หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป – ตอนที่ 203 การสังเวยเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์

บทที่ 203 การสังเวยเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์

น่าสงสารยิ่งนัก……

เย่แจ๋หยิ่งไม่แม้แต่จะชายตามอง ทั้งยังม้วนเส้นผมของหลานเยาเยาที่ห้อยอยู่ตรงหน้า พันรอบนิ้วเป็นวงกลม อย่างกับว่าเส้นผมของหลานเยาเยานั้น ยังคุ้มค่าที่เขาจะให้ความสนใจมากกว่าใบหน้าของซิ่วซิ่วเสียอีก

หลังจากที่ซิ่วซิ่วเห็นว่าเย่แจ๋หยิ่งไม่แม้แต่จะสนใจนาง ในใจก็เริ่มจะไม่มีความสุข จึงพูดกับทุกคนว่า: “พอได้แล้ว!”

“ในเมื่อซิ่วซิ่วบอกเช่นนี้ งั้นพวกข้าก็จะไม่ใส่ใจ!”

“ก็ได้ก็ได้ก็ได้ พวกเรากันไปเถอะ”

ในไม่ช้า ชาวเผ่าก็ต่างแยกย้ายกันออกไป

ซิ่วซิ่วเดินมาถึงด้านหน้าของพวกหลานเยาเยา โค้งคำนับแก่พวกเขาเล็กน้อย

“ข้าทำความเคารพ”

“ที่แท้ก็คือซิ่วซิ่วนี่เอง! ได้ยินเสี่ยวฮัวพูดถึงเจ้าอยู่บ่อยครั้ง แต่ตัวจริงนี่ยิ่งกว่าที่เคยได้ยินมาเสียอีก เจ้านั้นงามสะพรั่งดั่งดอกไม้อย่างที่นางพูดไว้ไม่มีผิด”

ใช่แล้ว!

เป็นดอกไม้ที่ลือเลื่อง

แก้มสองข้างที่แดงฉาน ผมถักเป็นเปีย ปากอวบอิ่มดั่งไส้กรอก และยังชอบใช้นิ้วแหย่จมูกอันเบิกบานนั่น……

เมื่อได้ยินคำชมจากหลานเยาเยา ซิ่วซิ่วก็หน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอายทันใด แววตาก็ยังคงชม้อยชม้ายไปทางเย่แจ๋หยิ่งเป็นครั้งคราว

“ขอบน้ำใจท่านชายสำหรับคำชม!”

“ไม่เป็นไร ข้าเพียงพูดความจริงก็เท่านั้น”

จริงๆแล้วหลานเยาเยายังอยากจะพูดอีกสักสองสามคำ แต่เย่แจ๋หยิ่งกลับทนต่อไปไม่ไหว

จึงพูดอย่างไม่แยแสขึ้นมาในทันที: “จะพูดกับคนที่ไร้ซึ่งประโยชน์ไปอีกสักกี่คำกัน?”

หลานเยาเยาไม่ทันได้โต้กลับ ก็โดนเย่แจ๋หยิ่งแบกตรงเข้าไปยังที่พำนักเสียแล้ว

ได้ยินแค่ “ปัง” ซึ่งเป็นเสียงถีบประตู แล้วก็ “ปัง” อีกครั้งหลังจากที่ปิดประตู เพื่อไม่เปิดโอกาสให้ซิ่วซิ่วได้เข้ามา

ในขณะที่หลานเยาเยาเพิ่งจะได้สติ เย่แจ๋หยิ่งก็หายลับจากสายตานางไป แล้วเขาก็นั่งลงบนโต๊ะริมหน้าต่างอย่างอิดโรย ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

ชายผู้นี้……

ชอบที่จะแบกนางหรืออย่างไรกัน? อะไรๆก็แบกตลอด ไม่คิดว่านางจะอายบ้างเลยรึ?

อีกทั้ง!

นางยังอยากจะพูดอีกสองสามคำ แต่ต้นขาก็ถูกอุ้มขึ้นมาเสียแล้ว เมื่อเพ่งสายตามอง ก็เป็นฮัวหยู่อันที่สะอึกสะอื้นไปทั้งน้ำมูกน้ำตา

“คุณหนู ยาถอนพิษ!” วันนี้ไม่ถึงครึ่งวัน ได้ใช้น้ำตาของทั้งชีวิตร้องห่มร้องไห้ไปหมดแล้ว

ฮึกฮึกฮึก……

จะเอาน้ำตาคืนกลับมาได้หรือไม่? นางอยากจะให้หลานเยาเยาชดใช้แก่นาง

หลานเยาเยาจ้องมองเสี่ยวฮัวที่ร้องห่มร้องไห้ ก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมาในสถานการณ์ที่งี่เง่าเช่นนี้ จนเกือบจะลืมเรื่องยาถอนพิษไปแล้ว

โชคดีที่นางไม่ได้กำลังทะเลาะกับชาวชนเผ่าที่โหวกเหวกอยู่ข้างนอกเมื่อครู่นี้ ทั้งยังไม่ได้คุยสิ่งใดมากมายกับซิ่วซิ่ว มิเช่นนั้น เสี่ยวฮัวจักต้องร้องไห้จนเป็นลมล้มพับไปเป็นแน่

ดังนั้น นางจึงหยิบยาออกมาให้แต่โดยดี

“อ่ะ เอาไป ป้ายเสียหน่อยก็เพียงพอ”

ฮัวหยู่อันนั้นเหมือนได้รับสมบัติอันล้ำค่า ประครองยาถอนพิษไว้ในมือด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็ป้ายลงที่ตาอย่างไม่รีรอ

น้ำตาหยุดไหลในทันที

ฮัวหยู่อันอุทานออกมา: “ช่างวิเศษเหลือเกิน!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

หลานเยาเยาก็รีบยกมือขึ้น และมองไปที่นางอย่างภาคภูมิใจ กำลังจะคุยโม้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ความสนใจของเสี่ยวฮัวจะไม่ได้อยู่ที่ยาถอนพิษนั่นแล้ว

“คุณหนู เหตุใดถึงอยากให้ข้าร้องไห้ที่แท่นบูชายัญนั่นล่ะ?”

นี่มันทำให้ฮัวหยู่อันยังคงสงสัยทั้งๆที่ครุ่นคิดอยู่หลายต่อหลายครั้ง

แท่นบูชายัญเป็นสถานที่ที่ชาวเผ่าหยินไห่เคารพบูชามากที่สุด ผู้อาวุโสปลูกฝังนางมาตั้งแต่เล็ก ว่าผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็น*เด็กชายและเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าจะได้พบเจอกับความโชคร้าย แต่จริงๆแล้วพวกเขานั้นโชคดีเป็นที่สุด

จากช่วงเวลาที่พวกเขาเริ่มถูกสังเวย แม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะถูกเผาไหม้ แต่วิญญาณของพวกเขาจะไม่สลายไป หลังจากตายไปแล้วมิใช่เพียงแต่จะนำความโชคร้ายกลับไปยังหุบเขาจิ้น ทั้งยังทำให้ชาวเผ่าระลึกถึงพวกเขาไปตลอดกาล

พวกเขาคือผู้เสียสละที่ยิ่งใหญ่ นางสมควรที่จะรู้สึกเสียใจและร้องไห้ ณ แท่นบูชายัญอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่

นี่เป็นดั่งการเหยียดหยามผู้ที่ถูกสังเวย อีกทั้งยังเป็นการดูหมิ่นชาวเผ่าอีกด้วย

แต่หลานเยาเยากลับบอกให้นางร้องไห้ ก็คงจะมีเหตุผล เช่นนั้นนางจึงไม่ขัดขืน และปฏิบัติตามอย่างที่นางต้องการ

ดันนั้น ในเพลานี้นางจึงต้องการคำอธิบาย

“เมื่อก่อน*เด็กชายเเละเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสังเวยต่างถูกคลุมหัวรึไม่?”

หลานเยาเยาถามเรียบๆ

“ไม่เคย *เด็กชายเเละเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสังเวยต่างต้องเผยเอาไว้ เพื่อให้ชาวเผ่าได้จดจำรูปลักษณ์ของพวกเขา

เอ๊ะ? ดูเหมือนจะไม่ใช่ เมื่อก่อนเคยได้ยินชายชราผู้หนึ่งที่กำลังจะตายพูดไว้ว่า มีการสังเวยแบบพิเศษอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้ที่ถูกสังเวยไม่ใช่*เด็กชายและเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ แต่จะเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งในวันที่ถูกสังเวย หัวของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานก็ถูกคลุมด้วยผ้าขาว

หลังจากวันนั้นก็เป็นวันนี้นี่แหล่ะ ไม่เพียงแต่วันในการสังเวยไม่ถูกต้อง แต่*เด็กชายและเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ ก็ยังถูกคลุมด้วยผ้า มีสิ่งใดผิดแผกแปลกไปกันนะ?”

แม้ว่าในใจของฮัวหยู่อันจะมีข้อสงสัย แต่พ่อใหญ่ พ่อรอง และพ่อสามก็รักและเอ็นดูนางเป็นที่สุด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องปิดบังนาง

“เช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่ถูกสังเวยในวันนี้เป็นผู้ใด?”

หลานเยาเยาเลิกคิ้วพลางจ้องมองฮัวหยู่อัน นางล่ะอยากแหกหัวของนางออกมาเสียจริงๆ จะดูสักหน่อยว่าในสมองเนี้ยมีสิ่งใดอยู่บ้าง

เรื่องมันแดงถึงเพียงนี้ นางหาได้เอะใจสิ่งใดไม่

“ไม่รู้ เพียงแค่ไม่ใช่อาฝูกับโม่ซางก็พอแล้ว” ฮัวหยู่อันส่ายหน้าแบบไม่คิดอะไรมากมาย

“ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าไม่ใช่อาฝูกับโม่ซ่าง เช่นนั้นผู้ที่ถูกสังเวยในวันนี้ก็ไม่ใช่*เด็กชายเเละเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ งั้นนี่มันบ่งบอกถึงสิ่งใด?”

เมื่อคำถามนี้โผล่ขึ้นมา

ฮัวหยู่อันก็ตกใจเล็กน้อย แต่ก็คิดแล้วคิดอีก นางก็ยังคงส่ายหน้า เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ถูกถาม

“มันหมายถึงสิ่งใดกัน?”

“มันจะหมายสิ่งใดได้อีกล่ะ? เท่านี้ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้แล้วว่าการสังเวย*เด็กชายเเละเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้รักษาความสงบของชนเผ่า โชคลงโชคร้ายอะไร หุบเขาจิ้นอะไร ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นแค่เพียงกลลวงของเหล่าผู้อาวุโสในการจัดการผู้คัดค้านทั้งสิ้น

ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยพูดหรอกรึ? ว่าอาฝูและโม่ซางจะไม่มีทางถูกเลือกให้เป็น*เด็กชายเเละเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงได้แยกตัวจากไปเพียงช่วงเวลาสั้นๆกันล่ะ แล้วพวกเขาก็ไม่ใช่แค่ถูกเลือกให้เป็น*เด็กชายเเละเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ แต่พวกเขายังถูกสังเวยในช่วงเวลาที่ไม่ใช่วันแห่งการสังเวยอีกด้วย

หากพวกเขาไม่พยายามที่จะหนี พวกเขาก็คงจะตายไปตั้งนานแล้ว”

อันที่จริงหลานเยาเยาไม่ได้อยากจะพูดเรื่องพวกนี้ออกมา แต่นางก็ไม่อยากจะให้เสี่ยวฮัวจมอยู่แต่ในโลกแห่งความเพ้อฝัน โดยไม่ตระหนักถึงวิกฤตใดๆเลย

มันคือเรื่องจริงที่จิตใจของมนุษย์นั้นแสนจะมืดมน

เสียง “ตุ๊บ” ดังขึ้น ฮัวหยู่อันแน่นิ่งอยู่บนพื้น และส่ายหัวอย่างรุนแรง ดวงตาแดงก่ำที่บวมช้ำจากการไหลของน้ำตา และแล้ว น้ำตาอีกสายก็พรั่งพรูออกมา

“เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ การสังเวยนั้นเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ พ่อใหญ่ พ่อรอง และพ่อสาม พวกเขาต่างเป็นผู้เสียสละ พวกเขาไม่มีทางทำเรื่องที่น่าสลดใจเช่นนี้ได้หรอก”

เมื่อได้ยินนางพูดเยี่ยงนี้ หลานเยาเยาก็ หึ อย่างเย็นชา และพูดให้กระจ่างอย่างไร้ความปรานี:

“หากเจ้าไม่เชื่อ อย่างงั้นจะร้องไห้ออกมาด้วยเหตุใดกัน?”

“ข้า……” ฮัวหยู่อันพูดอะไรไม่ถูก

การที่นางร้องไห้ก็เพราะว่านางยอมรับความจริงในสิ่งที่หลานเยาเยาพูดมิใช่รึ?

แต่ว่า……

เมื่อหวนนึกถึงวัยเยาว์ พ่อใหญ่ พ่อรอง พ่อสามก็มักจะพานางออกไปเที่ยวเล่น ทำให้นางหัวเราะ ปกป้องจนนางเติบใหญ่ พวกเขาดีกับนางมามากมาย พวกเขาจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน

“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงบอกให้เจ้าร้องไห้ที่แท่นบูชายัญ?”

ฮัวหยู่อันไม่ตอบกลับ เพียงแต่ใช้ฝ่ามือที่ชุ่มน้ำตากุมปากไว้ ไม่อยากให้ตนนั้นร้องไห้ออกมา จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างรุนแรง

นางไม่รู้

ในเพลานี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดนางก็ไม่รู้ทั้งนั้น รู้เพียงแต่ว่าในเพลานี้สับสนมากเหลือเกิน

แต่อย่างไรก็ตาม นางได้หันไปมองหลานเยาเยาด้วยแรงกล้า หวังที่จะได้รับคำตอบจากนาง แม้ว่านางจะไม่อยากได้ยินเลยก็ตาม แต่ก็ยังอยากจะรู้อยู่ดี

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

ได้ยินมาว่าท่านอ๋องเป็นคนโหดร้าย เขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง?ไม่ใช่เลย ตั้งแต่เขาแต่งงานกับคุณหนูหกของจวนแม่ทัพก็เปลี่ยนไปแล้ว “เยาเยาร่างกายอ่อนแอ ไม่ชอบพูดคุย ข้าไม่วางใจให้เขาไปคนเดียว”รู้สึกอับอายนัก!พระชายาใช้ไม้ตีรัชทายาท นังเสแสร้ง ปากนั้นสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้ ยังไม่วางใจอีกหรือ?“เยาเยา นางไม่มีความรู้ที่เกี่ยวกับสงคราม ฝีมือทางการแพทย์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกเจ้าอย่ารังแกนาง”ทหารของฝ่ายศัตรูกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ทหารสิบหมื่นที่ถูกพระชายาวางแผนมาเป็นเชลยศึกกำลังรอการถอนพิษอยู่ นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ของพระชายาเย่ หรอ?“ เยาเยานางไร้เดียงสา ไม่เคยยุ่งกับคนอื่น” ทหารทั้งหลายเหลือบมองเจ้านายที่กำลังหลีกเลี่ยงเพื่อความรัก เจ้านาย จริยธรรมของท่านที่อยู่ไหน?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset