บทที่ 207 อย่างน้อยก็พบส่วนประสมนำร่องตัวยาแล้ว
“เห้ย! มัวยืนอึ้งอะไรกันอยู่ รีบไปหาเชือกมาช่วยผู้อาวุโสใหญ่ของพวกเจ้าเร็วเข้า”
“อ่อ ได้ ข้าไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ”
เจี่ยนหมิงตอบกลับมา แล้วรีบไปหาเชือกในทันที
ขณะที่หลานเยาเยาหันไปทางฮัวหยู่อัน กลับต้องตกใจเมื่อพบว่า นางร้องไห้ ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและหมดสิ้นซึ่งความหวัง จากนั้นตัวก็เริ่มสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ
หือ?
สภาพของคนโดนมนต์ดำดูสยองและน่าสะอิดสะเอียนก็จริง แต่ก็ไม่น่าจะทำให้นางหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ นางนึกคิดไปถึงสิ่งใดกัน?
ไม่มีเวลาที่จะมาคิดว่าในใจของฮัวหยู่อันนั้นนึกถึงสิ่งใดอยู่ เสียงของคนโดนมนต์ดำกำลังใกล้นางมามากขึ้นทุกที ซึ่งในใจของนางนั้นก็มีแต่ความสงสัย
แม้ว่าจะไม่รู้ขีดความสามารถในการต่อสู้ของผู้อาวุโสใหญ่ แต่เมื่อดูจากลีลาการต่อสู้และพละกำลังภายในที่เขาเพิ่งแสดงออกไป ก็ไม่ได้ดูลำบากยากเย็น
แต่เพลานี้กลับดูล่าถอยเสียเหลือเกิน
หึ!
เช่นนี้ก็น่าสนใจน่ะสิ
จะเป็นเพราะว่าคิดว่านางจะกลัวเหมือนกับที่ฮัวหยู่อันกลัว หรือจะเป็นเพราะอยากจะทดสอบนางกันแน่?
จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ วันนี้จะแสดงให้เขาเห็นเป็นบุญตาสักหน่อย ว่านางไม่ใช่คนที่เขาจะมาแหยมด้วยได้
และแล้ว!
เข็มเงินสองสามเล่มก็ปรากฏขึ้นในมือของนางทันที ยิงเป้าไปยังจุดฝังเข็มของคนโดนมนต์ดำด้วยความเร็วและแม่นยำเป็นอย่างมาก เข็มเงินทิ่มเข้าไปยังคนโดนมนต์ดำ ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถหยุดเขาได้ในทันที แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
และแล้วนางก็รีบนำขวดยาออกมา และแยกตัวไปทางคนที่โดนมนต์ดำ
นับตั้งแต่ที่เขาเป็นผีดิบมา แม้แต่จะเป็นผีดิบที่สมบูรณ์เขาก็ยังทำไม่ได้
ในไม่ช้า คนที่โดนมนต์ดำก็ล้มลงไปกองกับพื้น พลางส่งเสียงคำรามต่ำๆที่ไม่น่าฟัง และด้วยเข็มที่ทิ่มแทงเขาอยู่จึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามอำเภอใจ
และช่วงเวลานี้!
ก็ได้เห็นผู้อาวุโสใหญ่หรี่ตาลงอย่างเหี้ยมโหด นำผงสีขาวออกมาซองหนึ่ง เหมือนจะเอาไปโปรยใส่คนโดนมนต์ดำที่นอนอยู่บนพื้น
“เขาถูกควบคุมไว้แล้ว”
แต่มันสายเกินไป ผงในมือของผู้อาวุโสใหญ่หกลงบนร่างของคนโดนมนต์ดำไปเสียแล้ว เสื้อผ้าของคนโดนมนต์ดำเริ่มถูกกัดกร่อน
หลานเยาเยาจิตใจเต้นรัว
*ผงกร่อนร่างผงสลายศพ……
จิตใจที่ยังคงสั่นรัว รีบหยิบขวดยาน้ำสีฟ้าออกมาจากระบบ สาดลงไปที่คนโดนมนต์ดำในบริเวณเดียวกันกับที่โดน*ผงกร่อนร่างผงสลายศพ ใช้เวลาไม่มากนัก ฤทธิ์กัดกร่อนของ*ผงกร่อนร่างผงสลายศพก็ได้เสื่อมลง
หลานเยาเยาหันไปมองผู้อาวุโสใหญ่ ก็ได้เห็นแววตาที่ประหลาดใจในดวงตาของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะเม้มมุมปาก
“ท่านชาย เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้? เหตุใดถึงไม่ให้ข้าสังหารเขาเสียให้สิ้นเพื่อเลี่ยงภัยในอนาคต เจ้าก็รู้ว่าคนที่โดนมนต์ดำเช่นนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ผู้ใดที่ถูกเขากัดหรือดูดเลือดจักกลายเป็นแบบเขา”
ผู้อาวุโสใหญ่มองมาทางนาง แววตาเต็มไปด้วยความโมโหและครุ่นคิด
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่เข้าใจผิดแล้ว การกำจัดพิษร้ายเพื่อยุติภัยอันตรายในอนาคตอย่างแท้จริง หาใช่การสังหารเขาให้สิ้นซากไม่ ควรที่จะหาต้นตอของสิ่งที่ทำให้เขาโดนมนต์ดำนี้ จากนั้นก็ทำลายต้นตอของมันซะ เช่นนั้นก็จะเป็นการกำจัดพิษร้ายเพื่อยุติภัยอันตรายในอนาคตได้อย่างแท้จริง”
อาการของคนผู้นี้ เป็นเช่นเดียวกับอาการหลังจากโดนหนอนพิษกู่จิ้นที่เย่แจ๋หยิ่งเคยพูดถึง ดังนั้นในตอนนี้ คนโดนมนต์ดำคนนี้จึงมีความสำคัญต่อนางเป็นอย่างมาก
เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมให้ผู้ใดมาทำลายเขา
“จริงๆแล้วท่านชายเป็นผู้ใดกันแน่?” ผู้อาวุโสใหญ่หรี่ตาลงอีกครั้ง
“เป็นเพียงแค่หมอที่มีความสำเร็จอันน้อยนิดขอรับ”
จะพูดออกไปก็เกรงว่าเขาจะหวาดกลัว เช่นนั้นไม่พูดจะดีกว่า
และในช่วงเวลานี้!
ฮัวหยู่อันที่ได้สติ ก็ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา จึงรีบมาอยู่ข้างหลานเยาเยาในทันที หลังจากนั้นก็พูดกับผู้อาวุโสใหญ่ว่า:
“พ่อใหญ่ นางเป็นหมอผู้วิเศษ โรคภัยไข้เจ็บทั้งหมดทั้งมวลที่รักษาหายยากก็สามารถหายได้ด้วยน้ำมือของนาง ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นนางทำให้คนตายกลับมามีชีวิต ข้าเชื่อว่านางสามารถใช้คนที่โดนมนต์ดำตามหาต้นตอของมนต์ดำได้อย่างแน่นอน”
หลานเยาเยาจ้องมองด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ฮัวหยู่อันกำลังพูดเรื่องไร้สาระด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ
หากนางทำให้คนฟื้นคืนชีพได้ นางก็คงเป็นดั่งเทพเทวดาไปแล้ว
แต่นางก็ไม่ได้ขัดฮัวหยู่อันที่กำลังพูดอยู่ เพราะเพลานี้นางต้องการให้มีคนยกย่องส่งเสริมในตัวนาง
ทันใดนั้น!
เจี่ยนหมิงที่หาเชือกเจอแล้วก็รีบวิ่งกลับมา มองเห็นคนที่เคลื่อนไหวไม่ได้อยู่ที่พื้น หลังจากที่ประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบไปมัดคนคนนั้นในทันที
หลังจากมัดแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนพลางถามว่า:
“ผู้อาวุโสใหญ่ จะทำเช่นไรกับคนโดนมนต์ดำคนนี้รึขอรับ?”
ผู้อาวุโสใหญ่เหลือบมองหลานเยาเยา จากนั้นเขาก็หันไปทางพวกชาวเผ่าที่กำลังกรูกันมา จึงพูดเสียงต่ำว่า:
“เนื่องจากเพื่อนของฮัวหยู่อันนั้นเป็นหมอผู้วิเศษ เช่นนั้นก็จะให้เขารับมือไปเสีย หากรับมือได้ไม่ดี ข้าก็จะจัดการด้วยตนเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น!
หลานเยาเยาก็ขำเบาๆ และพูดขึ้นเรียบๆว่า: “เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่ต้องลำบากผู้อาวุโสใหญ่หรอกขอรับ ข้าจักจัดการเขาด้วยตัวเองให้เป็นอย่างดี”
หลังจากเหล่าชาวเผ่าซุบซิบกัน เรื่องที่ผู้อาวุโสใหญ่บอกว่าหลานเยาเยาเป็นหมอผู้วิเศษ หลังจากนั้นฮัวหยู่อันก็ดำเนินเรื่องต่อ ท่าทีของทุกๆคนที่มองไปทางหลานเยาเยาก็เปลี่ยนแปลงไปราวฟ้ากับเหว
หมอผู้วิเศษที่สามารถปราบคนโดนมนต์ดำได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังบอกว่าจะช่วยพวกเขาหาต้นตอของมนต์ดำ ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากภยันตราย
แววตาของพวกเขาไม่มีทางที่จะชื่นชมไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ขอน้อมคาระวะ
หลังจากผู้อาวุโสใหญ่เดินไป ผู้คนก็ต่างซุบซิบและแยกย้ายกันไป
ในที่สุดเจี่ยนหมิงก็อาสานำคนโดนมนต์ดำที่แสนน่ากลัวใส่กระสอบและเดินแบกไป
เพื่อความปลอดภัย เหล่าผู้อาวุโสก็ขอให้ทุกคนช่วยกันสร้างที่พำนักให้แก่หลานเยาเยา โดยที่พำนักจะห่างจากที่ผู้คนอาศัยอยู่เล็กน้อย แต่ก็ค่อนข้างที่จะกว้างขวาง โดยทั้งหมดมีอยู่สี่ห้อง เพียงสองวันก็สร้างเสร็จแล้ว ผู้คนพากันส่งเครื่องนอนและอาหารมาให้อย่างกระตือรือร้น
เย่แจ๋หยิ่งและหานแสอยู่ในสถานการณ์ที่นางไม่คาดคิด เข้ามาอยู่อาศัยในที่พำนักที่คนอื่นสร้างขึ้นให้กับนาง อีกทั้งยังไม่บอกไม่กล่าว จนกว่านางจะรู้เอง
ตั้งแต่ที่คนโดนมนต์ดำถูกส่งต่อให้หลานเยาเยาจัดการ นางก็ตรวจสอบและค้นคว้าอยู่ทั้งวันทั้งคืน ถึงขั้นที่เกือบจะลืมกินข้าวกินปลา
และในช่วงเวลานี้เอง!
หลานเยาเยาก็มองไปทางเหยื่อผู้โดนมนต์ดำ ที่ถูกมัดติดไว้กับเสา ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
จึงรีบไปเอาเลือดจากร่างของคนโดนมนต์ดำมาใส่ลงในชามทันที จากนั้นก็หยิบกริชออกมา ปาดลงที่นิ้วของตน แล้วก็หยดลงบนเลือดสีดำของคนโดนมนต์ดำ
ในตอนแรกหยดลงไปหยดสองหยด ก็ไม่มีผลใดๆ
แต่หลังจากที่หยดเลือดลงไปมากขึ้น เลือดสีดำของคนโดนมนต์ดำก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง เริ่มแรกเป็นสีดำ มันค่อยๆกลายเป็นดำคล้ำ สุดท้ายก็กลายเป็นสีแดงเข้ม
“ฮึฮึ……”
นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ปรากฏว่าเลือดชนิดA3สามารถพัฒนาเลือดของคนโดนมนต์ดำได้ ชนิดเลือดของเย่แจ๋หยิ่งนั้นเป็นชนิดเดียวกันกับเลือดของนาง เช่นนั้น เย่แจ๋หยิ่งที่เพิ่งจะเริ่มแสดงอาการ มันก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์มากมายกับเลือดในร่างกายของเขา
แต่ว่า……
พื้นฐานที่นางวิเคราะห์ได้ เลือดหนึ่งหยดของคนโดนมนต์ดำ จะต้องใช้เลือดของนางกว่าสิบหยดเพื่อให้มันบริสุทธิ์ขึ้น แต่เช่นนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้บริสุทธิ์ไปทั้งหมดได้
อย่างไรก็ตามนี่ก็ถือว่าเป็นข่าวดี
แต่แล้ว!
มือของนางก็ถูกจับด้วยมือที่เย็บเฉียบคู่หนึ่ง เมื่อเหลือบตามองขึ้นไป ก็ไม่นึกว่าจะเป็นหานแส
ในแววตาของเขาดูแปลกไปดั่งกับว่ากำลังย้อนอดีต จากนั้นก็ดูเหมือนกับเป็นคนละคน พลางพึมพำว่า: “ยาถอนพิษคือเลือดของเจ้า……”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็มีลมกระโชกแรงพัดมากวาดเขาไปติดที่ผนังในทันใด แต่เขานั้นหาได้กริ้วโกรธใดๆไม่ ทั้งยังหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
“อย่างนี้นี่เอง อย่างนี้เองสินะ……”
อย่างนี้นี่เองอะไรกัน?
หานแสกำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่กันแน่?
ในใจของหลานเยาเยามีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด แต่นางก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับหานแสมากนัก และได้หันไปมองทางประตู