บทที่ 281 ใช้รองเท้าขว้างออกไปได้หนี้มากองโต
เฮ้อ……
ปากไม่ตรงกับใจ นางเป็นคนประเภทที่อดทนต่อการล่อลวงของอาหารไม่เลิศรสได้น่า!
เมื่อเดินมาถึงประตูหน้าห้องนอนแล้ว หลานเยาเยาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งเฮือก ในสมองคิดเหตุผลที่จะเข้าไปกินฟรีไว้เรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่!
มือที่เพิ่งยกขึ้นเมื่อครู่ ยังไม่ทันได้แตะประตูด้วยซ้ำ …
“ แกร่ก … ”
ทันใดนั้นประตูก็พลันเปิดออก ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพเซียน ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านาง ทำเอาหลานเยาเยาตกตะลึง ผงะค้างไปชั่วขณะ
พ่อเจ้าประคุณทูนหัว
เขารู้ได้อย่างไรกันว่านางมาแล้ว ?
เพียงแต่สีหน้าของเขาค่อนข้างมืดมนอยู่บ้าง รูม่านตาลึกล้ำสุดจะหยั่ง หลังจากได้เห็นนาง
เย่แจ๋หยิ่งรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทีละน้อย ใบหน้าที่เคร่งขรึมเฉยชาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสดใสมีชีวิตชีวา
“ เทพธิดามีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?”
“อะแฮ่ม! ก็มีเรื่องนิดหน่อย”
ไร้สาระ!
เจอเขาเข้าไปจะไม่มีเรื่องได้เรอะ?
แต่เมื่อมองข้ามไหล่ของเย่แจ๋หยิ่งไป ก็ได้เห็นว่า ภายในห้องนอนมีโต๊ะขนาดใหญ่ ตั้งชิดกับริมหน้าต่าง บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารร้อน ๆ ควันฉุย ท่าทางน่าอร่อย วางเรียงรายแน่นขนัด
ในเวลานี้ดวงตาของหลานเยาเยา ก็สว่างเจิดจ้าอย่างไม่อาจอดกลั้นได้
มีของอร่อยให้กินแน่แล้ว!
โชคดีที่นางได้กลิ่นมันมาตั้งแต่อยู่ไกลๆโน่นแล้ว
ดังนั้นนางจึงกระแอมไอเบา ๆ อีกครั้งหนึ่ง ค่อยเก็บสายตากลับมา มองสบตาอีกฝ่าย
เพียงแต่ แววตาที่เดิมทีเฉยเมยเย็นชานั้น ได้เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงไปอย่างมาก
“คือว่า……”
“เจ้ากำลังตามหาสิ่งนี้ใช่หรือไม่”
เย่แจ๋หยิ่งจ้องมองไปที่เท้า ซึ่งสวมรองเท้าเพียงข้างเดียวของนางอย่างเย็นชา จากนั้นจึงหยิบรองเท้าปักสีแดงข้างหนึ่ง ที่ปักด้วยลายดอกไม้แปลกตาออกมา ยื่นส่งไปตรงหน้านาง บนใบหน้ามีรอยยิ้มจาง ๆปรากฏให้เห็น
“….. “
เชี่ยเอ๊ย!
รองเท้าข้างนั้น ก่อนหน้านี้นางขว้างออกนอกหน้าต่างไป ก็เพื่อไล่นกที่อยู่บนยอดไม้ แล้วเหตุไฉน มันถึงไปอยู่ในห้องนอนของเย่แจ๋หยิ่งได้ ทั้งยังไปอยู่ในมือของเขาอีกด้วย?
มุมปากของหลานเยาเยา กระตุกหงึกหงักขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
หลังจากพยายามหักห้ามตัวเอง ไม่ให้ระเบิดออกมาอย่างเต็มที่ ก็เอียงตัวไปข้างหน้า คิดจะแย่งรองเท้ามาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆทั้งสิ้น
ใครจะรู้ว่า มือเจ้ากรรมดันคว้าจับได้เพียงอากาศเปล่าๆ
ยังไม่ทันแย่งรองเท้ามาได้ ยังหวิดจะหัวทิ่มเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอีกต่างหาก
นางรีบก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที ทำให้หัวใจกำลังจะระเบิดอยู่รอมร่อ พลันสงบลงมาได้ จากนั้นจึงยื่นมือไปตรงหน้าเขา ทำสีหน้าสงบเยือกเย็น เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“คืนให้ข้า!”
ได้เห็นนางในลักษณะเช่นนี้
เย่แจ๋หยิ่งมองนางด้วยความรู้สึกว่าน่าสนใจดี จากนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยื่นมืออีกข้างออกไปตรงๆ …
ในขณะที่หลานเยาเยารู้สึก ตื่นตระหนก ตกตะลึง
นางรู้สึกว่ามือของตนเอง ถูกกุมจับด้วยมือใหญ่อันอบอุ่นข้างหนึ่ง หัวใจที่เพิ่งสงบลงไปเมื่อครู่ก็สั่นสะท้าน รู้สึกเลือดลมสูบฉีดพุ่งสูงปรี้ด
ยังไม่ทันจะสะบัดให้หลุดพ้น ก็ถูกเขาดึงตรงเข้าไปในห้องนอนเสียแล้ว
เมื่อมองไปที่ฝ่ามือใหญ่ ที่ดูเหมือนจะถือวิสาสะจับมือของนางข้างนั้น หลานเยาเยาสะบัดมือพลางกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ปล่อยมือ!”
น่าเสียดาย……
เย่แจ๋หยิ่งทำเหมือนว่า ไม่ได้ยินคำพูดของนางอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่ปล่อยมือ ทั้งยังไม่มีเสียงตอบรับ แต่กลับดึงนางเข้าไปข้างในไม่หยุด
เมื่อเธอหรี่ตาอย่างดุดัน เตรียมจะลงมือเล่นงานเขานั่นเอง
ฉับพลันมือก็ถูกปล่อยออกทันที
หูพลันได้ยินเสียงพูด คล้ายเจือแววเย้ยหยันอยู่ในทีว่า:
“คนที่ต้องโกรธสมควรเป็นข้าแล้วหรือไม่? ดูเรื่องดีๆที่เจ้าทำเสียก่อน”
โอ๋?
เขาโกรธหรือ?
เขาจะโกรธอะไรไม่ทราบ?
เอ๋?
กลิ่นหอมเหลือเกินหนอ! มันเป็นกลิ่นของอาหารที่ก่อนหน้านี้ ลอยล่องมาดึงดูด จนนางต้องถ่อมาถึงที่นี่
หลานเยาเยาเอียงหน้าไปมองเล็กน้อย ถึงกับอดตกตะลึงไม่ได้
ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยสำรับอาหารที่ชวนน้ำลายสอแน่นขนัด แต่ทว่าไข่ตุ๋นที่อยู่ตรงกลางสุดชามนั้น กลับคล้ายว่า จะโดนวัตถุอะไรบางอย่างที่ระบุชนิดไม่ได้ กระแทกใส่จนไข่ตุ๋นแตกกระจาย สาดกระเซ็นกระเด็นไปทั่วทั้งโต๊ะ
มารดามันเถอะ! อิ ดอก เงิน ดอก ทอง เอ๊ย!
อาหารดีๆ น่าอร่อยโต๊ะหนึ่ง ถูกทำลายจนย่อยยับไปเสียแล้ว
ความในใจที่คิดไว้ว่าจะมากินฟรีนั้น แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางได้เห็นว่าบนไข่ตุ๋นชิ้นเล็ก ๆ ที่ยังเหลืออยู่ก้นชามไข่ตุ๋นใบนั้น ปรากฏรอยเท้าเลือนรางไม่สมบูรณ์ขึ้นมารอยหนึ่งนั่นเอง …
หลานเยาเยาก็เริ่มจะมีอาการยืดไม่ออกเข้าแล้ว
ในขณะที่แอบเสียดายอยู่เงียบๆในใจ นางก็อดจ้องมองไปที่มือข้างนั้นของเย่แจ๋หยิ่ง ที่ถือรองเท้าปักสีแดงเอาไว้ไม่ได้ บ่งบอกได้ชัดเจนมาก ว่าเป็นรองเท้าในมือของเขานั่นล่ะ
บนรองเท้าปักสีแดง ยังมีเศษไข่ตุ๋นติดอยู่ประปราย….
กลายเป็นว่า ผู้ร้ายที่เป็นตัวการทำให้อาหารอันโอชะต้องมีอันเป็นไปคือมันนี่เอง และผู้กระทำผิดที่แท้จริง นั่นก็คือตัวนางเอง
“ คือว่า…. แค่กๆ! ถ้าบอกว่ารองเท้านั่นใช้ขว้างนก เจ้าจะเชื่อไหม?”
โอ้ย!สวรรค์กลั่นแกล้งอะไรกันล่ะนี่!?
เช้าตรู่ขนาดนั้น นางแค่รู้สึกว่านกที่อยู่นอกหน้าต่าง มันส่งเสียงดังหนวกหู เลยใช้รองเท้าขว้างออกไปเสียเลย
รองเท้านั่นนางกะว่าจะเอามาขว้างนก ไม่ใช่กะเอามาขว้างอาหารโอชะพวกนี้ จนป่นปี้เสียหน่อย
นี่นางมีเคราะห์ร้ายแปดชั่วโคตรหรืออย่างไรกันนี่ ? ขว้างนกอยู่ในตำหนักตัวเองแท้ๆ ยังอุตส่าห์ขว้างจนได้หนี้มาเป็นพะเรอเกวียน นี่คงไม่มีใครซวยได้ขนาดนี้แล้วล่ะ
“เชื่อ!”
หนึ่งคำสั้นๆง่ายๆ ทำเอาหลานเยาเยาประหลาดใจจนอึ้งไปเลย
อย่างไรก็ตาม นางก็ต้องตื่นขึ้นจากความประหลาดใจในเวลาอันรวดเร็ว
เย่แจ๋หยิ่งไม่ใช่คนพูดจากันง่ายขนาดนั้นเสียหน่อย เป็นไปได้ที่เขาอาจแค่ ยังพูดไม่จบก็เท่านั้น
เป็นจริงดังคาด!
เขาเปิดปากพูดอีกครั้ง
“อาหารชั้นเลิศ ทั้งจากผืนป่าและท้องทะเลบนโต๊ะนี้ ล้วนเป็นของที่ข้าทุ่มเงินไปไม่น้อย เพื่อให้คนปรุงมันขึ้นมา เทพธิดา เจ้าลองบอกกับข้าหน่อยเถิดว่า เจ้าควรจะชดใช้อย่างไร”
เพียงได้ยินคำพูดนั้น!
ใบหน้าของหลานเยาเยา พลันเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ มืดทะมึนทันที
ให้ชดใช้อีกแล้ว?
เจ้าสารเลวเย่แจ๋หยิ่งนี่ ยังจะมารีดไถ เรียกร้องเงินทองที่หามาอย่างยากลำบากจากนางอีก?
“เงินน่ะไม่มีหรอก! ข้ายากจนกระทั่งจะซื้อคนรับใช้ก็ยังไม่ไหวด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้น เจ้าเคยเห็นตำหนักของใครมีสภาพเงียบเชียบเงียบเหงา เปลี่ยวร้างว่างเปล่าขนาดนี้บ้างหรือไม่ล่ะ?”
“เฮอะ! การแข่งขันที่ผ่านๆตา เมื่อสองสามวันก่อน เทพธิดาทำให้ทั่วหล้าตกตะลึง
ฝ่าบาททรงโปรดในความสามารถ พระราชทานรางวัล เพื่อเป็นเกียรติยกย่องแก่เทพธิดา มีทั้งบรรดาเครื่องประดับไข่มุก เงินทองอัญมณีล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วน
เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน เทพธิดากลับบอกว่าไม่มีทรัพย์สินเงินทอง
ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่า เทพธิดาผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง จะเป็นคนที่โหดเหี้ยมเผด็จการ รักเงินทองยิ่งชีพ ทั้งยังติดหนี้ไม่ชดใช้เช่นนี้เอง
ถ้าให้ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง รวมถึงเหล่าผู้คนใต้หล้าได้รู้ว่า เจ้าเป็นคนแบบใด เจ้าว่า ในเมืองหลวงนี้ จะยังมีที่ยืนสำหรับเจ้าอยู่อีกหรือไม่? “
เย่แจ๋หยิ่งพบเก้าอี้ที่สะอาดสะอ้านตัวหนึ่ง จึงนั่งลงเรียบร้อย ใบหน้ายังคงนิ่งงันมืดมน แต่ดวงตากลับประกายแย้มยิ้มน้อยๆ
ชิชะ!
เพิ่งเข้ามาอาศัยอยู่ในจวนได้แค่วันเดียว โฉมหน้าด้านมืดกลอกกลิ้ง เป็นสุนัขจิ้งจอกของเย่แจ๋หยิ่ง ก็มีอันได้โผล่ออกมาวาดลวดลายให้เห็นเสียแล้ว
แต่ทว่า……
“ เจ้าจะพูดอย่างไรก็สุดแล้วแต่เจ้าเถอะ พูดอย่างไรไม่มีเงิน ก็คือไม่มีเงินอยู่ดี!”
ถึงอย่างไรชื่อเสียงเทพธิดาของนาง ก็ใช่ว่าใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืนจึงได้มา ต่อให้เย่แจ๋หยิ่งป่าวประกาศออกไปจริง ๆ เหล่าผู้คนชาวบ้านล้านตลาดจะเชื่อหรือ?
แม้ว่าที่นางมีคือเงินทองทรัพย์สิน ทั้งยังมีเป็นภูเขาเลากา แต่ตราบเท่าที่นางไม่เต็มใจให้เสียอย่าง หากใครสามารถพรากเอาเงินไปจากนางได้ ต่อให้เพียงแค่สตางค์แดงหนึ่ง นางจะยอมเรียกเขาว่าท่านทวด!
“ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร เทพธิดาสามารถเอาตำหนักนี้ไปจำนองได้”
อะไรนะ?
หลานเยาเยาถึงกับระเบิดขึ้นมาทันที
“เย่แจ๋หยิ่ง เจ้าทำทุกวิถีทาง เพื่อจะเข้ามาอยู่ในตำหนักของข้า สุดท้ายเพราะต้องการจะยึดครองตำหนักข้า ปล้นชิงทรัพย์สินเงินทองข้า จากนั้นก็จะเก็บกวาด กำจัดข้าออกไปจากบ้านตัวเองใช่หรือไม่?”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง.
ทั้งสองสะดุ้งเฮือกขึ้นมาพร้อมกัน
ในสมอง ก็พลันปรากฏคำพูดเหล่านี้ขึ้นอย่างพร้อมเพรียง:
“เย่แจ๋หยิ่ง แมร่งเจ้าหูหนวกแล้วหรืออย่างไร? รอให้ข้ายึดทรัพย์สินของตระกูลเจ้า ยึดครองจวนของเจ้า เก็บกวาดไล่ตะเพิดเจ้าออกไปได้ก่อนเถอะ ข้าจะมัดเจ้าไว้ที่ท้ายรถม้า แล้วปล่อยเจ้าออกไปให้เหมือนว่าวตัวหนึ่งเลยคอยดู “
หลานเยาเยานิ่งเงียบลงในเวลาต่อมา
เย่แจ๋หยิ่งก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ความเงียบสงบดำเนินอยู่เนิ่นนาน!
หลานเยาเยาพยายามอย่างยิ่ง ที่จะสลัดภาพที่ปรากฏในสมองของตนออกไป
ในไม่ช้า นางก็กำหมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายแล้ว หลานเยาเยาก็ถอนหายใจอย่างเงียบๆ จากนั้นจึงหันกายเดินจากไป
ฉับพลันนั้นเอง โดยไม่คาดคิด……
เสียงของเย่แจ๋หยิ่งกลับดังขึ้นด้านหลัง: “ไม่ต้องชดใช้ก็ได้ ไปที่ที่หนึ่งกับข้า”
“ ไม่ไป!”
นางปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
จะไปรู้ได้อย่างไรว่า เย่แจ๋หยิ่งจะพานางไปสถานที่บ้าบอคอแตกแบบไหน ทำเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกับนางบ้าง?
สรุปสั้นๆคือ
ใกล้ชิดกับเขาให้น้อยหน่อยจะดีกว่า
มิฉะนั้น นางจะเอาแต่นึกถึงภาพที่นางไม่อยากหวนนึกถึงอยู่เสมอๆ
“ข้าต้องการไปที่เรือแห่งความสิ้นหวัง!”
หลังได้ยินคำพูดนี้!
หลานเยาเยาหยุดชะงัก หันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าแววตา ที่ไม่อาจบอกอารมณ์ได้แน่ชัด …..