บทที่190 ความผิดปกติของเย่แจ๋หยิ่ง
ดูจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ เขาน่าจะมาที่นี่ได้พักหนึ่งแล้ว แล้วเย่แจ๋หยิ่งที่มากับนางที่นี่ ก็น่าจะไม่ใช่เพียงแค่มาตามหานางเท่านั้น
“เป็นคุณชาย” เถ้าแก่โรงน้ำชาร้องออกมาทั้งน้ำตา และจากนั้นก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาจึงรีบออกคำสั่งคนเรือ
“เร็วเข้า รีบเร่งเรือ ถึงฝั่งเมื่อไหร่ก็รีบไปพบหมอทันที”
“ขอรับ! ”
“ไม่ต้องหรอก” หลานเยาเยาได้จับชีพจรของจื่อเฟิงแล้ว โชคยังดีที่เขาหงายหน้าขึ้นตอนที่ลอยน้ำอยู่ ถึงแม้ว่าชีพจรจะอ่อนจนแทบจะหาไม่เจอก็ตามที แต่ยังพอมีชีพจรให้จับได้ “ข้าช่วยเขาได้! ”
ดังนั้นหลานเยาเยาจึงให้คนจับจื่อเฟิงนอนราบไปกับพื้น จากนั้นก็เริ่มฝังเข็มให้แก่เขา ในขณะที่เถ้าแก่โรงน้ำชาและคนอื่นๆ พากันไปอยู่ที่หัวเรือ
ในขณะที่พวกเขากำลังรออยู่อย่างใจจดใจจ่อนั้น หลานเยาเยาก็แย่งเขามาจากพญายมได้สำเร็จ
เมื่อหลานเยาเยาเดินผ่านม่านกั้นออกไป ก็พบว่าเรือได้จอดที่ฝั่งแล้วอีกทั้งยังดูเหมือนว่ามาจอดได้พักใหญ่แล้วเหมือนกัน
ดังนั้นนางจึงเดินเข้าไปตรงหน้าของเถ้าแก่โรงน้ำชา พูดเสียงกระซิบ: “เดี๋ยวข้าจะพาเขากลับไปเอง แต่เรื่องวันนี้ อย่าให้ใครได้ล่วงรู้”
“ข้าทราบแล้ว” จากนั้นใบหน้าของเถ้าแก่โรงน้ำชากลับดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครุ่นคิดอยู่ครู่จึงพูดออกมา: “แล้วจะทำยังไงกับคนที่ถูกตีจนสลบไปเหรอครับ? ”
“เขา? ”
หากจะส่งพวกเขาไปให้ส่วนราชการหล่ะก็ คาดว่าไม่น่าจะเป็นวิธีที่ดี อย่างไรเสียคนพวกนั้นก็จะทำอะไรตามอำเภอใจ และรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าได้อยู่ดี แม้กระทั่งส่วนราชการก็ไม่สนใจ ดูท่าน่าจะถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ
เย่แจ๋หยิ่งเป็นอ๋องเย่ จื่อเฟิงเป็นองครักษ์ลับของเขา แม้จะไม่ได้คิดแทนคนในพื้นที่ แต่เพียงแค่จื่อเฟิงเพียงคนเดียว พี่ใหญ่คนนั้นก็สมควรแล้วที่จะโดนฆ่าตายเสียเป็นร้อยๆ รอบ
“ง่ายจะตายไป ผูกเขาเอาไว้กับก้อนหินใหญ่ แล้วก็โยนลงทะเลไปเสีย”
คำพูดที่ฟังดูง่ายๆ สบายๆ แต่ทำให้ผู้ที่ได้ยินถึงกับตัวสั่น
แต่ว่า!
อึดใจเดียวพวกเขาก็กลับมาปิติตามเคย
“เยี่ยมไปเลย! ”
ท้ายสุดแล้วก็มีคนที่กล้าจะทำ จริงๆ พวกเขานั้นอยากที่จะทำมันมาตั้งนานแล้ว แต่เพียงเพราะสู้พี่ใหญ่นั่นไม่เคยได้เท่านั้นเอง
หลานเยาเยาให้คนพาตัวจื่อเฟิงไปพักที่ห้องพักโรงเตี๊ยมของพวกเขา หลังจากที่จัดการจื่อเฟิงเรียบร้อย ถึงได้มองไปที่ท้องฟ้านอกหน้าต่าง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
เขายังไม่กลับมา จะไปไหนได้นะ?
หลานเยาเยานั่งอยู่ข้างเตียง เหตุผลแรกก็เพื่อดูแลไม่ให้จื่อเฟิงไข้ขึ้น สองก็เพื่อจะคอยให้เย่แจ๋หยิ่งกลับมา
“ก๊อกก๊อกก๊อก······”
“แม่นางหลาน”
คือเสียงของหานแส
ออกมาด้านนอก เพื่อความสะดวก การที่จะเรียกพระชายาท่านอ๋องจะเป็นที่ดึงดูดความสนใจมากไป ดังนั้นจึงเรียกเป็นชื่อหรือแซ่ธรรมดา
“เข้ามาสิ! ”
หานแสเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่ามีมากกว่าคนเดียว อีกทั้งไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย: “ผู้นี้คือ? ”
“จื่อเฟิง เป็นองครักษ์ลับของอ๋องเย่”
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หานแสเป็นคนที่ไม่ได้ละลาบละล้วง แต่เขายังเป็นคนช่วยชีวิตเย่แจ๋หยิ่งอีกด้วย
เย่แจ๋หยิ่งเองก็เคยพูดแล้วว่า ตัวตนของหานแสนั้นลึกลับ หากว่าเขามีเจตนาแอบแฝง จากที่มองดูแล้วอย่างไรเสียช่วงนี้เขาก็ยังทำอะไรไม่ได้
“ที่แท้อ๋องเย่ก็มีองครักษ์ลับที่กำลังภายในมหาศาลคนหนึ่งนี่เอง แล้วทำไมเขาถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ได้หล่ะ? ”
เห็นได้ชัดว่าเขานั้นดูประหลาดใจมาก
ไม่ต้องพูดถึงเขาหรอก แม้แต่หลานเยาเยาที่เมื่อเห็นจื่อเฟิงครั้งแรก ก็ตกใจมากเช่นเดียวกัน
เขาเป็นถึงองครักษ์ลับของเย่แจ๋หยิ่งเชียวนะ!
อีกทั้งในขณะที่เขาเป็นองครักษ์ลับนั้น ศิลปะการต่อสู้ของเขาก็ยอดเยี่ยมมากๆคนหนึ่ง ไม่ใช่งูๆ ปลาๆ เลย
ที่เขากลายมาเป็นแบบนี้ได้ คู่ต่อสู้แน่นอนว่าไม่ใช่งูพิษอย่างพี่ใหญ่ แต่น่าจะเป็นคนที่มีฝีมือคนหนึ่ง
“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าไปเจอเขาที่ริมทะเล”
การที่หานแสรู้จักจื่อเฟิงนั้น นางไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แปลก เพราะเย่แจ๋หยิ่งนั้นก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากๆ และจื่อเฟิงเองก็เป็นคนของเขา แล้วทำไมใครๆ จะไม่รู้จักเขาหล่ะ?
“แล้วอ๋องเย่หล่ะ? ”
“เขา เขาไปสังสรรค์หน่ะ”
เมื่อพูดถึงเย่แจ๋หยิ่ง หลานเยาเยาก็ยักไหล่ขึ้นทันที
จู่ๆ ก็พบว่า เย่แจ๋หยิ่งนั้นจากที่มองภายนอกเป็นคนเย็นชา ไม่สุงสิงกับใคร แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นเขาก็เหมือนเด็กคนหนึ่งที่อารมณ์เสียง่าย แถมยังชอบหนีออกจากบ้านด้วย
เขาได้รับการผ่าตัดด้านข้างของหัวใจ แม้จะผ่านไปแล้วหลายวัน แต่ก็ไม่ควรที่จะเดินไปไหนมาไหน แถมยังเดินไปจนเวลาล่วงเลยจนบ่าย ไม่รักร่างกายตัวเองเอาเสียเลย
“ข้าไปสังสรรค์ตั้งแต่เมื่อไหร่? ” เสียงเย็นเยือกน่าดึงดูดดังออกมาจากปากประตู
ขณะที่เขาเดินก้าวเข้ามาในห้องนั้น อุณหภูมิของห้องลดลงทันที
“แค่กๆๆๆ ······”
หลานเยาเยาสำลักน้ำลายตัวเองทันที
ให้ตายเถอะ!
นี่มันไม่สามารถพูดลับหลังได้อีกจริงๆ! นี่มันอย่างกับโดนจับได้อย่างไรอย่างนั้น
“ออกไปไหนไม่บอกสักคำ อีกทั้งแถวนี้ก็มีเล้านางโลมมากมาย นอกจากไปที่นั่นแล้ว เจ้าจะไปไหนได้? ”
หลานเยาเยาตั้งใจทำเสียงฮัม ก่อนจะเอามือทาบหน้าผากของจื่อเฟิง เมื่อพบว่าไม่มีไข้ ก็ดึงมือกลับ
การกระทำนั้นมันเตะตาของเย่แจ๋หยิ่งมาก จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ร่างของจื่อเฟิง: “นั่นใครอีกหล่ะ······จื่อเฟิง”
เมื่อเห็นใบหน้าของจื่อเฟิงแล้ว ใบหน้าของเย่แจ๋หยิ่งก็เปลี่ยนไป ดวงตามองลึก
เขาผลุนผลันไปที่ข้างเตียง มองไปที่เขาเงียบๆ ก่อนจะถามขึ้นเรียบ:“อาการน่าเป็นห่วงมากไหม? ”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่มือกำแน่นแรงจนเส้นเลือดขึ้นเปลี่ยนเป็นสีดำ
“พ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนนี้เพียงคอยดูไม่ให้มีไข้ มีข้าอยู่ ไม่ต้องห่วงไปหรอก”
“อื้ม! ”
หลานเยาเยามอง ในห้องนี้มีชายถึงสามคน คนหนึ่งนอน คนหนึ่งยืน คนหนึ่งนั่ง แต่ก็ล้วนป่วยด้วยกันทุกคน อีกทั้งอาการป่วยก็ไม่ใช่น้อยๆ ด้วย
ช่วงเวลานั้นนางก็รู้สึกทันทีว่านางนั้นเหมือนจะต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว
แต่ค่ารักษา······ก็เอาไม่ได้
ช่างปะไร
คนหนึ่งก็เป็นสามี อีกคนก็คนช่วยชีวิตสามี อีกคนก็ลูกน้องของสามี จะไปเอาเงินอะไรได้หล่ะ?
ทั้งสามเงียบกันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่หลานเยาเยาจะหันมองสีของฟ้า
ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาไม่น้อย อีกทั้งยังจะถึงเวลาที่นางจำต้องปวดหัวอยู่ทุกวันแล้ว ดังนั้นนางจึงสะบัดฝุ่นที่ไม่เคยมีแล้วลุกขึ้นก่อนจะพูดช้าๆ :
“ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยาให้พวกเจ้าแล้ว! ”
เดิมทีหลานเยาเยาคิดว่า เย่แจ๋หยิ่งจะทำเหมือนกับหลายๆ วันก่อนที่ผ่านมา ที่พอถึงเวลาทำแผล ก็จะคอยจดคอยจ้องนางราวกับกลัวว่าจะมีใครมาใช้ประโยชน์จากนางอย่างไรอย่างนั้น
เอ๋?
ดีเลย!
มันเป็นเพราะกลัวว่านางจะไปใช้ประโยชน์จากคนอื่น······
แต่ไม่คิดเลยว่า พอทำเปลี่ยนยาให้เขาตามปกติ ทั้งแอบใช้เครื่องสแกนร่างกายเขาเงียบๆ เมื่อพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติแล้วก็ไปเปลี่ยนยาให้แก่หานแสต่อ เขาไม่เพียงแต่ไม่เปลี่ยนสีหน้า แม้แต่สายตาก็ยังมองที่นางเงียบๆ
นั่นทำให้หลานเยาเยารู้สึกแปลกๆ
แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป รอจนกระทั่งรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จ จึงได้คิดว่าจะไปเยี่ยมเขาที่ห้อง
ใครจะรู้······
เมื่อไปถึงห้องแล้วนั้นก็กลับไม่เจอเขาอีกแล้ว
“ไปไหนอีกแล้วหล่ะ? ”
นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว
หลานเยาเยาเดินออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม พบเข้ากับหานแสที่กำลังจะกลับห้อง ก็อดยิ้มไม่ได้ที่จะยิ้มให้เขาอย่างเก้อๆกังๆ
“มาหาเขาอย่างนั้นเหรอ? ” หานแสถามขึ้นเบาๆ
“อื้ม! ”
“เขาเพิ่งจะออกไปหน่ะ เพิ่งจะออกไปได้ไม่นาน เดาว่าคงยังไปได้ไม่ไกล” ดูเหมือนจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ หานแสจึงพูดออกมาตรงๆ
“เขาหมายจะไปที่ไหน?”เดิมทีไม่อยากที่จะถาม แต่ด้วยเพราะนางมีเรื่องจะคุย ดังนั้นจึงจำต้องถามออกไป
แต่หานแสกลับส่ายหน้า
เห้อ ก็จริง เย่แจ๋หยิ่งทำไมจะต้องมาบอกหานแสด้วยว่าเขาจะไปไหนด้วย?
เดิมอยากจะเลี่ยงหานแสและกลับไปที่ห้องตัวเอง แต่หานแสกลับขวางทางนางเอาไว้นั่นจึงทำให้หลานเยาเยานึกสงสัย อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง