หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป – ตอนที่ 307 ขอความสมหวังใต้ต้นปรารถนารัก

บทที่ 307 ขอความสมหวังใต้ต้นปรารถนารัก

ทันใดนั้น!

มัคนายกก็รู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เขารีบสูดหายใจเข้าลึก ยังไม่ทันได้ปล่อยออกมา ก็ได้ยินเสียงต่ำที่กดดันของเทพธิดา

“พิธีใกล้จบแล้วใช่หรือไม่?”

เมื่อมัคนายกได้ยินเช่นนั้น จึงยกมุมปาก

แล้วหันกลับมา โดยมือข้างหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า ห้อยสร้อยประคำเส้นใหญ่คล้องมืออยู่ เขาโค้งคำนับและพูดว่า:

“อมิตตาพุทธ  เทพธิดาโปรดอย่าเพิ่งร้อนใจ ขอประทานอภัยที่อาตมาต้องพูดตามตรง พิธีการเพิ่งจะเริ่ม”

เพิ่ง! จะ! เริ่ม!?

ยังจะมาบอกว่าอย่าเพิ่งร้อนใจงั้นรึ?

เดี๋ยวก็ใส่หน้าให้ซะเลย!

ยืนจนตีนชาหมดแล้ว แต่กลับมาบอกว่าเพิ่งเริ่มเนี่ยนะ?

แกล้งกันรึไง?

หลานเยาเยาแทบจะกระอักเลือดตาย จึงขมวดคิ้ว แล้วมองเขาอย่างไร้อารมณ์

“มีทางออกอย่างไรบ้าง?” ใช้เส้นสายให้จบๆไปไรงี้?

หากยังประกอบพิธีต่อไปละก็ นางกลัวว่านางจะพลั้งทำเรื่องผิดศีลธรรมไปซะก่อน

อย่างเช่น: ทุ่มไอ้กระถางธูปนี่ซะ!

มัคนายกดูเป็นคนจริงจังและเที่ยงธรรม เหมือนว่าจะไม่มีจังหวะที่จะพูดคุยเลยแม้แต่น้อย

หลานเยาเยาจิตใจหมองหม่น

พวกพระหัวโล้นต่างก็เป็นเช่นนี้ พอไม่เข้าใจก็จะเบี่ยงหน้าหนีไม่รับรู้

ดูทรงแล้วคงจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ แม้แต่จะหลับหูหลับตาทำๆไปก็คงจะไม่ทำ

ดังนั้น!

นางจึงถอดใจ ตัดสินใจที่จะหาวิธีอื่น

แต่ใครจะไปรู้……

ว่ามัคนายกจะไอ: “แค่กๆ!” ดึงดูดความสนใจของนาง

หลังนางหันไปมองเขา ตาของเขากระพริบปริบๆๆ

“……”

ตากระตุก?

หลานเยาเยามองเขาที่ทำเรื่องบาปกรรมอยู่เงียบๆ……

เมื่อเห็นว่านางไม่ตอบสนอง มัคนายกก็เหมือนจะรู้ตัวว่าสื่อสารพลาดไป เช่นนั้น จึงเริ่มขยับปากอีกครั้ง

ปากพะงาบๆ ทั้งยังพะงาบแบบน่าเกลียดสุดๆ อย่างกับคนลงแดงยังไงยังงั้น

โชคดีที่ครั้งนี้ หลานเยาเยาเข้าใจแล้ว มุมปากของเขายื่นบอกให้มองไปด้านขวา ตรงนั้นมีประตูหลังอยู่……

พริบตาเดียว!

หลานเยาเยาเผยอมุมปาก แล้วหายวับไปต่อหน้าต่อตามัคนายก

“เห้อ……”

มัคนายกถอนหายใจออกมา!

อั่ยย๊า!

เป็นมัคนายกปีนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ!

อย่างไรก็ตามความน่าเกรงขาม และความซื่อตรงอันเที่ยงธรรมของเขาคงยังไม่เสียหายไปหรอกกระมัง?

แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นเหล่าสาวกที่นั่งอยู่บนอาสนะ แต่ละคนมองเขาอย่างอ้ำอึ้ง

มัคนายกแข็งทื่อ………

——

แทบจะทุกคนที่มาร่วมงานวัด ต่างกำลังคุกเข่าด้วยความเลื่อมใส ณ บันไดที่ทอดยาว เฝ้ารอจนกว่าจะเสร็จสิ้นพิธีของงานวัด

ส่วนหลานเยาเยาที่ชิ่งออกมา ตอนแรกกะว่าจะกลับไปที่เรือนสี่ประสานนอนดีดเครื่องดนตรีเล่นสักหน่อย

แต่!

คิดไปคิดมา

นางก็อยากจะตรวจสอบดูสักหน่อยว่าปีก่อนๆแม่มาทำการใดที่นี่ ว่าจะไปถามมัคนายกของที่นี่ก่อน

แต่ว่า มันเป็นเรื่องตั้งกี่สิบปีมาแล้ว มัคนายกก็เปลี่ยนไปตั้งสอบรอบ คิดว่ามัคนายกคนปัจจุบันคงรู้อะไรไม่มากนัก

หากจะไปถามมัคนายก สู้ไปหาประวัติการบูรณะของวัดจะดีกว่า

จากนั้นก็ไปหาตามช่วงปีที่แม่มาที่นี่ แล้วดูว่ามีเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำคัญๆอะไรบ้างก็สิ้นเรื่อ

หากหาไม่ได้จริงๆละก็ ค่อยไปถามมัคนายกว่าเขารู้เรื่องอะไรบ้างหรือไม่

จากนั้น!

หลานเยาเยาก็มาถึงหอไตรอย่างรวดเร็ว

แต่ หน้าประตูหอไตรมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา คนที่คุ้มกันไม่ใช่พระสงฆ์ในวัดหลวง แต่เป็นองครักษ์ของวังหลวงที่ฮ่องเต้ส่งมารักษาความสงบเรียบร้อย

เหมือนว่าจะเข้าไปดูโจ่งๆไม่ได้แล้วแหล่ะ

“หึ!”

หลังหัวเราะออกมาเบาๆ หลานเยาเยาก็หรี่ตาลง หลบเลี่ยงจากไป

เมื่อเปลี่ยนเส้นทาง นางก็ย่องเบาเลี่ยงการลาดตระเวนขององครักษ์ ลอบมาด้านหลังของหอไตร

เจอหน้าต่างอยู่หลายบานจึงพยายามจะเปิดออก แต่ก็เปิดไม่ได้สักบาน เพราะหน้าต่างมันถูกลงกลอนจากด้านใน

หมดหนทาง

หลานเยาเยาทำได้แต่จำใจเหาะขึ้นไปบนชั้นสอง แล้วพยายามเปิดหน้าต่างอีกครั้ง ซึ่งเหมือนกับชั้นแรกมิผิดเพี้ยน พวกมันต่างถูกลงกลอนจากด้านใน

นางจึงกะว่าจะใช้วิธีที่เฉียบขาดกว่านี้ในการเปิดหน้าต่าง แต่ก็เห็นว่ายังเหลืออีกบานสุดท้ายยังไม่ได้ลองเปิดดู

ก็เลยว่าจะไปลองเปิดดูสักหน่อย

ถ้าเกิดว่าหน้าต่างมันเปิดของมันอยู่แล้วล่ะ?

มันจะไม่เป็นการเสียทั้งเวลาและพลังงานที่ดันไล่เปิดทุกบานมาตั้งนานอย่างนั้นรึ?

ไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว นางก็จะทำอย่างนี้นี่แหล่ะ

แต่สิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันก็คือ คราวนี้มันได้ผล

“แอ๊ด……”

เมื่อเสียงอันแผ่วเบาของหน้าต่างที่เปิดออกดังขึ้น คิ้วของหลานเยาเยาก็เผยถึงความสุข

หลังจากเข้ามาแล้ว นางก็เริ่มค้นหาของไปทั่ว

สิ่งที่ทำให้นางเจ็บหัวก็คือ นอกจากของบนชั้นหนังสือจะมีแต่คัมภีร์และคัมภีร์แล้ว มันยังหนา และคละกันไปหมด

มีอยู่ไม่กี่เล่มที่ไม่ใช่คัมภีร์ แต่มันกลับเป็นพวกวิทยายุทธกังฟูทั้งนั้น

ห้ากระบวนท่าการชกต่อยเอย

สิบสามระเบียบการเคลื่อนไหวของสงฆ์

ทานตะวัน………ไม่ๆๆ คัมภีร์ทานตะวัน

สรุป!

ถ้าไม่ใช่คัมภีร์ก็เป็นตำรับตำราวิทยายุทธ รื้อหามาตั้งนาน ไม่เจอบันทึกประวัติศาสตร์ของวัดหลวงสักที

จากนั้นจึงลงมาที่ชั้นหนึ่ง พอมาถึงยังไม่ทันได้เริ่มหา นางก็เห็นป้ายที่แขวนอยู่บนชั้นวางหนังสือแถวแรก

บนนั้นบอกว่า มีคัมภีร์ทั้งหมดแสนเล่มได้เก็บรักษาไว้ที่ชั้นหนึ่งนี้

เมื่อได้เห็นจำนวน หลานเยาเยาก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย แล้วบ่นออกมาเบาๆว่า:

“ตายแล้ว ตายแล้ว ตายแล้ว……”

ขณะที่บ่นออกมา นางก็เหาะขึ้นไปชั้นสามอย่างรวดเร็ว

เป็นอย่างที่คิด!

เมื่อมาถึงชั้นสาม ก็เห็นป้ายที่แขวนไว้บนชั้นหนังสือแถวแรกเช่นเดิม แต่ที่นี่ไม่ได้มีแค่คัมภีร์กับตำราวิทยายุทธเท่านั้น มันยังมีทั้งพงศาวดาร งานประพันธ์ที่น่าสนใจ บทกวี……

และในบรรดาคำเหล่านั้น ก็มีบันทึกประวัติศาสตร์ของวัดหลวงอยู่ด้วย

หลังจากที่หาเจอได้อย่างรวดเร็ว

นางก็แทรกตัวเข้าซอกมุมไปดู

นางอ่านการบูรณะของวัดในช่วงแรกอย่างคร่าวๆ

ก็เจอสิ่งที่ไม่คาดคิด:

เทพธิดาตัวจริงสิ้นไปตั้งหลายร้อยปีแล้ว และยังเคยมาที่วัดแห่งนี้ด้วยเหมือนกัน อีกทั้งยังอุ้มจิ่วเซียวหวงเพ่ยไปให้คำมั่นสัญญาใต้ต้นปรารถนารัก หลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างปริศนา 

และในหนังสือที่เขียนคำว่าต้นปรารถนารัก ก็เหมือนจะมีร่องรอยบางอย่าง

ไม่รู้ว่านั่นเป็นรอยเล็บหรือไม่ เพราะเหมือนเป็นการเน้นโดยใช้ความคมจิกไว้ใต้คำว่าต้นปรารถนารัก  ถึงได้มีร่องรอยทิ้งไว้

ซึ่งก็ไม่รู้เลยว่าจงใจทำไว้หรือไม่

แต่มันมีแค่หน้าที่เทพธิดาเคยไปยังต้นปรารถนารักหน้าเดียวเท่านั้น ที่มีรอยยับ ตรงที่เขียนว่าต้นปรารถนารักในหน้าอื่นๆ ก็ไม่ได้เป็นรอยแต่อย่างใด

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่

ในที่สุดนางก็เจอปีก่อนที่แม่จะจากไป

เป็นอย่างที่คิด

แม่เคยมาที่นี่จริงๆ แล้วก็ยังอุ้มจิ่วเซียวหวงเพ่ยไปใต้ต้นปรารถนารักด้วย………แล้วก็ให้คำมั่นสัญญา

เอ่อ……

ตอนนั้น แม่ก็แต่งกับหลานเฉินมู๋แล้วนี่ แถมนางยังเกิดมาแล้วด้วย

งั้นแม่จะยังไปให้คำมั่นสัญญาด้วยเหตุอันใด?

เหมือนกับเทพธิดาเมื่อร้อยปีก่อนมิมีผิดเพี้ยน

ประหลาดเกินไปแล้ว………

แล้วการที่อุ้มจิ่วเซียวหวงเพ่ยไปให้คำมั่นขอความสมหวังที่ใต้ต้นปรารถนารักด้วย มันสมเหตุสมผลตรงไหน?

คราวนี้นางก็ตั้งใจอย่างมาก ในการดูที่คำว่าต้นปรารถนารัก แต่กลับไม่พบสิ่งใด

มันน่าสงสัยจริงๆ

แล้วรอยก่อนหน้านี้มันจะมีความหมายอะไรไหมนะ?

หลังจากนั้น!

นางก็มีความคาดเดาที่บ้าบิ่น

เดาว่าตอนนั้นแม่คงรู้อะไรเกี่ยวกับจิ่วเซียวหวงเพ่ย หรือไม่ก็เรื่องยาอายุวัฒนะ

เช่นนั้น จึงได้มาที่แห่งนี้เพื่อหาบันทึกประวัติศาสตร์ของวัด

เช่นเดียวกับนาง แล้วก็เห็นเหมือนกันว่าเทพธิดาเมื่อร้อยปีก่อนได้ไปที่ต้นปรารถนารัก จึงได้ทำตามเทพธิดาโดยการอุ้มกู่ฉินไปใต้ต้นปรารถนารักแบบนาง

ผลที่ได้……

ด้านหลังของหนังสือ ก็บอกว่าแม่ได้หายตัวไปเช่นเดียวกัน

ผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน อยู่ๆก็กลับมาที่จวนแม่ทัพ พอผ่านไปได้ไม่นานนักก็สิ้นใจจากไป

“เจ้าเองก็สนใจหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนี้เหมือนกันล่ะสิ!”

เสียงที่ดังมาจากไหนก็ไม่รู้

ทำเอาหลานเยาเยาอกสั่นขวัญหาย……

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

ได้ยินมาว่าท่านอ๋องเป็นคนโหดร้าย เขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง?ไม่ใช่เลย ตั้งแต่เขาแต่งงานกับคุณหนูหกของจวนแม่ทัพก็เปลี่ยนไปแล้ว “เยาเยาร่างกายอ่อนแอ ไม่ชอบพูดคุย ข้าไม่วางใจให้เขาไปคนเดียว”รู้สึกอับอายนัก!พระชายาใช้ไม้ตีรัชทายาท นังเสแสร้ง ปากนั้นสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้ ยังไม่วางใจอีกหรือ?“เยาเยา นางไม่มีความรู้ที่เกี่ยวกับสงคราม ฝีมือทางการแพทย์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกเจ้าอย่ารังแกนาง”ทหารของฝ่ายศัตรูกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ทหารสิบหมื่นที่ถูกพระชายาวางแผนมาเป็นเชลยศึกกำลังรอการถอนพิษอยู่ นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ของพระชายาเย่ หรอ?“ เยาเยานางไร้เดียงสา ไม่เคยยุ่งกับคนอื่น” ทหารทั้งหลายเหลือบมองเจ้านายที่กำลังหลีกเลี่ยงเพื่อความรัก เจ้านาย จริยธรรมของท่านที่อยู่ไหน?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset