บทที่ 193 เก็บผู้ชายมาอีกคนหนึ่ง
ดังนั้นนางจึงไปตรงข้างหน้าต่างอย่างรวดเร็ว มองไปทางตำแหน่งที่นางยืนอยู่บนถนนเมื่อสักครู่
ก็คือตรงนี้
เมื่อสักครู่คนผู้นั้นยืนมองนางอยู่ตรงนี้ เป็นไปได้ว่าคนอาจจะจากไปแล้ว หรือว่าเขาอาจจะซ่อนตัวอยู่
คิดถึงตรงนี้ หลานเยาเยาก็ยกขาขึ้นไปเหยีบยที่หน้าต่าง เมื่อกำลังคิดจะกระโดดลงไป ทันใดนั้นก็มีคนมาดึงแขนไว้
“แม่นาง ท่านอย่าคิดสั้นสิ! นี่คือชั้นสี่ หากไม่มีวิทยายุทธแล้วกระโดดลงไปได้คอหักขาหักแน่นอน”
คนที่ดึงนางไว้คือผู้หญิงที่ได้ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งตัวของนางมีกลิ่นชาดสีแดงแผร่กระจายออกมา
หลานเยาเยาหันกลับไป แล้วยิ้มทันที : “ท่านรู้ได้เช่นไรว่าข้าไม่มีวิทยายุทธ? และรู้ได้เช่นไรว่าข้าเป็นผู้หญิง?” ซึ่งตอนนี้นางแต่ตัวเป็นผู้ชาย
ผู้ที่เพียงแวบเดียวก็ดูออกว่าคนอื่นมีวิทยายุทธหรือไม่ แสดงว่าเป็นยอดฝีมือ
“คำพูดนี้ของแม่นางหมายความเช่นไร?” เหมือนว่าผู้หญิงจะรู้ตัว รีบชักมือกลับ ถามด้วยความระมัดระวัง
“แสดงได้แย่มาก!”
“ห๊ะ?”
“เห็นได้ชัดว่าในดวงตาของพวกท่านไม่ได้กันและกันอยู่ แล้วได้เปลือยท่อนบนเห็นท่อนแขนกันแล้ว แม้ว่าจะเป็นชายอยู่บนหญิงอยู่ล่าง แต่ก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน นี้หมายความว่าอะไร? หมายความว่าพวกท่านเพียงทำการแสดงอย่างกะทันหัน จึงมีความไม่คุ้นเคยกัน”
จะพูดให้ถูก พวกเขาไม่เหมือนคนที่เป็นคู่รักกัน
“แม่นางนี่เฉลียวฉลาดจริงๆ!” ผู้หญิงพยักหน้าด้วยความชื่นชม ถึงอย่างไรก็โดนมองออกแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องแสดงอีกต่อไป
หลานเยาเยาไม่ได้ใส่ใจพวกเขาสักนิด แต่กลับมองที่หน้าต่าง แล้วถอนหายใจอย่างฉับพลัน
“ช่างเถอะ”
เรื่องบางเรื่องก็ไม่เห็นอาจจะจำเป็นต้องสาวให้ถึงรากถึงโคน?
ยิ่งรู้เยอะก็เท่ากับยิ่งตายไวขึ้นนี่?
ยิ่งไปกว่านั้น!
เจ้าไม่สามารถปลุกคนที่แกล้งหลับให้ตื่นขึ้นมาได้
คิดถึงตรงนี้ นางจึงได้หมุนตัวเดินไปทางประตู เจ้าของร้านและพนักงานก็ดักรออยู่ที่ประตู เห็นท่าทีของนาง ในใจก็รู้ ที่แท้ก็มาจับชู้นี่เอง!
รีบหลีกทางให้ ไม่ต้องพูดถึงคุณชายที่ดูหน้าตาสง่าผ่าเผย แม้แต่พวกปัญญาชนที่ดูเรียบร้อยแต่ร่างกายอ่อนแอ เมื่อแสดงอำนาจขึ้นมา ก็ดูน่ากลัวเช่นกัน พวกเขาไม่ไปควรหาเรื่อง
หลังจากที่หลานเยาเยาจากไป
ผู้ชายมองไปที่ประตู ถามด้วยความสงสัยว่า : “ทำไมนางจึงได้เดินไปแล้ว?”
“ไม่เดินไปแล้วจะให้ทำยังไง? หรือจะให้กระโดดลงไป” ผู้หญิงกรอกตาขาวใส่เขา
“แต่เมื่อครู่ถ้าเจ้าไม่ดึงนางไว้ นางก็กระโดดไปแล้ว”
“กระโดด? เจ้าไร้เดียงสาจริงๆ!”
นั่นเป็นเพียงแค่การหลอกพวกเขาเท่านั้น และเพียงแค่แวบเดียวก็มองเห็นเบาะแสได้ ชั่งเป็นหญิงที่ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก หากภายหลังต้องกลายเป็นศัตรูกันงั้นก็น่าเสียดายแย่
“ห๊ะ?” ผู้ชายยิ่งสับสนไม่เข้าใจ
“ห๊ะอะไร? รีบไปเถอะ!”
—
เมื่อหลานเยาเยากลับไปที่เดิมที่พวกเขาอยู่กันก่อนหน้านั้น หานแสก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว และศพของชายชุดขาวก็ไม่อยู่แล้ว
คาดว่าน่าจะมีคนยกไปแล้ว
หลังจากนั้นนางจึงได้เดินอยู่ที่บนถนนเงียบๆผู้เดียว บนถนนยังคงมีผู้คนมากมาย แต่นางกลับไม่ได้มองสิ่งใดเลย
“เจ้าได้ยินหรือไม่? คืนนี้ไม่ค่อยสงบนะ! ก่อนหน้านี้มีชายชุดขาวตายบนถนน จากนั้นยังมีคนพบศพคนอีกสองศพตายอยู่ในซอย”
“อันนี้ข้ารู้ ได้ยินว่าสองศพที่ตายในซอยนั่นแปลกประหลาดมาก ยังเป็นถึงนักการเชียว! คนหนึ่งถูกดูดเลือดจนแห้ง อีกคนหนึ่งเหลือเพียงแค่โครงกระดูก น่ากลัวยิ่งนัก มีแต่คนพูดว่าเป็นฝีมือของปีศาจ……”
เสียงพูดคุยกันของทั้งสองคน แว่วเข้าหูมาเป็นระยะระยะ
เหลือเพียงโครงกระดูก?
นี่ทำให้หลานเยาเยาอดนึกถึงฉากที่เคยเห็นบนเรือแห่งความสิ้นหวังไม่ได้
หรือว่าเรือแห่งความสิ้นหวังมาเทียบท่าที่นี่แล้ว?
เป็นไปไม่ได้?
ตอนที่ช่วยจื่อเฟิง นางได้จับตาดูสถานการณ์พื้นผิวทะเล เรือลำใหญ่ขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่เห็น
หรือว่ามีผู้อื่นอีกนอกเหนือจากนี้?
เมื่อถึงตอนนี้
ฝีเท้าของหลานเยาเยาชะงักลง นางก็จับได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่ขาดๆหายๆได้อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ก็ได้กลิ่น เพียงแต่ที่นี่กลิ่นอาหารทะเลค่อนข้างรุนแรง ตามธรรมชาติแล้วนางจึงไม่ได้ไปสนใจ
แต่ตอนนี้ กลิ่นคาวเลือดที่โชยมาเป็นระยะนี้ทำให้นางคิดจะไม่สนใจไม่ได้เลย
ดังนั้นจึงได้เงยหน้าขึ้นมองรอบๆ ยังหาที่มาของกลิ่นคาวเลือดไม่ได้ แต่ก็พบเงาร่างสีดำหนึ่งบนหลังคาซะก่อน
เป็นเขาอีกแล้ว?
ชายชุดดำที่ใส่หน้ากาก
ทำไมเขาจึงปรากฏตัวที่นี่? ควรที่จะหลบหนีไปไกลเท่าที่จะไกลได้ หรือว่าหาที่ถอนพิษ?
เมื่อนางเห็นว่าด้านล่างหลังคาเป็นร้านยา ก็เข้าใจได้ทันที
ที่แท้แล้วก็มาหายา!
หลานเยาเยาคิดไปคิดมา ตัดสินใจว่าจะตามไปดูสถานการณ์
ด้านบนบ้านที่ดูเปลี่ยวสงัด ชายชุดดำที่โซซัดโซเซเหาะลงมา จากนั้นก็เข้าไปภายในบ้าน หลังจากนั้นก็คือ “ปั่ง” เสียงหนึ่ง แล้วก็ไม่มีเสียงใดใดดังออกมาอีก
เอ่อ……
คงจะไม่ได้หมดสติไปแล้วนะ?
เพื่อความปลอดภัย หลานเยาเยารออยู่สักพัก หลังพบว่ายังคงไม่มีเสียงใดใดเล็ดลอดออกมา จึงได้เดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่รีบร้อน
เห็นเพียงชายชุดดำที่ครึ่งท่อนบนนอนคว่ำอยู่บนเก้าอี้ ไม่มีการเคลื่อนไหว มือข้างหนึ่งยื่นไปบนพื้น บนพื้นมีขวดอยู่หนึ่งขวด
หลานเยาเยาหยิบขึ้นมาแล้วถาม
“ถอนพิษหรอ?”
ถูกหลอกหล่ะสิ?
ยาลูกกลอนด้านในขวดนี้ เห็นได้ชัดว่าคุณภาพไม่เพียงพอ และมีสารเจือปนมากมาย ถอนพิษธรรมดายังถอนไม่ได้เลย
แล้วชายผู้นี้มือข้างหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีดำไปหมดแล้ว
ไม่ต้องตรวจก็รู้ เขาโดนพิษที่ร้ายกาจมาก
ยาลูกกลอนชนิดนี้ไม่มีผลใดใด
นางจะช่วยหรือไม่ช่วยดีนะ?
นี่คือปัญหาที่ร้ายแรงมากที่สุด
ก่อนหน้านี้ที่ด้านล่างป่าแห่งความลับ นางและจื่อเฟิงเกือบจะตายด้วยน้ำมือของเขา ตามหลักเหตุผลแล้วไม่ควรจะช่วย
แต่ว่า……
ดูจากวันนี้ที่เขาแย่งชิงตราลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่าจากชายชุดขาว ยังมีสิ่งเบาะแสที่นางอยากได้จากปากของเขา
ช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว
ดูโฉมหน้าก่อนค่อยว่ากัน คนที่ใส่หน้ากากส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่มีความลับที่ไม่สามารถให้คนอื่นรู้ได้
ดังนั้น นางจึงอยากดูซิว่า ภายใต้หน้ากากอันนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่?
ดังนั้น!
นางจึงยื่นมือไปถอดหน้ากากของชายชุดดำออก
“หึ ข้าจะดูซิว่า เจ้า……”
มองเห็นหน้าของคนนั้น หลานเยาเยาตะลึงงันไปทันที ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เคร้งคร้าง…….”
หน้ากากตกลงสู่พื้น จากนั้นนางก็นั่งลงกับพื้น
“ทำไมจึงเป็นท่านได้นะ?”
ชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวง เป็นที่รู้จักในเรื่องความสุภาพอ่อนโยน เป็นหนึ่งในคุณชายทั้งเจ็ดแห่งเมืองหลวง มีอำนาจมีอิทธิพล ทำไมถึงได้ดั้นด้นมาไกลเพื่อแย่งชิงตราลัญจกรหยกได้?
เซียวจิ่นหยู ท่านเป็นใครกันแน่นะ?
หลานเยาเยาคิดกลับไปกลับมาครู่หนึ่ง ก็เหมือนกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่าง ยิ้มอย่างเวทนาออกมาทันที แล้วก็ยื่นมือไปจับชีพจรตรวจร่างกายให้เซียวจิ่นหยู
แล้วก็ฝังเข็มเพื่อขับพิษให้เขา สุดท้ายก็พาคนกลับไปยังโรงเตี๊ยม
นางจัดแจงให้เซียวจิ่นหยูและจื่อเฟิงอยู่ห้องเดียวกัน ไม่ใช่ว่านางขี้เหนียว ไม่อยากเปิดให้อีกห้องหนึ่ง แต่ว่าคนโดนพิษทั้งสองคนอยู่ด้วยกันจะสะดวกต่อการรักษามากกว่า
แน่นอนอยู่แล้ว!
คนมาอยู่กินที่ห้องพักตั้งมากมาย นางยังต้องควักเหรียญเงินเพียงผู้เดียว รายจ่ายเยอะมาก!
ใช่ แล้วยังพาคนป่วยกลับมาด้วยอีกคนหนึ่ง
อีกทั้ง นางได้ค้นตัวดูแล้ว ในตัวเซียวจิ่นหยูมีเพียงเศษเหรียญเงินไม่เท่าไหร่
เป็นเจ้านายอีกคนที่ไม่มีเงิน
พระเจ้า!
ตัวตนของพวกเขาสองสามคนนี้หากถูกเปิดเผยออกมาต้องทำให้หลายๆคนตกใจแน่ๆ มีอำนาจมีอิทธิพล ครอบครัวร่ำรวย ทำไมออกจากบ้านถึงได้พกเหรียญเงินมานิดเดียว?
น่าโมโหนัก!
เพื่อที่จะทำให้จิตที่ไม่สงบสงบลง นางจึงดื่มชาเพื่อคลายความไม่สงบ จากนั้นเพิ่งจะนึกได้ว่าต้องไปดูว่าหานแสกลับมาถึงโรงเตี๊ยมหรือยัง
นางยังไม่ทันจะลุกขึ้น ก็ได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดออก ไม่ใช่เพียงหานแสผู้เดียวที่เดินเข้ามา ยังมีเย่แจ๋หยิ่งที่หน้าตาเย็นชาด้วย
เพียงแต่สายตาของพวกเขาจ้องมองไปที่ร่างกายของผู้ที่เพิ่มเข้ามาทันที เงียบไปไม่กี่วินาที พวกเขาก็ส่งสายตาไปทางนางพร้อมกัน
ราวกับกำลังถาม : นี่ไปเก็บผู้ชายมาจากไหนอีก?