บทที่ 259 บางทีนางอาจจะยังมีชีวิตอยู่
จากนั้นอีกวินาทีถัดมา รถม้าก็ตกเหวไปอย่างรวดเร็ว
แล้วในเวลานี้ ดวงตาทั้งคู่ที่ปิดสนิทของเย่แจ๋หยิ่งก็ลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน ดวงตาสีดำเข้มและเย็นชาจับจ้องไปที่นาง……
จากนั้นช่วงเอวก็โดนรัดแน่น
มือใหญ่ทั้งคู่ก็โอบเอวไว้อย่างนุ่มนวล จากนั้นก็พานางเหาะขึ้นไป
หลานเยาเยา : “……”
ภาพเช่นนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
ทั้งๆที่เป็นนางลงมาช่วยเขา ตอนนี้กลับเป็นเขาพานางขึ้นมา
ในใจของนางนึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้นจึงคิดจะใช้โอกาสนี้จับชีพจรของเขาสักหน่อย ดูว่าเขาบาดเจ็บจริงหรือแกล้งบาดเจ็บกันแน่
คิดไม่ถึง!
มือเพิ่งจะเลื่อนมาถึงจุดชีพจรของเขา ข้างหูมีเสียงที่ดึงดูดของเย่แจ๋หยิ่งดังขึ้น
“อย่าขยับ จาวหยาง ทำไมเจ้าถึงยังไม่ขึ้นไป?”
อะไร?
จาวหยาง?
เย่แจ๋หยิ่งคิดว่าโหล่วเย่วยังไม่ได้ขึ้นไป คิดว่านางเป็นโหล่วเย่ว?
คงไม่ไช่เพราะได้รับบาดเจ็บหนักจนเพี้ยนหนักไปแล้วนะ?
หลานเยาเยามองไปที่ตาของเขา พูดอย่างเด็ดขาดว่า : “ที่ไม่ควรขยับคือท่าน”
จากนั้นก็แกะมือเขาออก จับไปที่แขนของเขา แล้วก็เก็บด้ายเงิน เพิ่มความเร็วในการเหาะขึ้นไปบนหน้าผาของพวกเขา
หลังจากเหาะไปถึงบนหน้าผายืนอย่างมั่นคงแล้ว หลานเยาเยาก็ปล่อยแขนของเขา แม้มองก็ไม่ได้มองเขาสักนิดจากนั้นก็เหาะไปบนม้า
“สวนหยู่ ไป!”
เมื่อยกแส้ฟาดไป นางก็ขี่สวนหยู่แล้วจากไป
ขณะที่จากไป ด้านหลังก็มีเสียงของคุณชายผู้หนึ่งดังมาด้วยความหงุดหงิด : “น่าแปลก ทั้งๆที่เมื่อครู่ข้ายืนอย่างมั่นคง ทำไมถึงได้ล้ม?”
นี่ทำให้หลานเยาเยาร่างกายชะงักไป ราวกับว่าคิดอะไรได้ แต่ก็ได้ทิ้งความสงสัยในใจไปทันที จากนั้นก็เพิ่มความเร็วในการขี่ม้าขึ้น
ทุกคนมองดูนางจากไป ด้วยหน้าตางงงัน
“ทำไมเทพธิดาจึงจากไปเช่นนี้? ที่นางช่วยไว้เป็นถึงอ๋องเย่เชียวนะ! และพวกเราคุณชายทั้งเจ็ดแห่งเมืองหลวงก็อยู่ นั้นเป็นเรื่องที่ในร้อยปีจะพบเจอได้ครั้งหนึ่ง คาดไม่ถึงว่านางจะไม่มองแม้สักนิด”
“นี่เจ้าไม่เข้าใจล่ะสิ! เทพธิดาไม่ลุ่มหลงแสงสีในโลกมนุษย์ อีกทั้งยังขี่เมฆท่องเที่ยวไปทั่ว ปลงต่อโลกไปนานแล้ว แล้วจะหยุดอยู่ที่นี่เพราะรูปโฉมของพวกเราได้เช่นไร?”
“ก็จริง พวกเจ้าเห็นดวงตาของนางหรือไม่ เย็นยะเยือก ตั้งแต่เมื่อครู่นี้จนจากไป ก็ไม่ได้มีการแปรผันแต่อย่างใด ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถเข้าตานางได้อีกแล้ว”
“……”
ทุกคนเห็นว่าอ๋องเย่ไม่เป็นไรแล้ว ก็วางใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ จึงทำได้เพียงแค่มองดูเงาด้านหลังของเทพธิดาที่จากไปแล้ววิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนาๆ
พระราชธิดาจาวหยางที่ยืนอยู่ข้างเซียวจิ่นหยู มองดูเงาสีแดงที่ไกลออกไป แล้วก็มองที่เสด็จอาของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะถามเบาๆว่า :
“เทพธิดาปลงต่อโลกแล้วจริงหรือ? ทำไมเงาด้านหลังของนางถึงได้ดูโดดเดี่ยวเช่นนี้ล่ะ!”
ได้ยินดังนั้น!
เซียวจิ่นหยูก็เคลื่อนสายตาจากที่ไกลๆมาตรงร่างของนาง พูดเบาๆว่า :
“ที่แท้พระราชธิดาก็เป็นคนที่มีความรู้สึก”
“ห๊ะ? ไม่มี ไม่มี ข้าพูดไปเรื่อยเท่านั้น”
ก่อนหน้านี้อยู่ในความกลัวและกังวลมาตลอด ตอนนี้กลับพบอย่างกะทันหันว่าที่รับนางไว้เมื่อครู่คือเซียวซื่อจื่อ ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที จากนั้นก็เงียบไป
คาดไม่ถึงว่าเซียวซื่อจื่อจะเริ่มพูดกับนางก่อน
และเสียงของเขาก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อก่อน แม้ว่ายังคงดูห่างเหินอยู่บ้าง แต่เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว
ในไม่ช้า เซียวจิ่นหยูก็เดินมาถึงข้างๆเย่แจ๋หยิ่ง ทว่า ก็ไม่ได้อยู่ใกล้มากนัก แต่อยู่ห่างออกมาสามก้าว
“สุขภาพของอ๋องเย่ยังดีอยู่หรือไม่ขอรับ?”
เย่แจ๋หยิ่งที่สายตาทอดไปยังหน้าผา ตอบอย่างเบาๆประโยคหนึ่ง : “บาดเจ็บภายในนิดหน่อยเท่านั้น!”
จากนั้นก็เอาสายตามองไปทางด้านหน้า และเงาร่างของหลานเยาเยาก็ได้หายไปจากทางเลี้ยวข้างหน้าผาไปนานแล้ว
“เสด็จอา ต้องการหมอหลวงหรือไม่ขอรับ?”
เย่หลีเฉินสมควรที่จะพูดแล้ว
เมื่อครู่เขาได้ยินที่จาวหยางพูดเป็นธรรมดา คาดว่าเสด็จอาโดนนักฆ่าลอบสังหารอีกแล้ว
“ไม่เป็นไร เจ้าพาจาวหยางนำไปก่อน”
“ขอรับ เสด็จอา!”
เวลาไม่เช้าแล้ว ตอนนี้ก็เสียเวลาอยู่ที่นี่มาพักหนึ่งแล้ว คาดว่าใกล้จะถึงเวลาแข่งขันล่าสัตว์แล้ว ทุกคนไม่กล้ารอช้า
จึงทำความเคารพและขอตัวกับเย่แจ๋หยิ่ง แล้วก็รีบควบม้าจากไป
หลังจากที่คนกลุ่มนี้จากไป
เย่แจ๋หยิ่งก็ยื่นมือมาเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก แล้วก็มุมปากก็ค่อยๆยกขึ้นมายิ้มอย่างเย็นยะเยือก
ตอนนี้ มีเงาร่างคนเหาะลงมา คนที่มาคือโม่เหลียงเฉิน เขาเดินไปที่หน้าผามองดูแวบหนึ่ง พูดอย่างไม่ค่อยน่าเชื่อ :
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนสอดแนมที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด”
เขาหมายถึงคนขับรถม้าผู้นั้นที่ขับรถม้าเมื่อครู่ ปกติคนขับรถม้าจะเป็นองครักษ์ลับปลอมตัวมาทั้งหมด
คนสอดแนมผู้นั้นก็เป็นหนึ่งในองครักษ์ลับ
หากไม่ใช้คนสอดแนมนี้ เปิดเผยเรื่องบางเรื่องของเย่แจ๋หยิ่ง บางทีนางก็อาจจะไม่ต้องตาย
“เอาเรื่องที่ข้าพบเจออันตรายและถูกเทพธิดาช่วยไว้ไปเผยแพร่อย่างลับๆ”
“ขอรับ! อ๋องเย่” โม่เหลียงเฉิงถึงจุดนี้จึงเพิ่งจะเข้าใจ ว่าแท้จริงแล้วทำไมเย่แจ๋หยิ่งจึงได้ใช้อุบายชายรูปงาม
ที่แท้ก็ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
เช่นนี้ก็ได้ทั้งกำจัดคนสอดแนม ทั้งจะได้มีเหตุผลที่เหมาะสมเหตุผลหนึ่งที่จะเข้าใกล้เทพธิดา
เพียงแต่ของแลกเปลี่ยนใหญ่ไปหน่อย
นั่นเป็นถึงรถม้าที่อยู่กับเขาเกือบสิบเชียว!
เวลานี้!
เย่แจ๋หยิ่งมองเขาแวบหนึ่ง สีหน้าค่อนข้างแปลกประหลาด จากนั้นก็พูดเบาเบา : “ตอนนี้ที่นี่มีเพียงเจ้าและข้า เจ้ากลับยิ่งเป็นคนอื่นคนไกลไปเรื่อยๆแล้ว”
พวกเขาเป็นคนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
และเป็นผู้เดียวที่เป็นคนรู้ใจที่สามารถอยู่กับเขามาจนถึงตอนนี้ได้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ระหว่างพวกเขาถึงได้เริ่มแปลกหน้ากันไปเรื่อยๆอย่างไม่คาดคิด
โม่เหลียงเฉินตะลึงงันเล็กน้อย!
ใช่!
เพื่อนที่คุยกันได้ทุกอย่าง ตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของเย่แจ๋หยิ่งในสองสามปีมานี้ เขากลับเริ่มไม่รู้ว่าควรจะต้องเขาหาเขายังไงแล้ว
“ข้าเพียงแค่ละอายใจ”
“เพราะเรื่องเมื่อสามปีก่อน? ยังเพราะเรื่องที่หลานเยาเยาตายอีก?”
ก่อนหน้านี้เมื่อพูดถึงเรื่องของหลานเยาเยา เขาก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ดังนั้นคำพูดอาจแรงไปหน่อย
บางที อาจเพราะว่าเป็นเช่นนี้ จึงทำให้โม่เหลียงเฉินละอายใจ
“ถ้าหากว่าตอนนั้นข้าอยู่ในชนเผ่าหยินไห่ ก็จะสามารถช่วยท่านได้ นางก็จะไม่ตายแล้ว”
เจ้าลิงน้อยเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เย่แจ๋หยิ่งเกิดมีความรู้สึกด้วย
และเพราะว่ามีเจ้าลิงน้อย ถึงได้เห็นรอยยิ้มที่จริงใจของเขา
เขามองออก ความรู้สึกที่เย่แจ๋หยิ่งมีให้เจ้าลิงน้อยฝังลึกไปถึงกระดูกแล้วเช่นนั้น
น่าเสียดาย……
นางตายแล้ว!
“จะโทษตัวเองไปทำไม? บางทีนางอาจจะยังมีชีวิตอยู่”
เมื่อคำพูดนี้ออกไป โม่เหลียงเฉินอึ้งไปครู่ใหญ่ๆ หลังจากดึงสติกลับมาได้ ก็รีบไล่ถามทันที :
“นาง นางยังมีชีวิตอยู่?”
นี่จะเป็นไปได้เช่นไร?
ภายใต้กรงเล็บปีศาจของคนผู้นั้น เขาจะมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร?
“เจ้าไม่รู้สึกแปลกบ้างหรือ ในร่างกายข้าก็โดนพิษกู่จิ้นแต่ทำไมไม่ต้องใช้ยารักษาก็หายได้? ทุ่งทะเลดอกกระดูกขาวทำไมถึงถูกเผา? ยังมีกำลังภายในครึ่งหนึ่งของข้าทำไมอยู่ดีดีถึงได้หายไป?”
“แต่ว่า ตอนพวกเราอยู่ที่กลางทุ่งทะเลดอกกระดูกขาวที่โดนเผาแล้ว หานางพบแล้ว ศพของนาง”
แม้ว่าศพจะถูกเผาจนไม่จำไม่ได้ แต่เครื่องประดับผมพวกนั้นก็เป็นของเจ้าลิงน้อย นี่เป็นความจริงที่ไม่สามารถโต้เถียงได้ และยังเป็นเขาที่เห็นด้วยตาของตัวเองด้วย
“โม่เหลียงเฉิน เจ้าเฉลียวฉลาดเพียงนี้ ไม่รู้หรือว่าสามปีก่อนยังมีหานแสที่ไปหุบเขาจิ้นกับหลานเยาเยาด้วย? และหานแสก็เป็นเจ้าของเรือของเรือแห่งความสิ้นหวัง
ราชครูบอกว่าหานแสได้ตายอยู่ในทุ่งทะเลดอกกระดูกขาวแล้ว แต่ตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตความเป็นอยู่ดี”
ราชครูไม่รู้ว่าหานแสเป็นเจ้าของเรือของเรือแห่งความสิ้นหวัง แต่เขากลับรู้ตัวตนของหานแสก่อนที่จะเข้าไปในชนเผ่าหยินไห่
คราวนี้
ดวงตาของโม่เหลียงเฉินก็เปล่งประกายขึ้น!