หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป – ตอนที่ 302 อ๋องเย่ลอบขึ้นรถม้า

บทที่ 302 อ๋องเย่ลอบขึ้นรถม้า

เมื่อคิดถึงตรงนี้

จู่ๆข้างนอกก็พัดลมอันหนาวเหน็บเข้ามา ประตูที่เปิดอ้าซ่าจึงมีเสียงดัง “เอี๊ยดอ๊าด”

จ้าวซื่อที่ไม่ทันระวังก็เสียวหลังวาบ มองดูความมืดมิดด้านนอกตัวบ้าน ม่านตาของนางก็หดตัว รู้สึกราวกับว่าในความมืดนั้นมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองนางอยู่

นางมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง ความรู้สึกที่เหมือนกำลังตกเป็นเหยื่อมันยังคงอยู่

นางลุกขึ้นอย่างไม่รอช้า  แล้วรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว……

หลานเยาเยาที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่มาตลอด มองตามแผ่นหลังของจ้าวซื่อที่หนีไปอย่างลุกลี้ลุกลน มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม

จดหมายที่หลานเฉินมู๋ได้รับก่อนหน้านี้เป็นฝีมือของนางเอง!

อีกทั้งข้อความด้านในก็เต็มไปด้วยช่องโหว่ ตั้งใจที่ให้หลานเฉินมู๋คิดว่าตัวเองตกอยู่ท่ามกลางกลอุบาย

ดังนั้น····

เมื่อหลานเฉินมู๋หวนกลับมา จ้าวซื่อจึงถูกจับได้

หึ!

“นี่มันเพิ่งเริ่มต้น!”

พูดจบ นางก็หายลับไปท่ามกลางความมืด ใบไม้ไสวอยู่ไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็สงบนิ่ง

ราวกับว่าบนต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ หลานเยาเยาไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

——

เวลาไม่รอช้า สองวันได้ผ่านไปในชั่วพริบตา

ไม่กี่วันมานี้ หลานเยาเยาได้ไป“เยี่ยมเยียน”จ้าวซื่ออยู่ทุกค่ำคืน ซึ่งทำให้นางหวาดระแวงมากขึ้นเรื่อยๆ

แดดจ้าฟ้าใส นางก็จิบชา เดินกินลมชมวิว แล้วถือโอกาสให้คนแอบไปสืบดูเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่จะลอบสังหารนางในคืนวันนั้นซะเลย

เพื่อความปลอดภัยแล้ว นางยังให้คนของสำนักหงอีซุ่มติดตามเย่แจ๋หยิ่งอีกด้วย

ในระหว่างนั้น ก็โดนฮ่องเต้เรียกให้เข้าวัง เมื่อได้พูดคุยเรื่องต่างๆกับนาง ก็ถือโอกาสแอบถามความตั้งใจของอ๋องเย่ที่ได้เข้าไปอาศัยอยู่ในตำหนักเทพธิดา

นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว

นางก็ยังอุ่นใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับคืนวันนั้น คนที่ลอบสังหารนาง ก็คงจะรู้อยู่แล้วว่านางอยู่ในตำหนักเทพธิดา แต่เหตุใดถึงไม่ลงมือซ้ำแล้วล่ะ?

เมื่อนางมาคิดๆดู นางก็ได้คำตอบ

วันนี้มีงานวัด

ทางฮ่องเต้ได้ส่งองค์รัชทายาทและถังเฉิงเสี้ยงไปที่งานวัดก่อน และแน่นอนว่ามีนางไปด้วยอีกคน

ไม่ใช่ว่านางจะยกตนข่มท่าน ว่ามีเทพธิดาคนนี้อยู่ แล้วงานวัดในวันนี้จะต้องใหญ่โตมโหฬารกว่าที่เคย  หรือน่าสนใจยิ่งกว่าเดิม

ทั้งนี้ทั้งนั้น!

นางก็ได้เปลี่ยนเป็นชุดสีแดงเข้ม ม้วนผมขึ้นครึ่งหนึ่ง ใช้ผ้าคาดผมสีแดงมัดไว้ ทั้งยังสอดปิ่นหยกปักผมที่งามวิจิตรไว้ด้วย

ผมสีดำขลับที่เหลือปล่อยเอียง สยายลงไปข้างหลังและข้างหน้า

บนใบหน้าถูกแต่งอย่างจัดจ้านชูรูปหน้า

ริมฝีปากแดงราวกับเปลวไฟ…

คิ้วสีเข้มเรียวโก่งดั่งคันศร……

นอกจากดวงตาสีดำอ่อนอันเย็นชาคู่นั้นที่ใสปิ๊ง

ที่เหลือ ก็เห็นได้แต่ความสง่างามที่เยือกเย็นอย่างไร้ที่ติ โดยเฉพาะรูปดอกไม้บนแก้ม สีของมันเข้มกว่าที่เคยเป็น จึงได้ดูน่าหลงใหลยิ่งกว่าเดิม 

หลังจัดเสื้อคลุมเสร็จสรรพ

เมื่อนางผายมือ จิ่วเซียวหวงเพ่ยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านาง

ในปีเดียวกันก่อนที่แม่จะสิ้นใจ ก็เอากู่ฉินตัวนี้ไปที่งานวัดด้วย และในขณะนี้ แน่นอนว่านางก็จะเอากู่ฉินตัวนี้ไปด้วยเหมือนกัน

ไม่แน่อาจจะมีเรื่องอัศจรรย์ใจที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นก็ได้

เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บของจื่อเฟิงที่ยังไม่หายดี หลานเยาเยาจึงพามาแค่จื่อซีเท่านั้น

เมื่อมาถึงประตูใหญ่ รถม้าส่วนตัวที่แดงดุจดั่งเปลวไฟของนางได้มาจอดรออยู่ด้านนอกแล้ว นางเดินมาจะก้าวขึ้นรถม้า แล้วยกม่านขึ้น

เพียงแต่ ยังไม่ทันได้ขึ้นไปในรถม้าร่างก็ชะงักไป

แล้วนางก็ถอยออกมา ยืนอยู่บนที่นั่งของคนขับรถม้า ตรวจรถม้าดูให้แน่ใจอยู่พักหนึ่ง

แล้วก็ยกม่านขึ้นอีกครั้ง มองดูเย่แจ๋หยิ่งที่นั่งนิ่งอกผายไหล่ผึ่งอยู่ด้านในอย่างสงสัย

“หากข้าไม่ได้มองผิดไป นี่เป็นรถม้าของข้า และไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้ามา”

นางเน้นเสียงที่คำว่าไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าอย่างเต็มที่

นี่เป็นกฎของนาง

และมิมีใครหน้าไหนไม่รู้กฎนี้

จึงเป็นไปไม่ได้ที่เย่แจ๋หยิ่งจะไม่รู้

งั้นเขาจะมากวนประสาทอะไร?

“เจ้าดูไม่ผิดหรอก ขึ้นมาเถอะ!”

อะไรวะ?

หูนางต้องดับไปแล้วแน่ๆ

เช่นนั้นนางจึงขำแห้งออกมา อดไม่ได้ที่จะเอามือกอดอก พลางยกริมฝีปากที่แดงดุจเปลวไฟขึ้น: “อ๋องเย่·····”

“รถม้าของข้าใช้ไม้จินสื่อหนานสร้างขึ้น  อีกทั้งการแกะสลักและลายเส้นบนรถม้าต่างเป็นทักษะการแกะสลักไม้ที่หาไม่ได้อีกแล้ว

สำหรับผ้าม่านและตัวม้านั้นไม่ต้องพูดถึง ใช้แต่ของที่ดีที่สุดทั้งนั้น มีสิ่งที่คนในราชวงศ์บางคนไม่มีด้วยซ้ำไป

มันเป็นไปด้วยฝีมือในการสร้างและวัสดุที่ใช้ทั้งสิ้น หากเป็นในแง่ของความรู้สึก ก็นั่งมันมาตั้งสิบปีกว่า อีกทั้งไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ข้าก็ใช้มันไปไหนมาไหนตลอด

หากไม่ใช่เพราะฝีมือของเจ้า มันก็คงไม่ตกหน้าผาไป

ในเรื่องของการชดเชย ก็น่าจะมีค่าชดเชยความเสียหายด้านจิตใจด้วย”

เย่แจ๋หยิ่งพูดจบอย่างเฉยเมย และเอนตัวพิงรถม้าอย่างเฉื่อยชา

ท่ามกลางท่าทางที่ดูโกรธๆของนาง เขาก็รินชาให้ตัวเอง แล้วลิ้มรสมันอย่างปลื้มปิติ

หลานเยาเยา: “·····”

ปัดโธ่เอ้ย!

จะชดเชยความเสียหายด้านจิตใจอะไรอีก?

เรียนจากไหนมาเนี้ย?

นางค่อยๆสงบอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆภายในใจ เม้มริมฝีปากแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“ก็ได้ เพราะมันก็คงไม่ง่าย กว่าอ๋องเย่จะลอบขึ้นมาบนรถม้านี้ได้!”

มาอยู่ตำหนักเทพธิดาก็ตั้งนมนาน เดาว่าเขาคงจะไม่เคยพูดเยอะขนาดนี้มาก่อนเลยกระมัง?

“รู้ก็ดี!”

“เจ้า······” หลานเยาเยาแทบจะกระอักเลือด

แม่งเอ้ย!

ยังจะมีหน้ามายอมรับอยู่อีก!

จะโมโหไม่ได้ จะโมโหไม่ได้ นางจะต้องเก็บอาการรักษาภาพพจน์เทพธิดาผู้สูงศักดิ์ที่สง่าผ่าเผยเอาไว้

ใช่แล้ว โลกนี้ช่างสวยงาม แต่นางกลับมารู้สึกหงุดหงิด แบบนี้ไม่ดี แบบนี้ไม่งาม

หลังจากกดระงับความโกรธภายในใจ หลานเยาเยาก็สะบัดแขนเสื้ออุ้มจิ่วเซียวหวงเพ่ยเข้าไปในรถม้า 

จื่อซีที่มึนงงเล็กน้อย ก็อ้าปากหวออย่างช่วยไม่ได้

หน้าของคุณหนูแดงไปหมดแล้ว เดาว่าตอนนี้คุณหนูคงอยากจะระเบิดจะแย่แล้วมั้ง

เพียงแต่·····

พ่อจ๋าแม่จ๋า ขอให้พวกเขาอย่าได้ตีกันในนี้เลยเถอะนะ!

“ยังไม่ไปอีก?”

เสียงหงุดหงิดที่ทุ้มต่ำของหลานเยาเยาดังมาจากในรถม้า

ทันทีที่จื่อซีได้สติ ก็เหาะไปบนที่นั่งคนขับรถม้าในพริบตา จากนั้นก็ลงแส้ รถม้าก็เร่งความเร็วออกไป

บนถนนแออัดไปด้วยผู้คน แออัดมากจนเป็นประวัติการณ์ ผู้คนที่เดินเท้า หรือรถม้า ต่างก็ต้องเคลื่อนตัวช้าลง

เมื่อถึงที่นัดพบ กลับไม่เห็นรถม้าของรัชทายาทเย่หลีเฉิน หลานเยาเยาก็รู้เลยว่าเขาจะต้องถูกขวางอยู่ทางเป็นแน่

เช่นนั้น!

นางหันไปทางผ้าม่าน และพูดเรียบๆ

“ไปที่งานวัด”

“ขอรับ!”

เพราะว่าเป็นรถม้าของเทพธิดา ไม่ว่าจะเป็นคนเดินเท้า หรือรถม้าที่วิ่งไปมา ต่างก็หลีกทางให้

แต่ถึงเช่นนั้น ความเร็วของรถม้า ก็ยังช้าอยู่มาก

ทั้งนี้ทั้งนั้น!

การหลีกทางก็ย่อมมีกระบวนการของมัน

ที่โชคดีคือ ช่วงเวลาแห่งการรอคอยอันแสนยาวนานนี้ เย่แจ๋หยิ่งไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ

ก็แน่สิ!

ในเมื่อเขาลอบขึ้นรถม้ามาได้ ก็คงขี้เกียจที่จะพูดแล้วแหล่ะ

ในที่สุดมันก็ทำให้ความร้อนรุ่มในใจของนางลดน้อยลงไป อย่างไรก็ตาม ถึงในใจจะไม่รุ่มร้อนแล้ว แต่บรรยากาศกลับอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ

เย่แจ๋หยิ่งเยือกเย็นอย่างกับพระพุทธรูปขนาดนี้ รังสีแผ่เต็มไปหมด ไม่สามารถละเลยการมีตัวตนของเขาได้เลย

ยิ่งคิดที่จะไม่มองเขามากเท่าไหร่ หางตากลับยิ่งเห็นภาพเขามากขึ้นเท่านั้น

กรี๊ด!

อะไรเนี้ย!

นางไม่ได้อยากจะอยู่ในรถม้านี่เลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพื่อภาพลักษณ์ของเทพธิดาละก็ นางขี่สวนหยู่แสนสง่ามาตั้งนานแล้ว

ในเมื่ออับจนหนทาง  นางก็ได้แค่ทำเป็นตาย พิงตัวไปกับรถม้า เอามือเท้าคางผล็อยหลับไป

ส่วนเย่แจ๋หยิ่งก็อ่านหนังสือที่ไม่รู้ว่าเอาจากไหนมา

หลังเห็นหลานเยาเยาหลับตาลง เขาก็เลื่อนหนังสือออกไป มองใบหน้าอันทรงเสน่ห์ที่สง่างามของนางอย่างใจจดใจจ่อ

รอยยิ้มบางๆเผยขึ้นที่มุมปากของเขา!

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

ได้ยินมาว่าท่านอ๋องเป็นคนโหดร้าย เขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง?ไม่ใช่เลย ตั้งแต่เขาแต่งงานกับคุณหนูหกของจวนแม่ทัพก็เปลี่ยนไปแล้ว “เยาเยาร่างกายอ่อนแอ ไม่ชอบพูดคุย ข้าไม่วางใจให้เขาไปคนเดียว”รู้สึกอับอายนัก!พระชายาใช้ไม้ตีรัชทายาท นังเสแสร้ง ปากนั้นสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้ ยังไม่วางใจอีกหรือ?“เยาเยา นางไม่มีความรู้ที่เกี่ยวกับสงคราม ฝีมือทางการแพทย์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกเจ้าอย่ารังแกนาง”ทหารของฝ่ายศัตรูกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ทหารสิบหมื่นที่ถูกพระชายาวางแผนมาเป็นเชลยศึกกำลังรอการถอนพิษอยู่ นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ของพระชายาเย่ หรอ?“ เยาเยานางไร้เดียงสา ไม่เคยยุ่งกับคนอื่น” ทหารทั้งหลายเหลือบมองเจ้านายที่กำลังหลีกเลี่ยงเพื่อความรัก เจ้านาย จริยธรรมของท่านที่อยู่ไหน?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset