บทที่ 322 เจ้าก็คือสัญชาตญาณของข้า
ตอนที่อยู่ในบนสนามม้าหลวงนางได้บรรเลงบทเพลง《ซุ่มโจมตีสิบทิศ》ดังนั้นจึงปรากฏภาพสงครามการต่อสู้ขึ้น และมีภาพของหญิงสาวที่ถือกู่ฉินกระโดดกำแพงเมืองไป
ตอนอยู่บนต้นบุพเพ นางได้บรรเลงเพลง 《ห่านป่าร่อนถลาลงพื้นทราย》ก็เกิดภาพลวงตาขึ้นมาเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าในตอนสุดท้ายแล้ว กู่ฉินมันจะมีความคดวิธีการของมันเอง โดยการบรรเลงบทเพลงที่น่าสลดโศกเศร้าออกมา
แต่สุดท้ายแล้วภาพลวงตาก็ยังคงปรากฏขึ้นไม่ใช่หรือไร?
เช่นนั้นตอนนี้ควรจะบรรเลงบทเพลงอะไรภาพลวงตาถึงจะปรากฏออกมา?
คิดไปคิดมา หลานเยาเยาก็ยังคิดไม่ออก จึงตัดสินใจหันหน้าไปถามเย่แจ๋หยิ่ง
“ท่านคิดว่าในบรรยากาศเช่นนี้ เหมาะกับบทเพลงเช่นนั้นหรือ?”
เย่แจ๋หยิ่งที่ไม่ทันคิดสิ่งใด ก็พูดออกมาสอนคำ
“เยือกเย็น”
“……”
เอ่อ……
มีบทเพลงอันเยือกเย็นด้วยงั้นหรือ?
นางเคยฟังแต่บทเพลงเศร้า เพลงร่าเริง เพลงร็อค แต่ไม่เคยได้ยินเพลงเยือกเย็นมาก่อนเลย?
และแล้ว!
นางจึงส่งจิ่วเซียวหวงเพ่ยมาไว้ตรงหน้าของเย่แจ๋หยิ่ง พลางพูดอย่างยั่วยุ
“ท่านลองมาบรรเลงบทเพลงเย็นชาให้ข้าได้ฟังสักนิดเถอะ?ถ้าหากท่านบรรเลงออกมาได้ ข้าจะยอมเปลี่ยนชื่อสกุลเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น!รอยยิ้มก็ประกายออกมาจากแววตาของเย่แจ๋หยิ่ง เขารับพิณกู่ฉินจื่อหลิงมา แล้วโน้มตัวลงข้างหูของนาง พูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“เปลี่ยนชื่อสกุลไม่ดีนักหรอก ข้าว่าเจ้าควรจะเปลี่ยนมาใช้สกุลของข้าจะดีกว่า เจ้าว่าอย่างไร?”
หลังจากกล่าวจบ
เย่แจ๋หยิ่งกลับไม่ได้ถอยออกไป เพียงแต่ถอนหายใจเบาๆข้างๆหูของนาง แล้วใช้ปากสัมผัสหูของนางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลานเยาเยาหน้าเริ่มแดง หูร้อนวูบขึ้นมา พร้อมกับจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง
หมอนี่ ชอบทำเรื่องไร้ยางอายกับนางมากขึ้นเรื่อยๆเลย
ดังนั้น นางจึงเลี่ยงที่จะโดนการเกี้ยวพาราสีอันจงใจจากเขา แล้วพูดด้วยเสียงเรียบเฉย
“ไม่ว่าอย่างไรทั้งสิ้น!ท่านรีบบรรเลงเถอะ”
หากบรรเลงออกมาไม่ได้ ก็เตรียมรับบทลงโทษการระเบิดสามสิบหกกระบวนท่าของตระกูลหลานซะ!
ต้องทำให้เขาได้รู้ว่า การพูดเรื่องเช่นนั้นออกมา ไม่ใช่สิ่งที่จะมาล้อเล่นกับสตรีอย่างนางได้ นางหลงกลเพียงครู่เดียวเท่านั้น
“ยังไม่ได้ฤกษ์ที่ดี?”
สำหรับการเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วของนาง เย่แจ๋หยิ่งนั้นรู้สึกชินชาไปแล้ว แต่ครั้งนี้เขาก็ยังไม่รู้เดือดรู้ร้อนอะไรเช่นเคย]
“ยังต้องรอฤกษ์งั้นหรือ?บรรเลงไม่ได้ใช่หรือไม่?ไม่บรรเลงไม่ได้เป็นอันขาด ท่านเป็นผู้กล่าวเองว่าจะบรรเลงแบบเย็นชา ในเมื่อพูดออกได้ ท่านก็ต้องทำให้ได้”
“เยาเยา……”
“อย่าพูดมาก รีบบรรเลงเถอะ”
จริงๆเสียเลย ก็เพียงบรรเลงเพลงแบบเย็นชาที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อนเท่านั้นไม่ใช่หรือไร?ถ้าบรรเลงไม่ได้ นางก็ไม่เยาะเย้ยเขาหรอก จะไปยั่วโมโหเขาเสียเปล่า
ยังจะชักช้า ลีลาอีก
คิดจะทำการใด?
“อ๋อ!”
เมื่อเห็นว่ายังไม่ได้ฤกษ์ดี เย่แจ๋หยิ่งก็เริ่มไม่สนใจแล้ว
ทว่า!ในตอนที่จะเริ่มดีดบรรเลงกู่ฉิน สีหน้าของเย่แจ๋หยิ่งก็กลายเป็นนิ่งสงบ บรรยากาศโดยรอบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
แล้วความเหน็บหนาวอันเยือกเย็นก็คืบคลานเข้ามา จากนั้นนิ้วเรียวยาวของเขาก็ดีดลงไปบนสาย แล้วเสียงเพลงอันเยือกเย็นก็ดังขึ้นมา
“เต๊งๆๆๆๆๆๆ……”
ทันทีที่เสียงดนตรีดังขึ้นมา บรรยากาศโดยรอบก็เย็นตัวลงทันที แม้แต่หมอกที่อยู่เหนือพื้นน้ำแข็งก็แข็งตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ
จากนั้นเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดั่งเช่นหิมะ ล่วงหล่นลงมาท่ามกลางพื้นที่ที่ทั้งสองอยู่
“……”
พระเจ้าช่วย!
สุดยอด!
บทเพลงอันเยือกเย็น โทนเสียงอันเย็นเยือก ท่วงทำนองอันเย็นชา บรรยากาศอันหนาวเหน็บ ตามด้วยคนดีดบรรเลงกู่ฉินที่เย็นชา
ทุกอย่างล้วนเย็นยะเยือก
เหน็บหนาวจนขนลุกซู่ เส้นผมที่เกือบกลายเป็นน้ำแข็ง
คิดไม่ถึงว่าเย่แจ๋หยิ่งจะสามารถบรรเลงบทเพลงเยือกเย็นเช่นนี้ออกมาได้
เมื่อเห็นเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆโปรยปรายลงมารอบตัวของพวกเขา หลานเยาเยาก็ที่จะถูมือของตัวเองไปมาไม่ได้
แต่ว่า……
สถานที่หนาวเย็นเช่นนี้ บรรเลงเพลงอันเยือกเย็นเช่นนี้ ดีจริงๆหรือ?
สิ่งที่จะทำให้บรรยากาศแย่ลง ก็คงจะเป็นสิ่งที่พวกเขากำลังอยู่นี่เอง……
ไอ๊โย!
เย็นจริง!
แต่เพื่อการปรากฏของภาพลวงตา นางจะต้องอดทน แล้วก็อดทน
แค่คิดเรื่องดีๆไว้ ก็คงไม่หนาวแล้ว
ไก่ชิ้นใหญ่ๆ
เนื้อชิ้นใหญ่ๆ
ทองคำที่ร่วงมามาจากฟ้า
วัตถุดิบยาที่ล่องลอยเต็มท้องฟ้า……
เมื่อคิดถึงเรื่องฝันกลางวันเช่นนี้ ก็ทำให้ใจอุ่นขึ้นมาเยอะเลย
แม่จ๋า ก็ยังหนาวอยู่ดี!
แต่ว่า บทเพลงที่เย่แจ๋หยิ่งกำลังดีดบรรเลงอยู่นี้ ถึงมันจะหนาวเย็นจนเข้ากระดูกดำ แต่เมื่อฟังอย่างถี่ถ้วนแล้วมันก็ถือว่าไพเราะมากๆ
และแล้ว เวลานี้คนที่ดีดบรรเลงกู่ฉินที่เย็นชาอย่างไร้ที่สิ้นสุดอย่างเย่แจ๋หยิ่ง ซึ่งก็ไม่ต่างเทพเจ้าที่ลงมายังโลก ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกกลัวจนไม่อาจเข้าใกล้
แต่แล้วทันใดนั้น!
บทเพลงกู่ฉินอันเยือกเย็นก็หยุดลง แล้วเกล็ดน้ำแข็งที่โปรยปรายลงมาก็ละลายสลายหายไป พร้อมกับบรรยากาศอันเหน็บหนาวก็จางหายไปเช่นกัน
“เหตุใดถึงไม่บรรเลงแล้วเล่า?”นางถามอย่างไม่เข้าใจ
เย่แจ๋หยิ่งจึงหัวเราะออกมาเบาๆ ดวงตาฉายแววให้เห็นถึงความเอ็นดู พลางเอื้อมมืออันเรียวยาวขึ้นมาปัดเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนขนตาของนางออก แล้วมันก็ละลายหายไปทันที
“เพราะเจ้าใกล้จะกลายเป็นเจ้าก้อนน้ำแข็งไปแล้ว”
“เพราะท่านที่ทนหนาวไม่ได้ต่างหาก!” เมื่อกี้ทั้งขนตาและเส้นผมของเขาถูกเกาะด้วยเกล็ดน้ำแข็งต่างหากเล่า!
ได้ยินเช่นนั้น!
เย่แจ๋หยิ่งยกมุมปากขึ้น โดยไม่กล่าวสิ่งใด แล้วส่งจิ่วเซียวหวงเพ่ยคืนให้กับนาง
หลานเยาเยาที่รับกู่ฉินกลับมาพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น ไม่มีภาพลวงตาเกิดขึ้น บทเพลงนี้มีปัญหางั้นหรือ?
ดังนั้นนางจึงคิดบทเพลงอันล้ำเลิศขึ้นมา ทำนองนั้นทั้งไพเราะ และนางเองก็สามารถเล่นมันได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย
แต่ก็ยังไม่ปรากฏภาพลวงตาขึ้นมา
ดูท่าแล้วการใช้ประโยชน์จากจิ่วเซียวหวงเพ่ยในการสร้างภาพลวงตานั้น จะใช้ไม่ได้ผลกับกลไกของเขาวงกตแห่งนี้
แม้แต่!
บทเพลงที่ใช้ในการสร้างภาพลวงตายังใช้ไม่ได้ผล
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นเลย
หรือต่อให้หาเจแล้ว ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นภาพลวงตาของที่นี่ มีโอกาสที่จะเป็นภาพลวงตาแบบอื่น
อย่างเช่นตอนที่บรรเลงจิ่วเซียวหวงเพ่ยในสนามม้าหลวง ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นคือสงคราม
ในตอนบรรเลงบนต้นไม้บุพเพ ก็เป็นภาพลวงตาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นของต้นไม้บุพเพ
ถ้าหากเกิดภาพลวงตาที่นี่ ก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้เช่นกันว่าจะเป็นเรื่องราวความรักที่เจ็บปวดเรื่องใด
และแล้ว!นางก็มีความคิดผุดขึ้นมา
จึงได้บรรเลงก่อนหน้านี้ที่อาจทำให้เกิดภาพลวงตาอีกครั้ง ผลไปตามที่คาดคิดไว้คือ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่ท้อแท้ พลางเอามือจับคางเอาไว้ข้างหนึ่ง แล้วถอนหายใจ
“เอ๊ะ……”
“ดูแล้ววิธีการนี้จะใช้ไม่ได้ผล!”
“อย่างน้อยบทเพลงก็ไพเราะ”
เย่แจ๋หยิ่งและหลานเยาเยานั่งลงตรงข้ามกันบนเตียงเปลเคลื่อนที่ ซึ่งในตอนนี้เตียงเปลเองก็ค่อยๆเลื่อนช้าลง
เย่แจ๋หยิ่งจึงไขว้มือไปด้านหลัง แล้วปล่อยพลังภายในออกมาบนพื้นน้ำแข็ง ด้วยการกระทำเช่นนี้ทำให้เตียงเปลเคลื่อนไปได้เร็วยิ่งขึ้น
“ไพเราะ นั่นแน่นอนแล้ว แต่ไพเราะมีประโยชน์อะไรเล่า?สิ่งสำคัญของพวกเราในตอนนี้คือการหาว่ากลไกมันอยู่หนใด”
“เจ้าบรรเลงต่อไป อย่างไรเสียก็ไม่มีทางสิ้นสุดของอุโมงค์แห่งนี้ เรื่องหากลไกบนพื้นน้ำแข็งให้ข้าจัดการเถอะ
ความลับของพิณกู่ฉินจื่อหลิง คนธรรมดาทั่วไปยากที่จะเข้าใจได้ ไม่แน่มันอาจจะสามารถช่วยพวกเราหากลไกจนพบก็เป็นได้”
ได้ยินดังนั้น!ดวงตาของหลานเยาเยาก็เบิกกว้าง แววตาส่องสว่างมองไปยังเย่แจ๋หยิ่ง
“ท่านเชื่อข้าจริงๆงั้นหรือ?”
“ข้าเชื่อสัญชาตญาณเท่านั้น”ในขณะที่พูด รอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆยกขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเอนตัวไปข้างหน้า“และเจ้า······ก็คือสัญชาตญาณของข้า”