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ!”
“เพคะ”
มู่ซืออวี่รับคำอย่างเชื่อฟัง
ทั้งสองจูงมือกันออกไป มู่ซืออวี่คารวะ “น้อมส่งองค์รัชทายาทกับพระชายารัชทายาท”
ฟู่เฉินหรงกับซูจิ่วซือไปแล้ว แต่มู่ซืออวี่ยังไม่ยอมไป มองตามหลังคนทั้งสอง พูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา “มีเสียงร่ำลือว่าองค์รัชทายาทรักพระชายามาก เมื่อก่อนคิดว่าพูดเกินเลยไป วันนี้พอเห็นจึงรู้ ที่พูดกันเป็นความจริง”
“คุณหนู องค์รัชทายาทหล่อเหลากว่าที่ร่ำลือกัน วันหลังคุณหนูเข้าวังตะวันออกเป็นพระชายารองก็ได้อยู่ใกล้ชิดองค์รัชทายาท คุณหนูเป็นคนอ่อนหวาน องค์รัชทายาทคงอ่อนโยนกับคุณหนู”
พอได้ยินหรงเอ๋อร์พูดอย่างนี้ มู่ซืออวี่ก็รู้สึกขวยเขิน แก้มร้อนผ่าว เมื่อครู่ตอนที่เห็นฟู่เฉินหรงเข้ามา หัวใจนางเต้นแรง
นึกไม่ถึงว่าฟู่เฉินหรงจะสง่างามอย่างนี้ ยามยิ้มช่างน่าดูจริงๆ เสียดายที่เมื่อครู่เขาไม่ได้มองนางอย่างละเอียด สายตาของเขาคงเห็นแต่ซูจิ่วซือ
แต่นางไม่ได้ริษยาซูจิ่วซือ เรื่องราวระหว่างฟู่เฉินหรงกับซูจิ่วซือนางเคยได้ยินมาบ้างไม่ปะติดปะต่อกัน นางไม่กล้าแย่งชิงความรักกับซูจิ่วซือ และไม่กล้าคาดหวังอะไรมาก เพียงแต่หวังว่าจะได้รับความรักจากฟู่เฉินหรงบ้าง แค่นี้ก็พอใจแล้ว
พอนึกถึงว่าอีกไม่นานนางก็จะเป็นพระชายารองของฟู่เฉินหรง อยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิต นางก็อดยิ้มไม่ได้ นางแต่งงานกับองค์รัชทายาทแคว้นเจียง แม้เป็นภรรยารอง นางก็ยินดี
ณ ห้องทรงพระอักษร
ปิงอวิ๋นก้มหน้ายืนเบื้องพระพักตร์ซุ่นตี้ รอฟังพระบัญชา แม้นางจะมีหน้าที่คุ้มครองฟู่เฉินหรง แต่นางก็เป็นคนที่ซุ่นตี้ทรงอบรมด้วยพระองค์เอง
“ปิงอวิ๋น เจ้าติดตามฟู่เฉินหรงมานานแล้ว คงรู้นิสัยของเขาดี แม้เราจะมอบพระชายารองให้ แต่เขาคงไม่ใส่ใจพระชายารอง
เราไม่มีเวลาเหลือมากนัก ถ้าเราไม่อยู่ เรื่องนี้คงไม่มีใครควบคุมได้ เจ้าอยู่วังตะวันออกทุกวัน ต้องช่วยพระชายารอง ให้นางมีลูกกับเฉินหรง”
“ฝ่าพระบาท หม่อมฉัน…”
ปิงอวิ๋นรู้สึกลำบากใจ นางเข้าใจความหมายของซุ่นตี้ แต่นางไม่อยากก้าวก่ายเรื่องนี้
ซูจิ่วซือมีบุญคุณต่อนาง พอรู้ว่าซูจิ่วซือถูกพิษ นางก็ลังเลอยู่นาน
สุดท้ายนางก็ตัดสินใจช่วยซูจิ่วซือปกปิดเรื่องนี้ นึกไม่ถึงว่าซุ่นตี้กลับรู้เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่รู้ ยังให้นางไปทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสอง เป็นเรื่องลำบากใจสำหรับนาง นางไม่อยากทำเรื่องนี้
พอทอดพระเนตรเห็นปิงอวิ๋นลังเล ซุ่นตี้ก็ตรัสด้วยพระสุรเสียงหนักแน่นขึ้น “ปิงอวิ๋น เจ้าไม่ฟังคำบัญชาของเราแล้วหรือ”
“หม่อมฉันไม่บังอาจ”
“ในเมื่อไม่บังอาจ ทำไมลังเล เฉินหรงเลอะเลือน เจ้ายังจะเลอะเลือนอีกคนหรือ
เขาเป็นผู้สืบทอดแคว้นเจียง การมีลูกเกี่ยวพันถึงบ้านเมือง ไม่อาจมองข้าม เราไม่ต้องการให้เขาทั้งสองเลิกทางกัน แต่ไม่อาจปล่อยให้เฉินหรงทำเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับไม่ใส่ใจบ้านเมือง”
ปิงอวิ๋นไม่พูดไม่จา ซุ่นตี้ตรัสถูกต้องทุกประการ เดิมทีนางเองก็คิดเช่นนี้ นางเลือกเฉินหรงก็ด้วยอารมณ์ความรู้สึก ในฐานะองครักษ์ เรื่องต้องห้ามคือการใช้อารมณ์ความรู้สึกมากำหนด นางละเมิดข้อห้ามนี้ เวลานี้นางจึงไม่มีหน้าจะทูลแย้งซุ่นตี้
“เรื่องนี้คิดแล้วองค์รัชทายาทคงมีแผนในใจ ฝ่าพระบาททำไมไม่ทรงเชื่อองค์รัชทายาทสักครั้ง”
ปิงอวิ๋นก้มหน้า ยังคงอยากเลี่ยงปัญหานี้
“ถ้าเขาวางแผนไว้ในใจแล้วก็คงไม่ปฏิเสธ ปิงอวิ๋น ในฐานะที่เจ้าเป็นองครักษ์ภารกิจสำคัญที่สุดคืออะไร”
ตอนที่ 641 ไม่ได้ดูหน้าตาอย่างละเอียด
ซุ่นตี้ตรัสด้วยพระสุรเสียงหนักแน่นขึ้นอีก เป็นครั้งแรกที่ปิงอวิ๋นแสดงความลังเล ทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย องครักษ์ถูกอารมณ์กำหนด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพระชายารัชทายาทร้ายกาจมาก หรือเพราะฟู่เฉินหรงสอนนางอย่างดี
“ทูลฝ่าพระบาท ในฐานะองครักษ์หน้าที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติตามคำสั่ง ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง”
ปิงอวิ๋นทูลตอบอย่างไร้ความรู้สึก
“ในเมื่อยังจำได้ ก็ควรรู้ว่าจะทำอย่างไร เจ้าเป็นคนที่เราเลือกด้วยตัวเอง อย่าให้เราผิดหวัง และอย่าลืมหน้าที่ของเจ้า”
ปิงอวิ๋นรู้ว่าตนไม่อาจปฏิเสธได้ สุดท้ายก็ต้องรับปาก นางทูลตอบด้วยสีหน้าเคร่งครัด “หม่อมฉันเข้าใจเพคะ”
ขออภัย พระชายารัชทายาท ข้าพยายามเต็มที่แล้ว เรื่องนี้ฝ่าพระบาทใส่พระทัยอย่างยิ่ง ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ในฐานะหัวหน้าองครักษ์พิทักษ์อุทยานตะวันออก เราขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าเวลาใดต้องไม่ลืมภาระหน้าที่ เรื่องความรักไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่ต้องรับรู้ เมื่อเทียบกับแคว้นเจียง จะมีความหมายอะไร”
ซุ่นตี้สีพระพักตร์เคร่งเครียด แม้พระเกศาข้างจอนหูจะงอกหมดแล้ว พระวรกายก็ไม่ตรงแล้ว แต่สายพระเนตรยังลุกวาว พระบารมีฮ่องเต้ยังคงฉายออกมาอย่างชัดเจน
ปิงอวิ๋นโขกศีรษะลงกับพื้น “หม่อมฉันน้อมรับพระดำรัสเพคะ”
“ออกไปเถอะ”
“เพคะ”
ปิงอวิ๋นค้อมคารวะแล้วออกไป ซุ่นตี้ทรงเอนพระวรกายพิงพระที่นั่ง อะไรที่สมควรทำพระองค์ก็ทรงทำไปแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ทำให้บูรพกษัตริย์เสียพระทัย เรื่องอื่นให้ฟ้าลิขิต พระองค์ทรงอบรมพระนัดดาคนนี้อย่างสุดความสามารถแล้ว
พอดำริอย่างนี้แล้ว ซุ่นตี้ก็ถอนพระทัยอย่างหนัก นี่คงเป็นจุดตายของฟู่เฉินหรง ถ้าเขาไม่คำนึงถึงซูจิ่วซือมากเกินไป สักวันหนึ่ง แผ่นดินก็จะเป็นของเขา
พระองค์ไม่เห็นวันนั้น
เวลานี้ซูจิ่วซือไปสวนดอกท้อกับฟู่เฉินหรง นางยืนใต้ต้นท้อ ลมพัดโชยมา กลีบดอกท้อปลิวว่อนกลางอากาศ ส่วนหนึ่งตกใส่ผมของซูจิ่วซือ
ซูจิ่วซือยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ถ้าเจ้าไม่พาข้ามา ข้าคงไม่รู้ว่าที่นี่มีสวนดอกท้อกว้างใหญ่”
ฟู่เฉินหรงยืนห่างจากซูจิ่วซือหลายก้าว มองซูจิ่วซือด้วยแววตาทอประกาย รอยยิ้มของนางเวลานี้ชัดขึ้น นี่เป็นเรื่องดี เขาชอบมองนางยิ้ม รู้สึกว่าเวลานางยิ้มดูสวยเป็นพิเศษ
“ทำไมจู่ๆ ก็คิดจะพาข้ามาชมดอกไม้”
ซูจิ่วซือยื่นมือออกไป รับกลีบดอกท้อ
ฟู่เฉินหรงเข้ามาหา โอบไหล่ซูจิ่วซือ “ช่วงนี้เจ้าเศร้าหมอง ข้าอยากให้เจ้าสบายใจขึ้น”
เรื่องของฮูหยินมู่ ทำให้ซูจิ่วซือไม่ค่อยสบายใจนัก รอยยิ้มบนใบหน้าลดลง ฟู่เฉินหรงอยู่ใกล้ชิดกับนางตลอด ความเอาใจใส่ของเขา ซูจิ่วซือซาบซึ้งมาก นางจับมืออีกข้างหนึ่งของฟู่เฉินหรง “ที่นี่สวยจริงๆ นานแล้วที่ไม่เห็นทัศนียภาพงดงามอย่างนี้”
“วันหลังถ้ามีเวลาว่าง ข้าจะพาเจ้าออกมาเดินเล่น หลียวนเดินทางไปหลายที่ แต่เราสองคนมีการงานติดพัน ไม่ค่อยมีโอกาสเห็นทัศนียภาพของภูเขาแม่น้ำ รอให้การงานทุกอย่างเข้าที่แล้ว เราไปเที่ยวด้วยกัน ดีไหม”
“ดีแน่”
ซูจิ่วซือพยักหน้ารับปาก
ทั้งสองยืนอยู่ใต้ต้นท้อ ปล่อยให้กลีบดอกท้อร่วงถูกตัว จู่ๆ ซูจิ่วซือก็ถามขึ้น “วันนี้เจอซืออวี่ เจ้ารู้สึกอย่างไร”
ฟู่เฉินหรงตะลึง “จะรู้สึกอะไรได้”
“เจ้าคงไม่ถึงกับไม่ได้มองหน้าซืออวี่อย่างละเอียดกระมัง”
ฟู่เฉินหรงคิดครู่หนึ่ง ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ได้ดูอย่างละเอียดจริงๆ คราวหลังถ้าเจอไม่แน่อาจจะจำไม่ได้ ตลอดมามีแต่เจ้าคนเดียวที่ข้าดูอย่างละเอียด”
ซูจิ่วซือแสร้งไม่พอใจ “พูดเล่นอีกแล้ว”