ตอนที่ 650 ตายอย่างน่าอนาถ
เฟิงชิงสุ่ยขยับเขยื้อนไม่ได้ทันที แต่นางไม่กลัว ไหนๆ ก็จะตายแล้ว ไม่ว่าซูจิ่วซือจะทำร้ายนางอย่างไร ก็ไม่กลัว และไม่มีวันขอร้องด้วย
ตอนที่ตกลงรับปากนางมาร นางก็เตรียมตัวตายแล้ว
เดิมที่นางอยากบอกซูจิ่วซือว่านางไม่ได้เป็นคนบงการนางมาร แต่ก็ล้มเลิกความคิดนี้ ปล่อยให้ฟู่เฉินหรงกับซูจิ่วซือยุ่งยากต่อไป
แม้ว่าคนคนนั้นต้องการชีวิตของฟู่เฉินหรง นางก็ไม่ใส่ใจ ฟู่เฉินหรงจะเอาชีวิตรอดหรือไม่ขึ้นอยู่กับชะตากรรมของเขา ทำไมนางต้องไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง
อาหลานพุ่งเข้าไปหา พอเห็นอาหลาน เฟิงชิงสุ่ยแค้นใจมาก
นางรู้ว่าอาหลานเป็นคนเอายาใส่ในแป้งร่ำของนาง จนใบหน้านางเป็นอย่างนี้
เฟิงชิงสุ่ยรออาหลานเหมือนรอกินอาหาร “เจ้าคิดจะเป็นบ่าวรับใช้ซูจิ่วซือไปตลอดชาติหรือ!”
“เจ้าฆ่าชังไห่ ได้เวลาชดใช้ชีวิตให้ชังไห่แล้ว”
“ชังไห่มีความหมายอะไร ถึงข้าตายก็ไม่ชดใช้ เขาไม่มีค่าพอ”
เฟิงชิงสุ่ยดูหมิ่นชังไห่ พอเห็นอย่างนี้ อาหลานยิ่งแค้น นางหยิบขวดเคลือบสีขาวจากอกเสื้อออกมา หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมา บีบปากเฟิงชิงสุ่ย กรอกยาลงไป
“คุณหนูเฟิง เจ้าให้ชังไห่ตายอย่างน่าอนาถ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติอย่างเดียวกัน ยานี้พอกินแล้วผิวหนังจะค่อยๆ เน่าเปื่อย สุดท้ายเหลือแต่กระดูก ระหว่างนี้เจ้ายังรู้สึกตัวอยู่”
พอเห็นอาหลานกรอกยาเสร็จ ซูจิ่วซือก็บอก “อาหลาน เราไปกันเถอะ”
“เพคะ พระชายา”
อาหลานตามออกไป ขณะที่ซูจิ่วซือก้าวออกไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของเฟิงชิงสุ่ยไล่หลัง “ชีวิตยังอีกยาวนาน วันข้างหน้ายังมีอุปสรรคมากมาย ซูจิ่วซือ ข้าลงไปรอเจ้าก่อน ไม่แน่เราอาจจะได้พบกันที่ปรโลก หวังว่าเจ้าจะอยู่รับความทรมานต่อไป”
ซูจิ่วซือหยุดก้าว แต่ไม่ได้หันหลังไป “มีชีวิตอยู่ดีกว่า หวังว่าชาติหน้าคุณหนูเฟิงจะได้ไปเกิดในครอบครัวที่ดี”
พูดจบก็สาวเท้าก้าวออกไป
จุดที่ถูกสะกดบนตัวเฟิงชิงสุ่ยยังไม่ได้คลาย นางไม่สามารถขยับเขยื้อน ได้แต่ยืนตรง
เนื้อตัวเริ่มเจ็บปวด นางพยายามอดกลั้น จะตายแล้วยังถูกซูจิ่วซือทรมานอีก
ซูจิ่วซือ ข้าแพ้เจ้า ต่อไปคงมีใครสักคนมาจัดการเจ้า ข้าอยากดูว่าเจ้าจะหัวเราะได้อีกนานเท่าไร
คืนนี้ เฟิงชิงสุ่ยตายในคุก สภาพน่าอเนจอนาถ เนื้อหนังทั่วตัวเน่าเปื่อยลุดลุ่ยลงพื้น เหลือแต่โครงกระดูก ว่ากันว่าพอเห็นสภาพอย่างนี้ ผู้คุมคุกต่างคลื่นไส้
การตายของมู่อวิ๋นชางส่งผลต่อการเข้าวังตะวันออกของมู่ซืออวี่ นางเป็นคนของจวนตระกูลมู่ ตามแบบแผนแล้วต้องให้พ้นสามเดือนจึงจะแต่งงานได้ นางต้องรอสามเดือน
ซุ่นตี้ทรงให้มู่ซืออวี่ย้ายเข้าไปอยู่วังตะวันออก โดยให้เหตุผลว่าเพื่ออยู่เป็นเพื่อนซูจิ่วซือซึ่งกำลังเสียใจที่สูญเสียคนในครอบครัว แม้มู่ซืออวี่ยังไม่ได้เป็นพระชายารอง ซุ่นตี้ก็ยังหาทางให้มู่ซืออวี่เข้าวังตะวันออกก่อน
ซูจิ่วซือเตรียมตำหนักฟังเสียงฝนให้มู่ซืออวี่ ทุกคนในวังตะวันออกรู้ว่านางคือพระชายารอง จึงเกรงใจมู่ซืออวี่มาก โดยเฉพาะหมัวมัวเถียน นางเมตตามู่ซืออวี่เป็นพิเศษ คอยรับใช้ใกล้ชิด ดูแลอย่างดี
ปิงซินทุบไหล่ให้ซูจิ่วซือ พร้อมกับบ่นอย่างไม่พอใจ “พระชายาคงไม่รู้ว่าหมัวมัวเถียนทำอะไรไปบ้าง ทำอย่างกับว่าคุณหนูมู่เป็นพระชายารัชทายาท ปกติยังไม่เอาใจพระชายาอย่างนี้ นี่คุณหนูมู่ยังไม่ทันเข้าวังตะวันออก หมัวมัวเถียนก็นอบน้อมต่อคุณหนูมู่อย่างนี้แล้ว”
ตอนที่ 651 ของกำนัลในการพบกันครั้งแรก
“อยู่ดีๆ ก็มาเอาอกเอาใจอย่างนี้ ถ้าไม่คิดร้ายก็หมายจะขโมย คงเป็นพระบัญชาของฝ่าพระบาท”
ซูจิ่วซือไม่ใส่ใจ คนรอบข้างจะมีท่าทีอย่างไรกับมู่ซืออวี่ไม่สำคัญ นางใส่ใจแต่ท่าทีของฟู่เฉินหรง
“บ่าวเห็นแล้วอดโมโหไม่ได้ หมัวมัวเถียนปกติมักจะหน้าตาบูดบึ้งกับพวกเรา เคร่งครัดมาก แต่หรงเอ๋อร์ไม่ใส่ตามแบบแผน หมัวมัวเถียนก็ไม่ดุด่า อดทนต่อนางมาก คนอย่างนี้สมควรไล่ออกจากวังตะวันออก”
พอนึกถึงท่าทีที่หมัวมัวเถียนปฏิบัติต่อตนและที่ปฏิบัติต่อหรงเอ๋อร์ ปิงซินก็ไม่พอใจ อย่างน้อยนางก็เป็นคนใกล้ชิดพระชายารัชทายาท เดิมทีนึกว่าหมัวมัวเถียนคงเป็นคนนิสัยอย่างนี้เอง แต่กลับพบว่าหมัวมัวเถียนเลือกปฏิบัติ ไม่ใส่ใจว่าเป็นนายหรือบ่าว
“นางเป็นคนของฝ่าพระบาท เวลานี้ไม่สะดวกที่จะจัดการนาง วันหลังถ้ายังไม่รู้จักดูสถานการณ์ ต้องไล่ออกแน่ เอาละ ปิงซิน เจ้าอย่าบ่นเลย ระวังคำพูดระวังการกระทำไว้”
ปิงซินแลบลิ้น “บ่าวเพียงแต่พูดกับพระชายารัชทายาทเท่านั้น คนอื่นบ่าวไม่เคยพูดอย่างนี้ บ่าวก็พอจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
ปิงซินพูดจบ จู่ๆ มู่ซืออวี่ก็พาหรงเอ๋อร์เข้ามา นางคารวะซูจิ่วซือ เห็นปิงซินยังคงทุบไหล่ให้ซูจิ่วซือ จึงรีบเดินไปหาปิงซิน พูดขึ้นว่า “คุณหนูปิงซิน ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ให้ข้าทำเอง”
“คุณหนูมู่ เรื่องนี้จะรบกวนคุณหนูได้อย่างไร บ่าวทำเองได้”
ปิงซินไม่ให้โอกาสมู่ซืออวี่เอาอกเอาใจซูจิ่วซือ ไม่รู้ทำไม นางรู้สึกไม่ชอบมู่ซืออวี่ พอเห็นมู่ซืออวี่ก็รู้สึกขวางหูขวางตา
“ซืออวี่ นั่งลงเถอะ! อยู่คุยกันดีกว่า”
พอซูจิ่วซือพูดอย่างนี้ มู่ซืออวี่ก็ไม่ดึงดัน นั่งลงข้างซูจิ่วซือ
ทันทีที่นั่งลง นางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อยื่นให้ซูจิ่วซือ พูดเสียงอ่อนหวาน “พระชายารัชทายาท นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าที่พระชายารัชทายาทเห็นวันนั้น ข้าปักเสร็จแล้ว ไม่รู้ว่าพระชายารัชทายาทชอบหรือไม่”
ซูจิ่วซือรับผ้าเช็ดหน้าจากมือมู่ซืออวี่ คราวก่อนนางเห็นผ้าเช็ดหน้าปักดอกบัวไม่กี่ดอก ยังปักไม่เสร็จ เวลานี้มู่ซืออวี่ปักครบทุกดอก และยังมีริ้วคลื่นในน้ำใต้ดอกบัวด้วย
“ดอกบัวปักสวยมาก ปิงซิน ไปหยิบตุ้มหูหยกขาวมา”
ปิงซินรับคำแล้วหยุดทุบไหล่ ไปที่ตู้เครื่องประดับหยิบตุ้มหูหยกขาวงามประณีตออกมาให้ซูจิ่วซือ
ซูจิ่วซือเอาตุ้มหูหยกขาววางบนมือมู่ซืออวี่ “ตุ้มหูนี้เป็นของที่ข้าเอามาจากบ้าน ซืออวี่ เจ้าเพิ่งมาที่นี่ ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะให้เจ้า ตุ้มหูนี้ถือว่าเป็นของกำนัลในการพบกันครั้งแรกแล้วกัน”
“ขอบพระทัยพระชายารัชทายาทเพคะ”
มู่ซืออวี่ตอบรับด้วยสีหน้าดีใจ พูดคุยกับซูจิ่วซือตลอดเวลา เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับจิ่นโจวและมู่เจี๋ยหลายเรื่อง แม้ซูจิ่วซือไม่ได้ใกล้ชิดกับมู่เจี๋ย แต่ก็ได้ยินเรื่องราวของเขาจากพี่น้องคนอื่น ซูจิ่วซือไม่ได้พูดแทรก ฟังอย่างตั้งใจ
จนกระทั่งฟ้ามืด ฟู่เฉินหรงกลับมา มู่ซืออวี่จึงลุกขึ้นบอกลาซูจิ่วซืออย่างอาวรณ์
ฟู่เฉินหรงนั่งข้างซูจิ่วซือ พอเห็นสีหน้านางมีรอยยิ้ม ก็ถามขึ้น “นึกไม่ถึงว่าเจ้ากับน้องสาวคนนี้จะเข้ากันได้ดี”
“เจ้าคิดจะเปลี่ยนใจหรือไม่”
ซูจิ่วซือถามอย่างจริงจัง
ฟู่เฉินหรงแสร้งทำเป็นไม่รู้ “เปลี่ยนใจเรื่องอะไรหรือ” ครู่หนึ่งจึงทำท่าเหมือนนึกออกจึงพูดขึ้น “ตราบใดที่ยังมีชีวิต ข้าไม่มีวันเปลี่ยนใจ”
“พูดเหลวไหล แต่ซืออวี่นิสัยดีมาก อ่อนโยนสุภาพ และยังรู้จักเอาใจใส่ใกล้ชิดคนอื่น”
“จิ่วซือของข้าฉลาดหลักแหลม อ่อนโยนใจกว้าง สง่าสูงส่ง สวยงามโดดเด่น รู้ใจคน และยังมีน้ำใจ ยึดมั่นในความรัก…”