หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป – ตอนที่ 106 ชิวซวนกับชิงปี้

บทที่ 106 ชิวซวนกับชิงปี้

พูดไปแล้วเสด็จพี่ก็ถือว่าเป็นคนดีมาก เพียงแต่เขาเป็นคนหลายใจมากไปหน่อย

แต่เสด็จอาไม่เหมือนกัน ไม่เคยมีผู้หญิงอยู่ข้างกายเขามาก่อนเลย!

“พูดเหมือนกับว่าเขาชอบในตัวข้าอย่างนั้น ”

แต่ว่าโหลวเย่วไม่เข้าใจ

นิสัยเย็นชาอย่างเย่เจ๋หยิ่ง จะชอบผู้หญิงที่รักเงินยิ่งกว่าชีวิตอย่างนางได้ยังไง อีกทั้งยังเป็นคนขี้ขลาดกลัวตายอีกต่างหาก

หยี?

โหลวเย่วเหมือนจะรู้จักนิสัยของเย่เจ๋หยิ่งดี

นางควรขอคำแนะนำจากโหลวเย่วดีไหม?เผื่อบางทีจะได้หลอกรอยจูบของเย่เจ๋หยิ่งถึงมือสักที ถ้าเป็นอย่างนั้นระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของนางจะได้ปรับระดับให้สูงขึ้นอีก

ด้วยเพราะเหตุนี้!

หลานเยาเยาจึงเข้าไปเกาะที่แขนของโหลวเย่ว มีความหลอกล่อเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า

“โหลวเย่ว เจ้าต้องการกำจัดพิษกู่ที่อยู่ในตัวเจ้าให้สิ้นซากหมดไปหรือไม่?”

“ต้องการแน่นอนอยู่แล้ว”

แต่เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พวกนางกำลังพูดคุยกันอยู่เหรอ?

“ต้องการก็ดีแล้ว!ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าพูดมันถูกต้อง เสด็จอาของเจ้าเป็นผู้มีอำนาจในพระราชวัง หน้าตาสง่างาม อีกทั้งร่ำรวยเงินทอง ถ้าข้าไม่ชอบเขา ดูเหมือนข้าจะไม่ปรกติ

ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยข้าจีบเขาได้ไหม?

ถึงเวลานั้นเมื่อข้าได้ชายรูปงามมาครอบครอง พิษกู่ในร่างกายของเจ้าจะได้กำจัดให้สิ้นซาก ถือว่ายิงธนูนัดเดียวได้นกมาตั้งสองตัวเลย!”

ขอแค่ได้รอยจูบถึงมือ

ข้าจะกลับคำพูดทันที

ถ้าเช่นนี้ ตัวเองจะกลายเป็นนางร้ายหรือไม่นะ?

เฮ้อ ไม่สนใจล่ะ ขอให้ได้รอยจูบมาก่อนค่อยว่ากันอีกที

เห็นแต่โหลวเย่วมองมาที่นางอย่างเงียบๆ

กระพริบตาปริบๆ แล้วกระพริบตาปริบๆอีกครั้ง จากนั้นเอามือตบไปที่ขา ร้องออกมาอย่างดีใจ “เยาเยา สุดท้ายเจ้าก็คิดได้เสียที”

คิดได้ก็ดีล่ะ เนื่องจากโหลวเย่วดีใจที่เยาเยาคิดได้ จึงเล่าเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวข้องกับเย่เจ๋หยิ่งให้นางฟัง

สิ่งที่นางคาดคิดไม่ถึงคือ

สมัยที่เย่เจ๋หยิ่งเป็นเด็กเขาไม่ได้มีชีวิตที่ดีงามเหมือนตอนนี้ ในทางกลับกันเขาต้องแบกรับความทุกข์ที่คนธรรมดาทั้วไปไม่สามารถแบกรับได้มาแบกรับเอาไว้

คนที่เติบโตมาในวัง กับคนที่ผ่านสนามรบมาก่อน เป็นไปไม่ได้ที่เส้นทางชีวิตจะเต็มไปด้วยความราบรื่น

จุดนี้นางรู้ดีอยู่

แต่สิ่งที่นางรู้ยิ่งกว่าคือ เย่เจ๋หยิ่งน่าจะลำบากกว่าที่โหลวเย่วเล่ามาหลายเท่า!

เมื่อกลับถึงจวน โหลวเย่วกะว่าจะนอนที่ลานซวนซีของหลานเยาเยา แต่กลับโดนนางปฏิเสธโดยให้ข้ออ้างว่านางไม่ชินกับการที่ต้องนอนร่วมกับคนอื่อน

สุดท้ายโหลวเย่วจำใจต้องกลับไปที่ลานของตัวเองอย่างไม่เต็มในนัก!

ก่อนที่โหลวเย่วจะกลับได้ทิ้งท้ายด้วยวาจาเหี้ยมว่า “หลานเยาเยา ข้าอุตส่าห์จริงใจต่อเจ้า เจ้ากลับไม่ให้ข้านอนที่นี่ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าได้สูญเสียข้าไปแล้ว”

“……”

“……”

หลานเยาเยาได้แต่มองฟ้าพูดอะไรไม่ออก

คำว่าขอนอนด้วยคำนี้ฟังดูแปลกๆ พูดเหมือนเขาสองคนมีอะไรด้วยกัน

ตอนแรกนึกว่าโหลวเย่วจะโกรธจริงๆ!

คิดไม่ถึงวันรุ่งขึ้น แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้าไปในห้อง แผ่รกระจายไปที่พื้น

เสียงดัง!“โป้ง”

ประตูลานซวนซีถูกเปิดออก……

ทำให้หลานเยาเยาตกใจเล็กน้อย จากนั้นนางนอนต่ออีก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ใต้ผ้าห่มช่างอบอุ่นนัก ถึงแม้

คนที่มาถีบประตูจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน นางก็จะไม่ยอมขยับตัวไปไหนเด็ดขาด

ใครจะรู้……

“โต้งโต้งโต้ง” เสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาทุกที สุดท้ายหยุดอยู่ที่หน้าเตียงของนาง

“หลานเยาเยาเจ้าตื่นได้แล้ว เมื่อกี้ข้าได้สอบถามองครักษแล้ว เขาบอกว่าวันนี้เสด็จอาจะไปท่องเที่ยวที่ทะแลสาบ อีกทั้งยังมีคุณชายอีกหกคนไปด้วย และมีหญิงสาวที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ร่วมเดินทางไปด้วย”

“ออ!”

หลานเยาเยาไม่ได้ลืมตาขึ้นแม้แต่น้อย ผ่านไปสักพัก นางรีบเบิ่งตาตื่นขึ้นทันที

หวาคาคา!

คุณชายทั้งเจ็ดของเมืองหลวงรวมตัวพร้อมกัน……

พวกเขารวมตัวชวนกันไปท่องเที่ยวทะแลสาบ แถมยังพาหญิงสาวไปด้วย?

ไม่ได้การล่ะ

พวกเขากำลังจะรวมตัวกันไปเที่ยว!

หลานเยาเยาเหมือนค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่ หลังจากความตื่นเต้นผ่านไป แล้วท้อแท้ใจขึ้นมาทันที

อย่างไรก็ตาม……มันเกี่ยวอะไรกับนางเหรอ?

นอนต่อดีกว่า!

โหลวเย่วเห็นนางไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย ในใจรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย

แล้วนางก็ดึงผ้าห่มของเยาเยาออกอย่างแรง ไม่ว่าหลานเยาเยาจะยินยอมหรือไม่ โหลวเย่วก็ดึงมือนางให้ลุกขึ้น

“เยาเยารีบลุกขึ้น ถ้าเจ้ายังไม่ตื่นเสด็จอาจะเดินทางแล้วนะ”

หลานเยาเยาสภาพเหมือนโคลนที่เละเทะ ดึงยังไงก็ดึงไม่ขึ้น

ส่วนโหลงเย่วจะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าตัวเองแรงน้อย

เวลาผ่านไปสักพัก!

ยังไงนางก็ไม่สามารถดึงหลานเยาเยาลุกจากเตียงได้ มันทำให้โหลวเย่วรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร!

อย่างน้อยตัวเองก็เป็นถึงพระราชธิดา แต่หลานเยาเยากลับบีบให้นางกลายเป็นหญิงสาวปากร้าย

ไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีให้ได้สิ!

ทันใดนั้น ดวงตาของโหลวเย่วสว่างใสขึ้นมาทันที

มีแล้ว!

นางปล่อยมือของเยาเยาออก แล้วหลอกล่อนางพร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าได้ยินว่าว่าเสด็จอาจะนั่งเรือรำใหญ่ไปท่องเที่ยวทะเลสาบ ภายในเรือได้จ้างพ่อครัวฝีมือดีเด่นมาทำอาหาร ขนาดเสด็จพ่อของข้าเชิญเขายังไม่มา เขาต้องดูอารมณ์ตัวเองถึงจะได้ทำอาหารเลิศด้วย อีกอย่างอาหารเลิศรสหากินได้ยากนัก”

อาหารเลิศรส?

เมื่อได้ยินอาหารเลิศรส หลานเยาเยาฝื้นคืนชีพขึ้นมาทันที“เต็ง”นางกระโดดออกจากเตียง สายตาแวววาวจ้องมองไปที่โหลวเย่ว

“อาหารที่คนนั้นทำอร่อยยิ่งกว่าอาหารที่ขายตามตลาดเสียอีก?”

“อาหารที่คนนั้นทำอร่อยยิ่งกว่าอาหารที่ขายตามตลาดเสียอีก?”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้แก่การกิน

โหลวเย่วมองด้วยความระวัง เพราะกังวลเหลือเกินว่าหลานเยาเยาจะโผเข้ามาหานาง ทำเมืองนางเป็นอาหารเข้ามาเทะกิน

เมื่อสิ้นคำพูดของโหลวเย่ว หลานเยาเยารีบลุกออกจากเตียง อาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จในเวลาเดียวกัน โหลวเย่วแทบจะไม่อยากเชื่อว่านางจะเร็วขนาดนี้

ผ่านไปสักพัก!

หลานเยาเยาที่อยู่ตรงหน้าได้แต่งตัวเป็นผู้ชายเสร็จเรียบร้อย ทำให้โหลวเย่วต้องยกนิ้วให้แก่นาง

“เจ้าเร็วมากเลยรู้ไหม?”

“เร็วเหรอ?นี่ถือว่าข้าช้าแล้วนะ”คิดถึงช่วงที่อยู่ในกองทัพ อันนั้นคือความเร็วตัดสินทุกสิ่งเลย

หลานเยาเยาเห็นโหลวเย่วยังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางมองโหลวเย่วด้วยสายตารังเกียจเล็กน้อย จากนั้นดึงแขนของโหลวเย่ว และมุ่งหน้าไปที่ห้องนอนของเย่เจ๋หยิ่ง

“เยาเยา พวกเราไปที่ประตูใหญ่ดีกว่า

รออยู่ด้านนอกก็ดีแล้ว ทำไมต้องวิ่งไปที่ห้องนอนของเสด็จอาด้วย?”

“เจ้าไม่รู้หล่ะสิ เสด็จอาของเจ้าชอบทำตัวลึกลับชอบทำตัวเห็นหัวไม่เห็นหาง ถ้าเกิดเขาออกไปทางประตูหลังโดยที่พวกเราไม่รู้?นั่นไม่ได้หมายความว่าอาหารเลิศรสที่ถึงปากแล้วหายสาบสูญไปเหรอ!”

“เสด็จอาไม่ทำอย่างนั้นหรอก”

“ใครจะไปรู้ได้!”

สรุปคือ ไม่ว่าโหลวเย่วจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ มือที่หลานเยาเยาดึงนางเร็วเหมือนนางจะบินขึ้นมาได้

หลังจากที่พวกนางไปแล้ว ชิวซวนกับชิงปี้ที่ยืนอยู่มุมห้อง ทั้งสองมองพวกนางด้วยสายตาเกลียดชัง

หลังจากนั้นพวกเขาย่องเบาเบาเข้าไปในห้องของหลานเยาเยา และหนึ่งในนั้นได้หยิบยาที่เตรียมไว้เทลงไปในชาที่วางอยู่บนโต๊ะ

ส่วนอีกคนหนึ่งถือขวดโหลด้วยความสั่น และเดินไปที่เตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมา แล้วนำสิ่งของที่ใส่ไว้ในขวดโหลเทลงไปที่เตียง เสร็จแล้วคลุมผ้าห่มให้เรียบร้อย รีบออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ

“เสร็จหรือยัง?ให้ทำอะไรนิดอะไรหน่อยชักช้าอยู่นั่นแหล่ะ ยังไม่รีบไปอีก”

ในใจของชิวซวนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จีบรีบเร่งให้อีกฝ่ายเร็วเร็ว

“เสร็จ เสร็จแล้ว”

จากนั้นพวกเขาหลายคน ก็ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

พวกเขาคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำไม่มีคนรู้

นึกไม่ถึงว่า มีผู้หญิงนั่งอยู่บนคานห้องนอนของหลานเยาเยา ซึ่งกำลังตั้งใจกินองุ่นอยู่

แล้วนางอดไม่ได้เลยส่ายหัวไปมา

“อร่อย อร่อย!”

นางย่องเข้ามาในห้องเพื่อมาหาองุ่นกิน นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้

ความสัมพันธ์ของหลานเยาเยากับคนในวังแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลานเยาเยาไปกินของอร่อย ก็ไม่พานางไปด้วย หรือว่าหลานเยาเยาจะลืมนางฮัวหยู่อันไว้ที่นี่แล้ว?

หึ่ม!

กินองุ่นอีกคำเพราะระบายความโกรธ!

ส่วนทางด้านหลานเยาเยานั้น สุดท้ายก็เห็นเย่เจ๋หยิ่งเปิดห้องออกมา

เมื่อออกมาเห็นนางทั้งสองรออยู่หน้าห้อง เย่เจ๋หยิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นเบาๆว่า “นิ่พวกเจ้าทำอะไรกัน?

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

ได้ยินมาว่าท่านอ๋องเป็นคนโหดร้าย เขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง?ไม่ใช่เลย ตั้งแต่เขาแต่งงานกับคุณหนูหกของจวนแม่ทัพก็เปลี่ยนไปแล้ว “เยาเยาร่างกายอ่อนแอ ไม่ชอบพูดคุย ข้าไม่วางใจให้เขาไปคนเดียว”รู้สึกอับอายนัก!พระชายาใช้ไม้ตีรัชทายาท นังเสแสร้ง ปากนั้นสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้ ยังไม่วางใจอีกหรือ?“เยาเยา นางไม่มีความรู้ที่เกี่ยวกับสงคราม ฝีมือทางการแพทย์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกเจ้าอย่ารังแกนาง”ทหารของฝ่ายศัตรูกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ทหารสิบหมื่นที่ถูกพระชายาวางแผนมาเป็นเชลยศึกกำลังรอการถอนพิษอยู่ นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ของพระชายาเย่ หรอ?“ เยาเยานางไร้เดียงสา ไม่เคยยุ่งกับคนอื่น” ทหารทั้งหลายเหลือบมองเจ้านายที่กำลังหลีกเลี่ยงเพื่อความรัก เจ้านาย จริยธรรมของท่านที่อยู่ไหน?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset