บทที่ 265 ฮองเฮาให้กู่ฉินเป็นของขวัญ
นี่ นี่มันไม่ใช่……
เรื่องราวดั้งเดิมของเพลงซุ่มโจมตีจากสิบทิศมันไม่ใช่แบบนี้นี่
แต่ภาพที่นางได้เห็น กลับทำให้นางเจ็บปวดเกินจะทน ราวกับว่านางสัมผัสบางอย่างได้ หญิงสาวที่กระโดดจากกำแพงเมืองลงไปในกองเลือด
มองดูสายตาที่แสนทุกข์ทรมานนั้น นางก็อยากจะเข้าไปช่วยนาง·····
ความรู้สึกเช่นนี้ที่อยู่ในใจทวีความรุนแรงมากขึ้นและมากขึ้น ทำให้นางตัวสั่นระรัวอย่างช่วยไม่ได้
ทันใดนั้น!
เสียงพิณจิ่นเสื้อที่คุ้นเคยแว่วเข้ามาในหู นางก็ตื่นขึ้นในทันใด
ภาพที่แสนโศกเศร้าอย่างรุนแรงค่อยๆเลือนหายไป นางเองก็หายจากความเสียใจด้วยเช่นกัน
และสิ่งที่ทำให้นางตกใจก็คือ นางติดตาอยู่กับภาพอย่างชัดเจน เหตุใดมือทั้งสองข้างถึงยังเล่นเพลงซุ่มโจมตีจากสิบทิศต่อเองอยู่นะ?
แล้วภาพเหล่านั้นที่นางได้เห็นมันหมายถึงสิ่งใดกัน?
นี่ มันชักจะประหลาดเกินไปแล้ว……
จากนั้น!
หลานเยาเยารีบมองไปรอบๆ ก็พบว่านอกจากเย่แจ๋หยิ่งที่กำลังเล่นพิณจิ่นเสื้ออยู่นั้น คนอื่นๆต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ของเสียงกู่ฉิน
ดูเหมือนว่า จะเป็นจิ่วเซียวหวงเพ่ยตัวนี้แหล่ะที่แปลกประหลาด!
จากนั้น นางกับเย่แจ๋หยิ่งก็เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย บรรเลงเพลงซุ่มโจมตีจากสิบทิศจนจบ จังหวะสุดท้ายดับลง ทุกๆคนก็ได้สติกลับมาในพริบตา
หลังจากนั้น ผู้ชมทั้งหลายก็ยังอยู่ในความเงียบงัน
ไม่กี่วิหลังจากนั้น เสียงปรบมืออันอบอุ่นก็ดังก้องกังวาล
แต่ในดวงตาของใครบางคนกลับเอ่อล้นด้วยน้ำตา ความทรงจำที่หนักหน่วงถูกเรียกคืนกลับมาด้วยเสียงบรรเลงของกู่ฉิน ดังกึกก้องอยู่ในใจของพวกเขาอยู่เนิ่นนาน ยากที่จะกำจัดออกไป
และแน่นอน!
การที่พวกเขาร่วมบรรเลงเพลงซุ่มโจมตีจากสิบทิศ ถือว่าเป็นที่สุดของการแสดงในวันนี้ ทั้งดีที่สุด ทั้งทำให้ผู้คนประทับใจอย่างลึกซึ้งมากที่สุด
ฮ่องเต้ชื่นชมไม่ขาดปาก ไทเฮาเองก็ออกปากว่าไม่เคยได้ยินเพลงที่น่าตื่นเต้นถึงเพียงนี้มาก่อน
“เทพธิดานั้นเป็นดั่งยอดคนจริงๆ ระดับความสามารถด้านกู่ฉินอยู่ในจุดที่มิอาจมีผู้ใดเทียบเคียงได้ ชีวิตของข้าได้ฟังเสียงของพิณกู่ฉินจื่อหลิงเช่นนี้ก็ถือเป็นเกียรติที่สุดแล้ว!
กู่ฉินชั้นยอด ก็ต้องคู่กับผู้เป็นเลิศในทำนองของกู่ฉิน ในเพลานี้ข้าขอมอบพิณกู่ฉินจื่อหลิงให้ท่านเป็นของขวัญ หวังว่าเทพธิดาคงจะไม่รังเกียจ”
เมื่อทุกคนได้ยินเข้า ต่างก็ริษยาในทันใด
แต่อย่างไรก็ตาม พิณกู่ฉินจื่อหลิงก็ตกมาอยู่ในมือของเทพธิดา ซึ่งก็เหมาะสมกับนางอย่างถ่องแท้
“ไทเฮาช่างน้ำใจงามยิ่งนัก หากเทพธิดาไม่รับไว้ก็คงจะไม่งาม”
หลานเยาเยาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เกรงใจ จากนั้นก็ดีดนิ้วหนึ่งที จื่อเฟิงที่สวมหน้ากากก็ปรากฏตัวด้านข้างของนาง
“เอาไปเก็บ”
“ขอรับ!” หลังจื่อเฟิงคารวะ ก็นำกู่ฉินไป หายลับจากสายตาของทุกๆคน
เป็นความเร็วที่เร็วมาก ราวกับว่าช่วงที่ไทเฮามอบของขวัญให้นั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก
แต่ก็รู้สึกกันว่าการกระทำของเทพธิดานั้นเกรี้ยวกราดจนเกินไป
ฮ่องเต้ที่เคยได้เห็นลักษณะนี้มาแล้ว จึงแค่ยิ้มๆไม่เอ่ยสิ่งใด
แต่ไทเฮา มีสีหน้าลำบากใจ
จะอย่างไรนางก็รู้สึกแย่ที่จะพูดสิ่งใดต่อ ดังนั้น เจ้าให้ของแก่คนอื่นเขา เขาก็รับมันไปแล้ว เพียงแค่ท่าทีที่รับไปทำให้นางมีความอึดอัดใจเล็กน้อย แล้วนางจะไปพูดอะไรได้?
หากไม่ใช้การปั้นหน้ายิ้มไว้ และแสร้งหัวเราะปลอมๆออกมา
ไม่นานนัก!
ฮ่องเต้ก็ให้องครักษ์ในวังไปนำม้าแข็งแรงพันธุ์ดีมา เพื่อให้คนที่เข้าร่วมการแข่งขันเลือกม้า
และแน่นอนว่า คนที่นำม้าของตนมาก็ไม่ต้องเลือกใหม่แล้ว
แต่มีอ๋องเย่เพียงคนเดียวที่พิเศษสุด
เขาไม่ได้ขี่ม้ามาเอง และก็ไม่ได้เลือกม้าจากในสนามม้าด้วย
ผู้คนต่างสงสัย!
หรือว่าวันนี้อ๋องเย่จะไม่ร่วมการแข่งขันล่าสัตว์กันนะ?
ฮ่องเต้แปลกใจ ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า:
“อ๋องเย่ จวนจะได้เวลาแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่มีม้าเข้าร่วมการแข่งขัน?”
“ไม่ช้า ม้าของข้าก็จะมาถึง พวกท่านเริ่มกันก่อนเลย!” เย่แจ๋หยิ่งจิบชา พลางพูดอย่างเกียจคร้าน
“เพื่อความยุติธรรม เช่นนั้นข้าจักให้ทุกคนรอสักประเดี๋ยวดีไหม?”
ผู้ที่ล่าสัตว์ด้วยกันกับอ๋องเย่ต่างรู้กันว่า ตราบใดที่อ๋องเย่เข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ ก็จะเหมือนอยู่ในสนามรบ อยู่ยงคงกระพัน ไม่เคยแพ้พ่าย
อันที่จริงการยิงธนูของฮ่องเต้ก็ไม่แย่
แต่ด้วยความโดดเด่นของอ๋องเย่ในการแข่งขันแต่ละครั้งได้บดบังพระองค์ซะมิด ดังนั้นความสามารถการยิงธนูของพระองค์จึงไม่เป็นที่รู้จักนัก
หากอ๋องเย่ได้เลื่อนเวลาลงแข่งออกไปสักหน่อย เช่นนั้นพระองค์ก็จะได้ผลประโยชน์
“ไม่ต้อง!”
เย่แจ๋หยิ่งปฏิเสธข้อเสนอของฮ่องเต้ทันควัน
ฮ่องเต้ที่รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ หลังได้ยินอ๋องเย่ปฏิเสธ ก็ไม่พูดต่อ และสั่งให้เริ่มการแข่งขันในทันที
ตามด้วยคำสั่ง
คนที่เข้าร่วมการแข่งขัน วิ่งครู่ราวกับม้าป่าแตกฝูงไปทางป่าทึบอย่างว่องไว
ฮ่องเต้เป็นผู้นำ ตามหลังด้วยองค์ชายอีกสองสามคนจากเหล่าองค์ชายทั้งเจ็ด ถัดมาอีกก็เป็นหนุ่มสาวที่สามารถขี่ม้ายิงธนูได้ แล้วก็เหล่าขุนนางในราชสำนัก
หลานเยาเยาที่นั่งอยู่บนอานม้า เอามือเท้าคาง ไม่ขยับเขยื้อน รอจนผู้คนเข้าไปในป่าทึบกันหมด
นางเหลือบมองเล็กน้อย ก็ได้เห็นป่าทึบในระยะไกลๆ ที่มีกวางสองตัวกำลังกินหญ้าอยู่ พวกมันห่างกันไม่ไกลนัก แต่ก็ไม่ใกล้เท่าไหร่
มุมปากของหลานเยาเยายกขึ้นเล็กน้อย จิตวิญญาณก็มาในทันใด!
ทันทีที่ดึงลูกธนูอันแหลมคมออกมา ก็ตรึงยิงออกไป เสียง“ฟิ้ว” ลูกธนูอันแหลมคมทะลุผ่านอากาศไป กวางก็ล้มลงบนพื้นทันที
กวางที่ประสบภัยอย่างกะทันหัน ไม่ทันได้ก้าวขาอันเรียวยาว ก็แน่นิ่งสิ้นไป
แต่อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ลูกธนูดอกเดียวทำล้มไปสองตัว……
“ซุบซิบ……”
เมื่อผู้คนที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันเห็นเข้า ใจก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
นี่มันจะเทพเกินไปแล้ว!
ห่างไกลถึงเพียงนี้ ไม่ใช่แค่ยิงโดนเหยื่อ แต่ยิงนัดเดียวยังได้กวางตั้งสองตัว
เสียงของคำกล่าวชมและความตกตะลึงแว่วเข้าหูไม่หยุดหย่อน เมื่อหลานเยาเยาหันกลับไปยิ้มโปรยเสน่ห์ ก็เป็นที่หลงรักของคนกลุ่มใหญ่ในทันใด
นางดึงสายบังเหียนเบาๆ พร้อมเอ่ยเสียงดัง: “ไปกันเถอะ สวนหยู่ ไปเก็บเหยื่อกัน!”
สวนหยู่ตอบรับอย่างเชื่อฟัง แต่มันก็ไม่ได้วิ่งไปอย่างรวดเร็ว เพียงเดินไปทางเหยื่ออย่างผ่อนคลาย
เย่แจ๋หยิ่งที่นั่งดื่มชาอยู่ มองดูหลานเยาเยาที่ไปเก็บเหยื่ออยู่เงียบๆ จากนั้นนางก็หายเข้าไปในป่าทึบ ซึ่งเขาก็ยังคงนั่งดื่มชาต่อเรื่อยๆ ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดต้องรีบร้อน
ในขณะนี้!
ถังมู่หวั่นผู้อ่อนโยน เดินมาด้านหน้าเย่แจ๋หยิ่งด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
“ขอประทานอภัยอ๋องเย่!”
เมื่อได้ยินเสียงอันอ่อนโยนเสนาะหูของถังมู่หวั่น เย่แจ๋หยิ่งที่วางถ้วยชาบนริมฝีปากกำลังจะลิ้มรสมัน ก็วางถ้วยชา พลางมองทางนางอย่างไม่เต็มใจ
“มีสิ่งใด?”
“ทางท่านพ่อของข้านั้นมีม้าพันธุ์ดีที่เดินทางไกลกว่าหมื่นลี้ หากอ๋องเย่มิรังเกียจ จะขี่ม้าเข้าไปแข่งก่อนก็ได้นะเจ้าคะ เมื่อม้าของท่านมาถึงก็ค่อยเปลี่ยนใหม่”
ถังมู่หวั่นทำเช่นนี้เพื่อการไตร่ตรองของอ๋องเย่
แม้ว่าอ๋องเย่จะไม่เป็นกังวล แต่นางก็หวั่นใจอย่างมากว่าเย่แจ๋หยิ่งจะแพ้การแข่งขัน
ท้ายที่สุด!
อ๋องเย่นั้นถือตัวและหยิ่งผยอง เคยมีการแข่งขันครั้งไหนที่ไม่ชนะบ้าง?
แต่ในปีนี้มันต่างออกไป
ปีนี้ผู้ชำนาญการยิงธนูต่างมากันหมดแล้ว อีกทั้งพวกเขายังเป็นต่อในเรื่องเวลา
เมื่อดูเทพธิดา
การยิงธนูของนางนั้นยอดเยี่ยม ทั้งยังมุ่งมั่นที่จะชนะ ขนาดแค่เพิ่งเริ่ม ลูกธนูเพียงดอกเดียวก็ล่าเหยื่อได้ตั้งสองตัว นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะแข่งด้วยได้
หากอ๋องเย่แพ้ในการแข่งขัน เช่นนั้นเขาก็จะเสียหน้า……
“ข้าขี่แต่ม้าที่เจริญหูเจริญตาเท่านั้น” ม้าเหงื่อโลหิตของเทพธิดานั้นก็ไม่เลว
เขาไม่ขี่ม้าของเย่หลีเฉิน นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ๆกันอยู่
ส่วนม้าของถังเฉิงเสี้ยงยังเทียบม้าของเย่หลีเฉินไม่ติด แล้วจะไปเข้าตาเขาได้อย่างไร?
“แต่ว่า หากแพ้การแข่งขัน ชื่อเสียงท่านก็จะ……”
“แพ้? ข้าไม่เคยแพ้”