บทที่ 316 อย่าได้คิดฝันลมๆแล้งๆกับข้า
หลังจากนั้น ไม่ว่าบนต้นไม้หรือใต้ต้นไม้ ต่างก็ถูกค้นหาจนหมด นางยังไปค้นหารอบๆ ต้นไม้อีกครั้งหนึ่งด้วย
รอจนการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของนางเสร็จสิ้นลง
นางก็ไม่ได้ขยันขันแข็งอะไรมากมายแล้ว เพียงสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในแขนเสื้ออันกว้างขวางของตน เดินไปเดินมาอย่างเกียจคร้าน
บางคนจึงเริ่มมีความคิดเห็นแล้ว
จะว่านางก็ไม่ทำอะไรเลยน่ะหรือ!
แต่สายตาของนาง ก็กำลังมองซ้ายแลขวาอยู่นี่อย่างไรล่ะ !
ในหมู่พวกเขา มีลูกน้องคนหนึ่งที่เสื้อผ้าอาภรณ์ดูแล้วน่าอึดอัดอย่างยิ่ง ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“อย่าเล่นลูกไม้ให้มาก ระวังข้าจะเชือดเจ้าทิ้ง!”
“ข้ามีตัวคนเดียว พวกเจ้ามีกันเป็นกลุ่มใหญ่โตมโหฬาร ทั้งยังมีราชครูเทียนเวิง เจ้านายใหญ่ของพวกเจ้าที่ควบคุมอยู่ที่นี่ ขอถามหน่อยเถอะว่า เจ้าจะกลัวอะไรไม่ทราบ?”
เดิมทีนางไม่อยากเปลืองน้ำลาย เพราะเวลาคุยกับคนดื้อดึงสมองทึบ นอกจากโกรธแล้วนางยังจะทำอะไรได้อีก?
แต่ทว่า!
นางต้องประวิงเวลาออกไปสักพัก
ขอเพียงประวิงเวลา ให้ยืดเยื้อออกไปได้อีกสักพักหนึ่งก็พอ
ด้วยเหตุนี้เอง!
เป็นเขาแล้วกัน! เจ้าหนุ่มที่ใช้คำพูดไร้มารยาทกับนางคนนั้นนั่นล่ะ
“เจ้า……”
” ข้าทำไมหรือ ? ถึงแม้ว่าข้าจะงดงามจนใครเห็นใครรัก มวลบุปผาเห็น ยังต้องแย้มกลีบผลิบาน แต่สำหรับคนที่รุงรังเละเทะ สะเปะสะปะอย่างเจ้า แค่คิดก็อย่าได้คิด อย่าได้ฝันอะไรที่มันลมๆแล้งๆไปหน่อยเลย
ยิ่งไม่ต้องพยายามที่จะพูดเรียกร้องความสนใจจากข้า แล้วก็ไม่ต้องพยายามอธิบายอะไร เพื่ออำพรางเป้าหมายที่แท้จริงของเจ้าด้วย
สำหรับข้าแล้ว เจ้าอยากจะปีนป่ายขึ้นมาก็ไม่มีทางเสียหรอก อะไรที่ไม่ต้องอธิบายได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก
ดูเจ้าสิ! หน้าแดงทำไมไม่ทราบ? ไม่ใช่เป็นเพราะว่า พูดกับเจ้าเยอะขึ้นสองสามประโยคหรอกหรือ! ถึงกับต้องเขินอายขนาดนี้เชียว? “
หลังจากที่หลานเยาเยาพูดรวดเดียวจบนั้น
ยังพยักหน้าอย่างสบาย ๆ ให้กับตัวเองอีกด้วย
“เจ้า! เจ้าพูดเหลวไหล !…. “
ใบหน้าของเขา ถูกความโกรธโจมตีจนแดงก่ำไปทั้งหน้า
ในบรรดาคนทั้งกลุ่มนี้ เขาคิดว่าตัวเขาเองนี่แหล่ะ ที่หล่อเหลาสง่างามที่สุด
ดังนั้นแล้ว
เขาต้องโต้แย้งคำพูดนั้น
“ข้าดูรุงรัง เละเทะสะเปะสะปะตรงไหนไม่ทราบ? เห็นอยู่ชัดๆว่า ทั้งหล่อเหลางามสง่าราวต้นไม้หยกถึงเพียงนี้ เจ้าไม่เห็นหรอกหรือ?”
เอิ่ม?
ที่แท้ในหมู่ศัตรูยังมีคนที่หลงตัวเองอยู่เสียด้วย
“เอาขนนกตั้งหลายเส้นมาปักบนหัว นี่คืองามสง่าดั่งต้นไม้หยกหรือ? แล้วดูที่ตาเจ้าหน่อยเถอะ ข้างหนึ่งเป็นตาชั้นเดียว อีกข้างเป็นตาสองชั้น หาความสมดุลไม่เจอเลยสักนิด
แล้วยังไฝคนงามที่คิ้วนั่น มันเกิดอะไรขึ้นไม่ทราบ ? เจ้าแต้มมันลงไปเองล่ะสิ ? แต้มอย่างไรให้เบี้ยวได้อย่างนั้นกันล่ะ ?
ดูสารรูปตัวเจ้าเองหน่อยดีหรือไม่ เป็นถึงขนาดนี้แล้ว ไม่เรียกว่ารุงรัง เละเทะ สะเปะสะปะ จะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ? “
เขาโกรธจนหายใจหอบกระชั้นถี่ เดิมทีเขาไม่ใช่คนชอบพูดอะไรนัก แต่เพื่อภาพลักษณ์ของตัวเองแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจนเสียหน่อย
“ ขนบนหัวข้า ไม่ใช่ขนนกขนไก่อะไรทั้งนั้น แต่เป็นเครื่องประดับผมแบบดั้งเดิมของชนเผ่า เป็นสัญลักษณ์ของความสง่าผ่าเผย ที่สืบทอดต่อกันมาของตระกูล
ส่วนเรื่องเปลือกตาสองข้างไม่เหมือนกัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากจะให้มันเป็นเสียหน่อย แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับรูปร่างหน้าตาของข้านี่
นอกจากนี้ยังมี จุดที่อยู่ตรงหว่างคิ้วนั่นคือฮวาเตี่ยน [การแต้มรูปดอกไม้ไว้ที่หว่างคิ้ว] เป็นข้าแต้มลงไปเอง ทั้งยังแต้มได้ตรงเป๊ะเลยด้วย มันเบี้ยวตรงไหนไม่ทราบ? ไม่ใช่ไฝคนงามอะไรพรรค์นั้นเสียหน่อย
ไม่คิดเลยจริงๆว่า เทพธิดาผู้ทรงเกียรติงามสง่า จะถึงกับบิดเบือนข้อเท็จจริง กลับดำเป็นขาวได้ถึงเพียงนี้
ฮึ !”
เอิ่ม……
เทพธิดาทำไมหรือ?
เทพธิดาจะพูดจากลับดำเป็นขาวไม่ได้หรือ?
หรือจะบอกว่า ภาพลักษณ์เทพธิดาของนางนั้นยิ่งใหญ่สูงส่งเหลือเกินแล้ว
ดังนั้นจึงต้องเป็นเช่นเดียวกับพระแม่มารี เป็นสาวใสซื่อ บริสุทธิ์ดุจดอกบัวขาวตอแหลไม่ได้ จะพูดจาก็ต้องอ่อนโยนนุ่มนวล ตรงไปตรงมาอย่างนั้นเรอะ?
นี่พวกเขาไม่ใช่ว่าเข้าใจอะไรผิด เกี่ยวกับคำว่าเทพธิดาแล้วหรอกนะ!?
“เจ้าอธิบายแล้วก็ยิ่งดูเหมือนว่าเจ้ากำลัง คิดเพ้อเจ้อฝันลมๆแล้งๆ กับข้าอยู่จริงๆนั่นแหล่ะ เอาเถอะๆ เห็นแก่ที่เจ้าอุตส่าห์พูดจาอธิบายเสียมากมาย ก็ถือเสียว่า เจ้าสง่างามดั่งต้นไม้หยกไปซะก็แล้วกัน
“เจ้า……”
อะไรคือ ถือเสียว่าสง่างามดั่งต้นไม้หยกไปซะก็แล้วกัน ? เห็นอยู่ชัดๆว่า แต่ไหนแต่ไรมา เขาก็สง่างามดั่งต้นไม้หยกมาตลอดอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง
เขาถูกนางทำให้โกรธจนแทบกระทืบเท้าอยู่แล้ว
“อย่าเจ้าๆ อยู่เลยน่า นอกจากคำว่าเจ้าแล้ว ตัวเจ้าเองยังจะพูดอะไรได้อีก? ต่อให้จะพูดมากไปกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะข้าไม่มีทางจะถูกตาต้องใจในตัวเจ้าอยู่แล้ว”
พูดจบ
หลานเยาเยายังส่งยิ้มให้เขาอย่างยั่วยวน
“เจ้า……”
ชายคนนั้นกระทืบเท้าครั้งหนึ่ง หันหลังกลับไปมองราชครูเทียนเวิง ส่งเสียงเรียกอย่างติดจะออดอ้อนเล็กน้อยว่า “ท่านปู่ทวด ท่านดูสิ เทพธิดานางพูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล”
หลานเยาเยา: “….. “
แม่จ้าวโว้ย!
ปู่ทวด?
มีการใช้เส้นสายเล่นพรรคเล่นพวกซะด้วย!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางเห็นคนคนนั้นครั้งแรก ก็มีความรู้สึกว่า เจ้าคนนี้แต่งตัวแตกต่างจากคนอื่น ๆ อยู่บ้าง ที่แท้ก็ไม่ใช่ลูกน้อง แต่เป็นเหลน!
เพียงแต่……
ปู่ทวด?
เช่นนั้นอายุก็ต้องเยอะน่าดูแล้วน่ะสิ!
คิดไม่ถึงว่าราชครูเทียนเวิง จะมีกระทั่งเหลนแล้ว
ไม่น่าแปลกใจที่ราชครูเทียนเวิงถึงได้ร้อนใจ อยากรีบตามหาน้ำอมฤตที่ทำให้เยาว์วัย ไม่แก่ชราถึงเพียงนี้
ดูไปแล้วคนเมื่อครู่นั้น อายุอานามก็น่าจะประมาณยี่สิบได้แล้วกระมัง!
ในเวลานั้นเอง!
ราชครูเทียนเวิง ชำเลืองมองชายคนนั้นอย่างเย็นชา แววตาแห่งความไม่พอใจฉายวูบในดวงตาของเขา
“ เรียกว่าราชครูใหญ่”
“ ขอรับ ราชครูใหญ่” ปู่ทวดเคยบอกไว้นานแล้วว่า หากอยู่ข้างนอก จะต้องเรียกว่าท่านราชครูใหญ่เท่านั้น ไม่ว่าจะใครก็ต้องทำเช่นนั้นทั้งหมด
เมื่อครู่นี้เขาโกรธจนแทบบ้าแล้วจริงๆ
“เฮ้!” หลานเยาเยาคำนวณระยะเวลาโดยประมาณ รู้สึกว่าน่าจะสมควรกับเวลาที่คาดไว้แล้ว จึงถามคำถามสุดท้ายออกไปว่า
“เจ้าอายุเท่าไหร่?”
“ฮึ!” ชายคนนั้นแค่นเสียงอย่างเย็นชา ดูท่าทางเหมือนจะไม่อยากตอบคำถามของนาง แต่ช่วงเวลาที่นางหันกายมา ก็เอ่ยตอบคำถามโดยดี “สิบหก”
“ …. ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ดูรีบร้อนโตเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ นั่นล่ะ”
“ เจ้า … ” รู้แล้วล่ะว่าจะเป็นเช่นนี้
มุมปากของหลานเยาเยายกโค้ง คิ้วตาแย้มยิ้ม เพียงพริบตาก็เหินบินไปยังต้นบุพเพทันที
ราชครูเทียนเวิงเหมือนจะสังเกตเห็น ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เสียงอันแก่ชราจึงดังขึ้นอย่างเย็นชา
“ตรวจสอบค้นหาเป็นอย่างไรแล้วล่ะ?”
“ค้นหาไม่พบ” นางเอ่ยตอบอย่างเย็นใจสบายอารมณ์อย่างยิ่ง
“ เช่นนั้น คงต้องขอเชิญเทพธิดาไปกับข้าเสียหน่อยแล้ว”
พูดจบ!
ราชครูเทียนเวิงส่งสัญญาณทางสายตา สั่งการไปยังคนข้างหลัง
ผู้ใต้บังคับบัญชารับรู้สัญญาณนั้น จึงรีบพุ่งเข้าหาหลานเยาเยาทันที
เฮอะ!
คิดจะจับนางอย่างนั้นหรือ?
สายไปแล้ว
ตอนนี้ต่อให้เป็นราชครูเทียนเวิง มาจับนางด้วยตัวเอง ก็ยังนับว่าสายเกินไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะในขณะนี้ ห่อจื๋อจื่อ(ของที่มีบทบาทคล้ายไม้ขีดในสมัยโบราณจีน)ที่อยู่ในมือของนาง ได้ถูกเปิดออกแล้ว
และในเวลานี้นั่นเอง
เสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น: “อยากจะจับนาง คงต้องผ่านด่านพวกเราไปให้ได้เสียก่อน”
ทันทีที่เสียงนี้ดังออกมา ร่างชราหลายร่างซึ่งมีเคราสีขาวสั้นยาวต่างกัน ก็เหินบินออกมาร่อนลงไปยังต้นบุพเพ ขวางกั้นบรรดาคนที่กำลังจะขึ้นมาจับนาง
ด้วยเหตุนี้ !
มือของนางสะบัดวูบ ไม้ขีดก็ถูกเก็บกลับเข้าไปทันที
“ตาเฒ่าทั้งหลาย ทำไมพวกเจ้าถึงได้มาที่นี่กันหมดเลยล่ะนี่?”
หากนางไม่ได้ความจำเสื่อมล่ะก็ นางจำได้ว่า นางจัดการให้ตาแก่ไปอยู่ในตำหนักแล้วนี่นา? ส่วนตาเฒ่าคนอื่น ๆ เหล่านั้น ควรจะยังคงอยู่ใน สำนักหงอี ถึงจะถูก
ตาแก่ออกแรงหวดออกไปเพียงครั้ง ก็จัดการลูกน้องของราชครูใหญ่ ที่อยู่ห่างออกไปสองคนล้มลงไปนอนกองกับพื้น มือกุมตรงจุดที่โดนหวดใส่ ลุกขึ้นมาไม่ไหวอีก
ในเวลาอันรวดเร็ว
ตาใหญ่ ตารองและตาเฒ่าคนอื่น ๆ ที่เหลือล้วนต่อยตีบรรดาผู้คนที่พุ่งเข้ามา จนทั้งหมดล้มลงไปนอนกองกับพื้น
แต่ละคนมีสภาพจมูกเขียวใบหน้าบวมปูด หากไม่ใช่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเทพธิดาแล้วล่ะก็ นางคงจะปรบมือสนั่นแล้วร้องว่าดีไปตั้งนานแล้ว
ในเวลานั้นเอง!
ตาแก่จึงหันหน้ากลับมา เอ่ยตอบคำถามของนาง
“ที่หอมีข่าวส่งมาว่า มีคนต้องการจะทำร้ายเจ้า ดังนั้นพวกเขาทั้งหลายก็เลยรีบมากัน”
“ประมาทกันขนาดนี้เลยหรือ?” หลานเยาเยาสงสัยไม่น้อย
ทันทีที่พวกเขาได้รับข่าว พวกเขาไม่ได้ตรวจสอบถึงความน่าเชื่อถือของข่าวว่าถูกต้องแน่ชัดหรือไม่ เหล่าผู้บุกเบิกหอทั้งหมด กลับออกมาปรากฏตัวกันเช่นนี้?
นี่ไม่เหมือนรูปแบบยามปกติของพวกเขาเลยจริงๆ!
พวกเขาแต่ละคน ลึกลับว่องไวไม่ต่างจากวิญญาณลิงก็ว่าได้ เพราะเหตุใดจึงออกมาปรากฏตัวกันอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้?
คนที่ส่งข้อความถึงพวกเขา จะต้องเป็นคนที่พวกเขาไว้วางใจอย่างมาก
“ประมาทที่ไหนกัน ? พวกเราแก่จนกระดูกกระเดี้ยวเกินแกงแล้ว มองเจ้าเป็นเหมือนดั่งหลานสาวคนหนึ่ง หากเจ้าเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันมีอันเป็นไป พวกเราจะไปสู้หน้ากับ….. พวกเราจะไปกลั่นแกล้งใครได้กันเล่า?”
“พวกเจ้ามีความลับ” หลานเยาเยาเลิกคิ้วถาม
“พวกเราไม่มี !”
“ พวกเรากล้าที่ไหนกัน?”
“ เจ้าอย่าเดาส่งเดชน่า!”
“หากว่ามีจริงๆ ก็เป็นพวกเขาโน่นที่มี ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
……………….
ได้เห็นตาเฒ่ากลุ่มหนึ่ง แต่ละคนๆผลัดกันพูดคนละประโยค จากนั้นเมื่อพบว่า หนึ่งในนั้นพยายามจะพูดปัดความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับคนบางคน พวกเขาที่เหลือ แต่ละคนก็จะผลัดกันพูดปัดความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงอีกไปเรื่อยๆ
หลานเยาเยาถึงกับต้องกุมหน้าผากตัวเองอย่างเงียบงัน
หลังจากปรายสายตามองวูบผ่าน จนทุกคนรับรู้ได้ถึงแววตาอันเย็นชาของนาง พวกเขาก็ปิดปากเงียบเสียงลงในที่สุด แต่ละคนๆ เหมือนเด็กน้อยที่ทำความผิดอย่างไรอย่างนั้น
“กลับไปข้าค่อยจัดการพวกเจ้า!”