บทที่ 208 เราเลิกกันเถอะ
เย่แจ๋หยิ่งที่ยืนอยู่ตรงประตูมองดูนางอยู่เงียบๆ จะให้พูดชัดๆก็คือเมื่อเห็นบาดแผลที่นางปาดลงไปด้วยตัวเองก็รู้สึกเศร้าใจ
“ต่อไปนี้หากเจ้ายังกล้าสัมผัสนางอีกละก็ ข้าจะตัดมือเจ้าทิ้งซะ” น้ำเสียงที่เยือกเย็นดั่งน้ำแข็งค่อยๆดังขึ้น
แม้ว่าเขาจะยังคงมองหลานเยาเยาอยู่ แต่กลับพูดให้กับหานแสที่อยู่ตรงกำแพง
“ฮึฮึฮึ……วางใจเถอะ! ข้าหาได้โง่เขลาถึงปานนั้นไม่ และมันก็สายเกินไปแล้วที่จะปกป้องนาง!”
พูดจบ เขาก็จัดเสื้อผ้าของตน จากนั้นก็เดินมาทางหลานเยาเยาอย่างสบายอกสบายใจ นอกจากนั้นเขายังนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง พร้อมสายตาที่จ้องมองไปยังเลือดในชาม ริมฝีปากเผยรอยยิ้มที่แสนคลุมเครือ……
“เย่แจ๋หยิ่ง เจ้าจะไปที่ใด?”
เมื่อเห็นว่าเย่แจ๋หยิ่งหันหลังออกไป หลานเยาเยาที่ไม่ได้สนใจหานแส ก็ตามออกไป “รอข้าก่อน”
นับตั้งแต่วันนั้น หลังจากที่เย่แจ๋หยิ่งอยู่ๆก็พูดคำเหล่านั้นขึ้นมา นางก็ได้เจอเขาน้อยลง แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ในที่พำนักของนางก็ตาม อีกทั้งหลังจากที่นางรู้ว่าหานแสก็มาอยู่ด้วย จึงได้เรียนรู้จากหานแส
ยังดี ที่ครั้งนี้เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะหลบเลี่ยงนาง
นางตามไปถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาก็ได้ยืนรอนางอยู่ที่นั่นแล้ว
“ข้าหาทางออกได้แล้ว ข้าสามารถรักษาเจ้าได้”
“เจ้าจะใช้เลือดของเจ้างั้นรึ?” น้ำเสียงของเขามีความเย็นชาเล็กน้อย
เมื่อครู่ที่หลานเยาเยาใช้เลือดของนางผสมกับเลือดของคนโดนมนต์ดำแล้วมีการเปลี่ยนแปลง เขาเองก็เดาไว้อยู่แล้ว
“อืม!”
“เลือดของเจ้ารักษาข้าไม่ได้” เขารู้อยู่แล้ว ว่าเลือดของเขาและเลือดของนางมีความพิเศษเหมือนกัน
“ข้ารู้ ต่อให้ข้ามีสิบคนก็ช่วยเจ้าคนเดียวไม่ได้ แต่ชนิดของเลือดข้าก็จะเป็นส่วนประสมนำร่องของตัวยา”
ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มันสามารถชะลอการแพร่กระจายของพิษร้ายในตัวเขา
ด้วยทิศทางเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าสามารถพัฒนาเป็นยาถอนพิษได้
“หลังจากนี้ไปห้ามทำร้ายตัวเองแล้วนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพลานี้ตัวเจ้ามีอันตรายมากเพียงใด?”
“ข้ารู้ แต่ข้าไม่สามารถปล่อยให้เจ้าตายได้ ถึงแม้จะมีเพียงแค่หนึ่งความหวัง ก็มิอาจมีใครมาหยุดยั้งข้าได้”
ถึงแม้ว่ารักษาเขาจนหาย แล้วเขาจะจากนางไป นางก็จะไม่ย่อท้อ เวลาแบบนี้จะไปสนอะไรกับเลือดเพียงน้อยนิด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดชาวเผ่าหยินไห่ ถึงได้คอยดูแลคนที่หนีข้ามน้ำข้ามทะเลมา? รู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงได้มีคนนำข่าวคราวเรื่องตราราชลัญจกรหยกในราชวงศ์เก่ามาเผยแพร่ที่ชาวเผ่าหยินไห่แห่งนี้?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น!
หลานเยาเยาก็ประหลาดใจ จากนั้นก็พยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหน้าอีกครั้ง
“มิใช่เพื่อปลดองค์ชายแห่งราชวงศ์เก่าหรอกรึ?”
“นั่นก็เป็นเพียงส่วนนึง”
กลายเป็นว่า เขารู้จุดประสงค์ในการมายังชาวเผ่าหยินไห่ของนางมาโดยตลอด แต่นางกลับปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้เขารู้ ซึ่งเขาก็ไม่ติเตียนนางเลยแม้แต่น้อย
“ยังมีเหตุใดอีกงั้นรึ?”
“นี่เป็นเพียงการบอกใบ้ ว่ามีคนคนหนึ่งกำลังจะกลับมา” เย่แจ๋หยิ่งเงยหน้าขึ้นมองฟ้ากว้าง ไม่รู้เลยว่ากำลังนึกถึงสิ่งใด
“ผู้ใดรึ?” ผู้ใดกำลังจะกลับมากันนะ?
“คนคนหนึ่งที่สามารถปฏิบัติต่อสรรพสัตว์บนโลกเสมือนมดและแมลง ผู้ที่ต้องการจะรวบรวมทั้งแผ่นดินไว้เป็นหนึ่งเดียว”
หลานเยาเยาเบิกตากว้าง
ในสายตาของผู้คน เย่แจ๋หยิ่งนั้นเป็นดั่ง ท่านอ๋อง ผู้ไร้เทียมทานที่ทรงด้วยอำนาจบารมี ทั้งยังได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนอย่างล้นหลาม แต่เขาเองก็ยังพูดออกปากมาถึงเพียงนี้ แสดงว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นบุคคลอันตรายอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีความทะเยอทะยานอันเหลือล้น ถึงขนาดที่เขาเองก็ยังมองไม่ออก
คนเช่นนั้นจะเป็นคนประเภทใดกันล่ะ?
หากเป็นอย่างที่เย่แจ๋หยิ่งพูดมาละก็ งั้นคนคนนั้นก็น่าจะครอบงำพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้ ควรจะเป็นตัวละครที่ผู้คนต่างรู้จักเป็นอย่างดี แต่เหตุใดนางกลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?
เพียงแต่ เรื่องเหล่านี้มันก็………
“มันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องอันใดกับการที่ข้าจะรักษาท่าน”
“การตกเป็นเหยื่อเพราะมีพรสวรรค์ ด้วยเหตุผลนี้เจ้ายังไม่เข้าใจงั้นรึ?”
“เข้าใจ แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับการที่ข้าจะรักษาเจ้านี่ ข้าเพียงต้องการจะรักษาเจ้าก็เท่านั้นเอง” หลานเยาเยาย้ำคำพูดของตนอีกครั้ง
หากเป็นเพราะนางมีทักษะวิชาการรักษาที่เก่งกาจ แล้วคนคนนั้นจะสังหารนางให้สิ้นละก็ เช่นนั้นนางก็หมดคำพูด แต่นางเองก็รู้ว่า เย่แจ๋หยิ่งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่เรื่องนี้
เย่แจ๋หยิ่งเงียบไปพักใหญ่ แต่แล้วก็หันหลังให้นาง หลับตาลง และกระชับกำปั้นเล็กน้อย พร้อมพูดเสียงต่ำว่า:
“เยาเยา เราเลิกกันเถอะ! เช่นนี้จะดีกับข้าและเจ้ามากกว่า”
ในที่สุดเขาก็พูดออกมา
ในที่สุดนางก็ได้ยิน……
นางไม่ใช่คนที่จะวิ่งไล่ตามใคร และนางก็เคยอ่อนแอต่อหน้าเข้าไปแล้วครั้งนึง และคราวนี้นางเลือกที่จะไม่อ่อนแออีกต่อไป
แต่ว่า……
ความรู้สึกของนางนั้นเหมือนจะขาดใจ อาการเจ็บที่เบาบาง บาดแผลที่บางเบา ทำให้สายใยค่อยๆจืดจางด้วยการแยกจากกันของทั้งสองคน
ยังไงซะนางก็ไม่ได้รักเขาหมดทั้งใจอะไรปานนั้น อย่างน้อยเลิกกันไปตอนนี้ก็ไม่ได้เจ็บมากมาย
มิใช่หรอกรึ?
ก็แค่ใจมันยังเจ็บอยู่ก็เท่านั้น……
แม้ว่าน้ำตาในดวงตานั้นจะพรั่งพรูออกมา แต่นางก็จะยังคงฝืนและอดกลั้นมันเอาไว้
หลังจากนั้นก็ก้าวไปด้านหน้า สวมกอดเอวของเย่แจ๋หยิ่งจากด้านหลัง
“ได้ แต่ก่อนอื่น…รอให้ข้ารักษาเจ้าให้หายดีเสียก่อน เช่นนี้ข้าก็จะได้ไม่รู้สึกผิดต่อเจ้า”
“……อืม”
เย่แจ๋หยิ่งมิได้ผลักไสนางแต่อย่างใด ส่วนนางเองก็มองไม่เห็นท่าทีของเย่แจ๋หยิ่ง
หลังจากผ่านไปเนิ่นนานนางก็ปล่อยเขา พลางย้ำว่า “เปลี่ยนผ้าพันแผลให้ตรงเวลาทุกวัน” จากนั้นก็หันหลังกลับไป
เมื่อเย่แจ๋หยิ่งรับปากนางแล้ว เช่นนั้นนางก็ไม่กลัวว่าเขาจะหลบหน้านางอีก
หลังจากที่กลับมาถึงในที่พำนัก ก็ยังเห็นหานแสนั่งอยู่บนเก้าอี้ ซึ่งจ้องมองเลือดในชามด้วยความผ่อนคลาย
หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของหลานเยาเยา เขาก็หันมามองนาง เมื่อได้เห็นแววตาของนางเพียงแว๊บเดียว
“ร้องไห้มารึ? จิ๊จิ๊ เป็นคนเลวเสียนี่กระไร! หากเป็นข้า ข้าจะรอวันที่เจ้าไร้ประโยชน์จริงๆซะก่อนแล้วค่อยทิ้งเจ้าไป”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลานเยาเยาได้ยินคำพูดที่แสนน่ารำคาญของหานแส ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มันทำให้นางรู้สึกคุ้นเคย
กาลเวลามันพิสูจน์ใจคนจริงๆ!
ท่าทีของหานแสในขณะนี้ เหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกเสียที่ไหนกัน ทั้งต่ำตมและไร้ความรู้สึกเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาในตอนนั้นมีแต่ความอ่อนโยนเสียด้วยซ้ำ
เขาในเพลานี้ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความชั่วร้าย เป็นเหมือนพวกวิญญาณร้ายที่เป็นพิษเป็นภัยต่อมนุษย์
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในตอนนี้นางเองก็อารมณ์ไม่ค่อยดี
ปัญหาของตัวเองยังจัดการไม่ได้ ก็ไม่อยากจะไปรับมือเรื่องของคนอื่นอีก นางจึงรีบเปลี่ยนเรื่องในทันที
“เจ้าสนใจสิ่งนี้มากเลยรึ?”
นางชี้ไปที่เลือดในชาม พลางมองเขาอย่างสงสัย
“นี่คือเหตุผลที่ข้ามายังที่แห่งนี้ ตั้งใจที่จะมาพบกับอ๋องเย่ แต่ก็ดันมาพบกับเจ้าอย่างไม่คาดคิด แต่อย่างไรก็ตามเจ้ากลับทำให้ข้าประหลาดใจ ซึ่งความประหลาดใจเช่นนี้ก็ทำให้ข้าพอใจยิ่งนัก”
“ตอนนี้เจ้าไม่อยากจะปั้นน้ำเป็นตัวแล้วรึ” หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่เหน็บแนมเขา
“ก็มันไม่ได้มีเรื่องอันใดแล้วนี่ เหตุใดจะต้องทำต่อเล่า? หืม?”
หานแสหยิบถ้วยชาขึ้นมา พลางจิบอย่างสบายใจ
“ฮึ ก็ใช่ งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ในเมื่อเจ้ารู้ว่านี่คือสิ่งใด ก็บอกข้าถึงต้นตอของมันเสีย ข้าอาจจะหาวิธีแก้ไขได้เร็วยิ่งขึ้น”
มองท่าทีของเขาที่ยังคงผ่อนคลายอยู่ หลานเยาเยาจึงคิดว่าเขานั้นต้องรู้เรื่องมาเยอะมากเป็นแน่ แต่มันก็ไกลเกินกว่าที่นางจะคาดถึง
และในช่วงเวลานี้!
หานแสก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ และแล้วก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของคนโดนมนต์ดำที่ถูกมัดไว้ หรี่ตาลงเล็กน้อย แต่กลับพูดอย่างลีลาชักช้า:
“มันคือพิษกู่จิ้น โดยถูกเรียกว่าหนอนพิษกู่จิ้นซึ่งก็คือหนอนพิษกู่นั่นเอง (มันเป็นการผสมผสานของพิษจากสรรพสัตว์นานาชนิดที่พัฒนาขึ้นมาใหม่)วิชาการควบคุมพิษกู่กับพิษกู่ เป็นเหตุที่มันสามารถทำให้คนเสียสติเป็นดั่งผีดิบที่บ้าคลั่งเหมือนโดนมนต์ดำ
และที่ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นเหมือนกับโรคระบาด เพียงโดนกัดแค่ครั้งเดียวก็สามารถติดเชื้อได้ หากไม่มีวิถีทางในการถอนพิษ พิษกู่จิ้นนี้ก็จะแพร่กระจายออกไปจนกลายเป็นหายนะอันใหญ่หลวงไปทั่วทั้งแผ่นดิน
“แน่นอนว่ามีคนที่ตั้งใจ………”
หลานเยาเยาใช้กำปั้นเขกหน้าผากของตนเบาๆ ซึ่งเป็นการขัดจังหวะเขาเล็กน้อยด้วยความอดกลั้นไว้ไม่ไหว……