บทที่ 213 ชนเผ่าและราชครู
หานแสหลับตาลงช้าๆ ลูบหน้าตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองรอบๆอย่างรวดเร็ว และแล้วสายตาของเขาก็ไปหยุดยังเตียงนอนของผู้อาวุโสใหญ่ ทันใดนั้นมุมปากก็ยกขึ้นมาทันที
” หึ! จิ้งจอกเฒ่า”
หลังจากพึมพำกับตัวเองเสร็จ หานแสก็เปลี่ยนเป้าหมายเดินพุ่งไปยังเตียงของผู้อาวุโสใหญ่ ดวงตาของหลานเยาเยาก็เปร่งประกาย แล้วรีบเดินตามไปทันที
เมื่อเดินมาถึงเตียง หานแสก็สำรวจอย่างเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายเขาก็กล่าวออกมาอย่างมั่นใจว่า
” ใต้เตียงมีช่องลับอยู่ ! “
“หลักแหลมยิ่งนัก ! “
หลานเยาเยาชื่นชมเขาอย่างไม่ลังเลใดๆ
ที่แท้ !
การรูปสถาปัตยกรรมของชาวหยินไห่และสถาปัติย์กรรมในวังหลวงนั้นต่างกันมากยิ่งนัก ขนาดการออกแบบขนาดของเตียงยังไม่เหมือนกันเลย
หานแสเคยอยู่ในชนเผ่านี้มาก่อน เคยนอนบนเตียงในแบบเดียวกัน เขาจึงคุ้นชินว่ามีสิ่งใดเพิ่มขึ้นมาหรือน้อยกว่าปกติ จึงทำให้รู้สึกถึงความไม่ปกติ
ดังนั้น !
นางจึงไม่ได้แปลกใจสิ่งใด ที่หานแสสามารถหาว่าช่องลับนั้นอยู่แห่งใดได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าหาห้องลับพบแล้ว หานแสก็เอื้อมมือไปหวังจะเปิดเตียงออก แต่ก็ถูกหลานเยาเยาห้ามเอาไว้เสียก่อน
“หนังสือบรรพชนถูกผู้อาวุโสใหญ่ซ่อนไว้ลึกถึงเพียงนี้ จากสิ่งที่ข้าเคยประสบมา ภายในช่องลับนี้จะต้องมีกับดักหรือควันพิษเป็นแน่ ต้องระวังตัวด้วย “
หลานเยาเยาดูเข้าใจเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
แล้วยิ่งหลายวันที่ผ่านมานี้หลานเยาเยาทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่อีกครั้ง หานแสจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา
ในขณะที่เขาค่อยๆเปิดช่องลับอย่างระมัดระวัง ภายในไม่มีกับดักอาวุธใดๆทั้งสิ้น มีเพียงแต่หนังสือทำเนียบบรรพชนเล่มเก่าๆเท่านั้น
“ประสบการณ์ของเจ้าช่างน่าเชื่อถือจริงๆ!”
หานแสที่กำลังหยิบหนังสือทำเนียบบรรพชนออกมา ก็พลันกล่าวเย้ยหยันนางไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูก
“……”
หลานเยาเยารู้สึกถึงความน่าอับอายขึ้นมาทันที
ชิ !
ในโทรทัศน์ส่วนมากก็ฉายมาแบบนี้ไม่ใช่หรือไง?
มีช่องลับก็ต้องมีกับดัก หากมีเด็กน้อยก็มักจะมีสัตว์มีพิษอันตรายนี่หน่า !
สายตาที่หันไปเห็นหานแสหาเก้าอี้นั่งแล้วนั่งลงไป นางก็รีบตามไปทันที พร้อมกับหยิบมุกเย่หมิงขึ้นมาส่องให้แสงสว่าง แล้วหนังสือทำเนียบบรรพชนค่อยๆถูกเปิดทีละแผ่นๆ
และสิ่งที่ทำให้หลานเยาเยาประหลาดใจนั่นก็คือเดิมทีแล้วชาวหยินไห่ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงมาก่อน ที่นี่เคยเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆเท่านั้น
แล้วในเวลาต่อมา
ในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆแห่งนี้ก็มีราชครูท่านหนึ่งเกิดมีชื่อเสียงขึ้นมา แต่เดิมทีราชครูท่านนี้กลับไม่ใช่คนในกลุ่มชาวประมงมาโดยกำเนิด ในหนังสือทำเนียบบรรพชนได้บันทึกไว้ว่าเขาเป็นผู้ที่มาจากต่างถิ่นแล้วมาตั้งรกรากในหมู่บ้านประมงแห่งนี้
นับตั้งแต่ที่เขาได้ขึ้นตำแหน่งราชครู หมู่บ้านประมงแห่งนี้ก็เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ ค่อยๆพัฒนาเป็นกลุ่มชนเผ่า แล้วก็ค่อยๆโด่งดังขึ้นมา แล้วการสังเวยเด็กชายและเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ของชนเผ่าก็ได้เริ่มขึ้นหลังจากที่ราชครูได้จากที่นี่ไปเพื่อขึ้นตำแหน่ง
ซึ่งในทุกๆสามถึงห้าปีราชครูจะกลับมาที่นี่ครั้งหนึ่ง แล้วทุกครั้งที่กลับมาเขาจะป่วยหนักอยู่ตลอด
ด้วยชื่อเสียงที่โดดเด่นของราชครูจึงทำให้ราชวงศ์เก่าเกิดการพัฒนาจนกลายเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดในเวลานั้น แต่เพราะเหตุนี้ด้วยเช่นกันจึงเป็นการสร้างศัตรูให้กับเขาเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นในทุกครั้งที่เขากลับมา จะมีผู้ที่มาลอบสังหารเขาอยู่เนืองๆ ในเวลาเช่นนี้ทุกคนในชนเผ่าต่างก็มาช่วยปกป้องเขาอย่างเต็มที่
แต่จากนั้นไม่นานไม่รู้เพราะเหตุอะไร ราชครูก็กลับมาที่นี่น้อยลง ในเวลานั้นชาวชนเผ่าต่างก็คิดว่าเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ
เมื่อสิบห้าปีก่อน ราชครูได้กลับมาที่ชนเผ่านี้อีกครั้ง ในครั้งนั้นที่เขากลับมาทำให้ในชนเผ่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวง สมาชิกในชนเผ่าเสียชีวิตไปเกือบครึ่งอย่างลึกลับ พร้อมทั้งศพก็หายไปด้วย
พออ่านถึงตอนนี้
หลานเยาเยาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหานแส
การเปลี่ยนอันใหญ่หลวงครั้งนั้น คาดว่าคงจะเป็นช่วงเวลาที่หานแสถูกพิษกู่จิ้นในครั้งยังเยาว์วัย ซึ่งในเวลานั้นคนในชนเผ่าก็ถูกสังหารไปถึงครึ่งหนึ่ง
แต่พอมองเห็นสีหน้าที่นิ่งเฉยของหานแส ดวงตากำลังอ่านหนังสือทำเนียบบรรพชนอย่างจดจ่อ
หลานเยาเยาก็ยักไหล่อย่างไม่สนใจ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือทำเนียบบรรพชนต่อ
หลังจากนั้นราชวงศ์เก่าก็ถูกโค่นล้ม ราชครูเองก็หายสาบสูญ เรื่องราวของชาวหยินไห่ก็เงียบลง แต่ในตอนนี้เป็นเพราะตราหยกของราชวงศ์เก่าจึงทำให้ชาวหยินไห่ได้กลับมาปรากฏตัวต่อสายตาชาวโลกอีกครั้ง
พอไปๆมาๆในชนเผ่าก็มีประมุขเผ่ารวมกันทั้งสามคน แล้วคนสุดท้ายก็คือท่านพ่อของฮัวหยู่อัน โดยที่ประมุขเผ่าทั้งสามคนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆทางสายเลือดกันเลย
นับตั้งแต่หลังจากที่ท่านพ่อของฮัวหยู่อันเสียชีวิตอย่างแปลกประหลาด สิบกว่าปีมานี้ก็ไม่มีประมุขเผ่าอีกเลย โดยเหตุผลของมันคือสิ่งใดก็ไม่มีผู้ใดทราบถึง
แต่ในหนังสือทำเนียบบรรพชนมีกระดาษหลายแผ่นถูกฉีกออกไป ในกระดาษที่ขาดหายไปนั้นคงจะเป็นเรื่องการบันทึกในช่วงเวลาที่ท่านพ่อของฮัวหยู่อันดำรงตำแหน่งประมุขเผ่า
หลังจากที่ทั้งสองอ่านจบ ก็พากันนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
สิ่งที่พวกเขาอยากรู้ ในหนังสือทำเนียบบรรพชนกลับไม่ได้ถูกบันทึกไว้เลยแม้แต่น้อย
แต่ในทางตรงกันข้าม ราชครูในราชวงศ์เก่ามักปรากฏอยู่ในหนังสือนี้ตลอด โดยที่เขาได้รับทั้งการเคารพบูชาและปกป้องดั่งเทพเจ้าจากทุกคนในชนเผ่า
สิ่งนี้จึงทำให้หลานเยาเยารู้สึกอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับราชครูในราชวงศ์เก่าท่านนี้เป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ว่า !สิ่งที่ใจนางอยากรู้มากที่สุดก็คือยาถอนพิษกู่จิ้น จึงทำให้ในใจนางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
” น่าแปลกยิ่งนัก เหตุใดในหนังสือทำเนียบบรรพชนถึงไม่มีการบันทึกเรื่องการมีอยู่ของคนโดนมนต์ดำกัน? “
ถ้าหากจะกล่าวว่าเมื่อคราก่อนไม่มีคนโดนมนต์ดำ ดังนั้นในหนังสือทำเนียบบรรพชนจึงไม่ได้มีการบันทึกไว้ เช่นนั้นก็ยังพอสมเหตุสมผล แต่ในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้มีคนโดนมนต์ดำปรากฏให้เห็นโดยที่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งสองครั้ง แต่กลับไม่มีการบันทึกไว้ สิ่งนี้ถือว่าไม่สมเหตุสมผลนัก
“หึ! เรื่องสกปรกเช่นนั้นจะถูกบันทึกลงในหนังสือทำเนียบบรรพชนได้อย่างไรกัน ? “
สำหรับการบันทึกในหนังสือทำเนียบบรรพชน หานแสรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงขนาดรู้สึกรังเกียจเลยก็ว่าได้
” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดเจนเลยว่าวันนี้พวกเราไม่ใช่ว่าจะเสียเวลาเปล่าโดยมิได้สิ่งใดเลย”
” สิ่งที่เจ้าหมายถึงคือ ? ” หานแสหันไปมองนางในทันที
” การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวงเมื่อสิบห้าปีก่อน เหตุใดจึงมีการบันทึกเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเล่า? ไร้ซึ่งต้นเหตุ มีเพียงบทสรุป ดังเช่นศพจำนวนมากที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยแต่ไม่มีผู้ใดไปค้นหาหรือบันทึกไว้เลย และยิ่งทำให้รู้สึกประหลาดใจไปกว่านั้นก็คือ เหตุใดถึงได้มีผู้ที่จงใจฉีกหน้าบันทึกเรื่องราวของท่านพ่อฮัวหยู่อันในหนังสือทำเนียบบรรพชนด้วย? “
แท้จริงแล้ว!
การสังหารหมู่ครั้งใหญ่เมื่อสิบห้าปีก่อนนั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งประมุขเผ่า
แต่สิ่งนี้ก็เป็นเพียงสิ่งที่ผู้คนภายหลังได้บันทึกไว้ ทั้งยังเป็นการบันทึกในช่วงเวลาจังหวะหนึ่งเท่านั้น
สามารถพูดได้หรือไม่ว่า ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นแท้จริงแล้วมีการบันทึกสาเหตุและบทสรุปเอาไว้ เพียงแต่มีผู้ที่ไม่อยากให้เรื่องราวที่แท้จริงปรากฏ
” ที่เจ้าพูดก็คือ กระดาษไม่กี่แผ่นที่ถูกฉีกไป มีการลงบันทึกเกี่ยวกับยาถอนพิษ ”
“นี่คือสิ่งที่เป็นไปได้มากยิ่ง อีกทั้งในเวลานั้นเจ้าได้รับน้ำปรโลก แล้วยังผ่านการสังหารหมู่ครั้งใหญ่อีกด้วย “
ทันทีที่กล่าวถึงเรื่องการสังหารหมู่ สีหน้าของหานแสก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หึ ! ตอนนี้กล่าวถึงเรื่องพวกนี้แล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า? “
ในเมื่อมีผู้ที่จงใจฉีกทิ้งไป เช่นนั้นก็พูดได้เลยว่ากระดาษไม่กี่แผ่นนั้นคงจะถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว
” ผู้ใดว่าไร้ประโยชน์กันเล่า? ” หลานเยาเยาตอบกลับ พร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า
“หืม? ” หานแสไม่เข้าใจ
หลานเยาเยาไม่ได้ไขข้อข้องใจของเขาในทันที แต่กลับเดินไปยังเตียงนอนมองดูผู้อาวุโสใหญ่
ก่อนหน้านี้เพียงมอบธูปหลับใหลให้ผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้น แต่ดูจากตอนนี้แล้วคงจะต้องทำให้เขาสลบไปเลยถึงจะได้
แล้ว ! หลานเยาเยาก็กำมือขึ้นมาราวกับตีไปยังท้ายทอยของผู้อาวุโสใหญ่ หลังจากรอจนเขาสลบไป นางถึงค่อยหันไปยังหานแสพลางค่อยๆอธิบาย
“ในหนังสือทำเนียบบรรพชน นับตั้งแต่หลังจากที่ท่านพ่อของเสี่ยวฮัวสิ้นไป สิ่งที่บันทึกในหนังสือนั้นคงจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสเป็นผู้ลงบันทึก ส่วนเรื่องคนที่โดนมนต์ดำก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเห็น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าพวกเขานั้นมีความหวาดกลัวต่อคนโดนมนต์ดำเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ได้บันทึกเรื่องเหล่านี้ในหนังสือทำเนียบบรรพชน เช่นนี้ก็สามารถทราบได้เลยว่าพวกเขารู้ความจริงบางอย่างอยู่เป็นแน่ พวกเราเพียงพาตัวของผู้อาวุโสใหญ่ไป จากนั้นก็ทรมานเค้นให้เขาสารภาพออกมา คิดว่าเขาจะไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดออกมาบ้างรึ? “
สำหรับเรื่องการทรมานเค้นความจริงนั้น ถึงแม้หลานเยาเยาจะไม่ชำนาญนัก แต่นางก็ยังคงมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก
ยาพิษที่ตัวนางเองคิดค้นขึ้นมา รับรองได้เลยว่าไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้แน่นอน !
“นับว่าเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม!”