บทที่ 263 โหลวเย่ว แม่สาวสายกิน
ครู่ต่อมา
หลานเยาเยากลับไปยังที่นั่งของตน เมื่อพระราชธิดาจาวหยางด้านข้างเห็นว่านางกลับมาแล้ว ก็แอบโล่งใจ
หลานเยาเยาเดาว่า โหลวเย่วคงคิดเอาเองว่านางไปเพราะไม่ชอบนาง หลังเห็นว่านางกลับมาแล้ว ถึงได้ปฏิเสธความคิดในใจไป
หึ!
นาง นางก็ยังเป็นเหมือนเดิม แค่ด้อยลงกว่าเดิมนิดหน่อย
เพียงแต่!
ต่อจากนี้สิ่งที่น่าสนใจก็คือ
พระราชธิดาจาวหยางไม่ได้เอาแต่กินอีกแล้ว แต่เลือกที่จะแอบมองนางแทน แอบมองครั้งเดียวยังไม่พอ ยังแอบมองอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
หลานเยาเยารู้สึกหมดคำจะพูด
จึงหันหน้าไปประจันกับนางโดยตรง จับการแอบมองของนางได้คาหนังคาเขา
ภายใต้แววตาที่มิอาจคาดเดาได้ของนาง พระราชธิดาจาวหยางก็เหมือนกับเด็กที่ทำผิดก้มหน้าก้มตาต่ำลงเงียบๆ
จากนั้นก็แอบเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ยิ้มให้อย่างเก้ๆกังๆ แล้วก็ชี้ที่มุมปากตัวเอง
“เทพธิดา ตรงนี้มีบางอย่างติดอยู่”
บางอย่าง?
บางอย่างอะไรล่ะ?
เมื่อหลานเยาเยายื่นมือมาจับใบหน้าของตน พบว่ามันคือคราบน้ำมัน หน้าก็มืดลงในทันที
ภาพลักษณ์เทพธิดาผู้วิเศษอยู่ยงคงกระพันของนางยังไม่พังทลายไปใช่ไหม?
เช่นนั้น!
หลานเยาเยารีบเช็ดคราบมันออกอย่างเย้ายวน เคลื่อนไหวละมุนละไมสง่างาม นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความปั่นป่วนไม่น้อย
“ท่านไปทานอะไรที่ไหนมาอ่า? หอมหรือไม่? อร่อยรึป่าว?”
โหลวเย่วมองนางอย่างตั้งตารอ ตอนนี้ในชีวิตของนาง นอกจากเรื่องกินก็ไม่มีเรื่องอื่นใดให้ทำอีกแล้ว
นางอยากกินอาหารอันโอชะที่มีอยู่ทั่วทั้งใต้หล้า เพราะนางอยากเป็นเยาเยาที่ได้กินของที่นางยังไม่เคยได้กิน……
“ของที่ข้ายังไม่เคยได้กินอยู่ที่ห้องส้วม เจ้าก็ลองไปกินดู”
“ห้อง…ห้องส้วม รึ?”
ความคาดหวังในตาของโหลวเย่วกลับกลายเป็นความสยดสยองในทันใด ปากที่อ้าอยู่เกือบจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้วยความตกใจ
นั่น นั่นเป็นสิ่งที่เทพธิดาพูดงั้นรึ?
นางมิได้หูฝาดไปใช่หรือไม่?
มองดูท่าทีของโหลวเย่ว หลานเยาเยาก็ทำหน้าตายหันหน้าไปอีกด้าน เอามือปิดรอยยิ้มที่มุมปากไว้
ฉากนี้ได้เห็นโดยเซียวจิ่นหยูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ถึงแม้หลานเยาเยาจะปิดปากไว้ แต่รอยยิ้มมันฉายในแววตาของนาง ซึ่งนั่นก็ถูกเขาจับได้
เขาตกอยู่ในภวังค์ทันที
ไม่นานนัก ทุกคนต่างก็เข้ามายังที่นั่ง เย่แจ๋หยิ่งเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง
ก่อนดำเนินการแข่งขันล่าสัตว์ ทุกคนก็ยังได้แสดงทักษะความสามารถ ที่ช่วยสร้างความครื้นเครง
หญิงสาวที่ปราดเปรื่องในเมืองหลวงมีอยู่มากมาย เหล่าคุณหนูแทบทุกคนของทุกจวนต่างมีทักษะความสามารถกันทั้งนั้น
ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือถังมู่หวั่น ลูกสาวแห่งจวนเฉิงเสี้ยง นางชำนาญรอบด้านทั้งศาสตร์และศิลป์ คนที่ขอแต่งงานกับนางต่างก็เกือบจะก้าวผ่านเกณฑ์ของจวนเฉิงเสี้ยงได้แล้ว
แต่กลับมิเคยมีผู้ใดได้แต่งเลย
เงื่อนงำท่ามกลางพวกเขานั้นมิมีผู้ใดบอกได้อย่างชัดเจน
ฉินหลิงเจียวและหลินเฟยหรันก็มีชื่อเสียงเรื่องทักษะความสามารถเช่นกัน
หลินเฟยหรันไม่อยู่ การเต้นรำอันงดงามอ่อนช้อยของฉินหลิงเจียวจึงได้ดึงดูผู้คนในทันที ได้กวาดเสียงปรบมือและคำชื่นชมอันแสนอบอุ่นจากทุกๆคน
แต่ในวันนี้ถังมู่หวั่น ทำให้คนตกตะลึงได้ยิ่งกว่า
นางมิเพียงแต่ใช้พู่กันเฉกเช่นดาบเท่านั้น แต่ยังเต้นไปวาดภาพไปอีกด้วย
เรือนร่างอันสดใสสง่างาม ช่างอ่อนช้อยละมุนละไม ภาพวาดบนผืนผ้าใบก็มีชีวิตชีวา ดั่งว่าเคลื่อนไหวอยู่จริง
เมื่อเต้นรำจบลง ภาพวาดก็เสร็จ ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชมกันให้ควั่ก
“แปะๆๆ……”
โดยรอบมีเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างล้นหลาม รวมไปถึงไทเฮาก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
ฮ่องเต้เองก็ยังกล่าวชมอยู่หลายครั้ง ทำให้ถังมู่หวั่นที่ได้รับความชื่นชมหน้าแดงระเรื่อ นางค่อยๆชำเลืองมองไปทางอ๋องเย่
แต่กลับพบว่าอ๋องเย่เพียงดื่มน้ำชาอย่างไม่ใยดี สายตาก็ไม่ได้อยู่ที่นางเลยตั้งแต่แรก ทำให้แววตาของนางมืดมนลงไปอย่างช่วยไม่ได้
หลังถังมู่หวั่นถอยตัวไป
ไทเฮาที่ได้มองมาทางพระราชธิดาจาวหยาง ก็พูดด้วยน้ำเสียงอันโอบอ้อมอารีว่า:
“จาวหยาง แล้วเจ้าล่ะมีความสามารถอันใดฤา?
เมื่อใดก็ตามที่เป็นเช่นนี้ โหลวเย่วจะพยายามลดการมีตัวตนของตัวเองให้มากที่สุด เรื่องความสามารถ มีความสามารถเรื่องกินหน่ะได้ไหม?
ยิ่งไปกว่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นสามปีก่อน หรือในช่วงสามปีนี้ นางก็ไม่ค่อยได้เข้าร่วมโอกาสเช่นนี้สักเท่าไหร่
หรือแม้แต่จะเข้าร่วมแล้ว เสด็จพ่อกับเสด็จย่าก็ไม่เคยจะให้นางแสดง
ดังนั้น!
นางจะมีหรือไม่มีความสามารถ พวกเขายังไม่รู้อีกรึ?
เหตุใดวันนี้ถึงเป็นเช่นนี้?
ใยจู่ๆถึงได้เรียกนางกัน? นางเกือบจะไม่ทันได้กลืนเค้กในปากอยู่แล้ว
“เสด็จย่าเพคะ วันนี้หลานไม่ค่อยสบาย คงแสดงไม่ได้ ให้เทพธิดาแสดงเถอะเพคะ เทพธิดามีความสามารถอยู่เหนือธรรมชาติเลยเพคะ!”
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใด
นางถึงอยากเห็นเทพธิดาแสดงความสามารถที่เหนือธรรมชาติมากเช่นนี้ จะต้องน่าประทับใจมากเป็นแน่
ฟู่ว……
หลานเยาเยาล่ะอยากจะซัดแรงกระตุ้นของโหลวเย่วแรงๆเข้าซักป้าบ
นางแค่อยากจะสงบเสงี่ยมดั่งเทพธิดา ให้ดูลึกซึ้งแบบที่คาดเดาไม่ได้ อยากให้คนมองไม่ออกอะไรแบบนั้น
แต่!
การที่นางเป็นเทพธิดาผู้ทรงสง่าได้มาแสดงที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ แล้วใครจะกล้าเรียกนางให้มาแสดงต่อหน้าสาธารณชนล่ะ?
แต่กลับไม่นึกเลยว่า……
ยัยโหลวเย่วคนนี้ จะพูดแทนนางได้เหมาะเจาะอะไรขนาดนี้?
“อ่อ~ เทพธิดากรุณาเสด็จมาถึงเมืองหลวง เป็นโชคอันดีของประเทศก่วงส้า หากได้เห็นเทพธิดาแสดงความสามารถ พวกเราเหล่าประชาราษฎร์แห่งประเทศก่วงส้า จะจดจำมิมีวันลืมเลือน”
ไทเฮายกยอปอปั้นถึงเพียงนั้น
หากนางไม่ไปแสดงเสียหน่อย ก็จะดูเหมือนนางเสียมารยาท
แต่นางเป็นใครกันล่ะ?
หรือว่าไทเฮาผู้อาวุโสคนนั้นจะแค่พูดเยินยอไปงั้นๆ นางจะได้แสดงให้พวกเขาดู?
จนปัญญา!
นางเป็นถึงเทพธิดา เป็นเทพธิดาที่ไม่แยแสผู้ใด
ผู้ใดจะรู้ว่า……
โหลวเย่วที่อยู่ด้านข้างจู่ๆก็รวบรวมความกล้า คว้าแขน มองนางด้วยความคาดหวังอันแรงกล้า พูดออกมาด้วยใบหน้าเด็กเอาแต่ใจว่า:
“เทพธิดา ท่านแสดงเสียหน่อยเถิด ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องงามสง่าที่สุดเป็นแน่ ตกลงนะ! ท่านแสดงได้ตามสบายเลย อยากดูท่านแสดงเหลือเกิน!”
หลานเยาเยามองแรงไปที่นาง ปัดกรงเล็บของนางอย่างรังเกียจเดียดชัง ทั้งยังปัดเศษขนมที่หล่นจากมือของนางบนเสื้อผ้าอีกด้วย
โหลวเย่วคนนี้……
ใยถึงได้รู้ใจขนาดนี้เนี้ย!
หลานเยาเยายังไม่ทันได้ตอบสิ่งใด ก็ได้ยินเสียงสุขุมนุ่มลึกของเย่แจ๋หยิ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“หรือเทพธิดาเกรงว่าความสามารถจะด้อยกว่าคนอื่น?”
อะไรนะ?
ความสามารถด้อยกว่าคนอื่น?
เย่แจ๋หยิ่งนี่ยั่วโมโหคนเก่งจริงๆ แต่ก็ไม่เป็นไร มันจะไม่ใช่แค่การแสดง! และไม่ใช่ว่านางไม่สามารถ
“ความสามารถด้อยกว่าคนอื่นงั้นรึ? หึ เช่นนั้นก็คอยดูแล้วกันว่าใครกันแน่ที่ด้อยกว่าคนอื่น” ในเมื่อเขากล้าที่จะยั่วยุ แล้วเหตุใดนางถึงจะไม่ลากลงหลุมไปด้วยอีกสักสองสามคนล่ะ?
และแล้ว!
นางก็หันไปคารวะฮ่องเต้
“ข้ามีความรู้ในกู่ฉินอยู่บ้าง ยินดีที่จะแสดงความสามารถอันน้อยนิดเพคะ”
หลังเห็นฮ่องเต้พยักหน้า พระองค์ก็ทอดสายตาผ่านเย่หลีเฉิน เซียวจิ่นหยูและเย่แจ๋หยิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงอันเรียบนิ่งที่ดุดันว่า:
“ได้ยินมาว่าขลุ่ยจีนของรัชทายาท ฟลูตของเซียวจื่อจื่อ พิณจิ่นเสื้อของอ๋องเย่ เป็นดั่งสามสิ่งสุดยอดแห่งเมืองหลวง มิทราบว่าทั้งสามพระองค์อยากจะร่วมบรรเลงเพลงซุ่มโจมตีจากสิบทิศกับเทพธิดาหรือไม่?”
เพลงซุ่มโจมตีจากสิบทิศเป็นเพลงผีผา(กีตาร์จีน)
ในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในสิบอันดับเพลงโบราณของประเทศจีน ที่จะบรรเลงเดี่ยวก็ได้ บรรเลงวงก็ดี
ถึงแม้เพลงผีผา(กีตาร์จีน) แต่หากใช้กู่เจิงและกู่ฉินในการบรรเลง ก็ไพเราะเสนาะหูไม่แพ้กัน
เมื่อได้ยินว่าเป็นเพลงซุ่มโจมตีจากสิบทิศ
เย่แจ๋หยิ่งก็ตาเป็นประกาย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เย่หลีเฉินและเซียวจิ่นหยูก็ดูสนใจด้วยเหมือนกัน
ท่วงทำนองของเพลงซุ่มโจมตีจากสิบทิศนั้นหนักหน่วง สะเทือนอารมณ์ ไม่คิดว่าเทพธิดาจะสามารถบรรเลงได้ ทั้งยังบรรเลงกันสี่คน โดยใช้ขลุ่ยจีน ฟลูต พิณจิ่นเสื้อและกู่ฉิน
หากได้บรรเลงร่วมกัน ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะโด่งดังไปทั่วหล้า
มันจะทำให้ผู้คนตื่นเต้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่เย่หลีเฉินกลับสงสัย:
“เสด็จพ่อ ลูก เสด็จอาและเซียวจื่อจื่อต่างมีเครื่องดนตรีของตนเอง แต่เทพธิดาไม่มี จะทำเช่นไรดีขอรับ?”
ท่วงทำนองชั้นเลิศแน่นอนว่าต้องคู่กับเครื่องดนตรีชั้นดี
“เสด็จย่าของเจ้ามีกู่ฉินอยู่ตัวหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นของขวัญจากพระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชายาเย่ เป็นกู่ฉินชั้นดีที่หาได้ยากในโลก จะให้เสด็จย่าของเจ้านำมาก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
แววตาของไทเฮาสว่างวาบ ร่องรอยแห่งความโศกเศร้าปรากฏในดวงตา………