หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป – ตอนที่ 337 ฉินหลิงเจียวที่ตายอย่างน่าสังเวช

บทที่ 337 ฉินหลิงเจียวที่ตายอย่างน่าสังเวช

ฟังถึงตอนนี้ จื่อซีและจื่อเฟิงรู้สึกสั่นไปทั้งตัวเล็กน้อย

คุณหนู มักจะอบอุ่นหัวใจที่โดนแช่แข็งของพวกเขาอย่างอธิบายไม่ถูก

แบบนี้ดีจริงๆ!

และฮ่องเต้ก็หน้าแข็งไปครู่หนึ่ง สีหน้าซีดขาดเลือดในพริบตา ดีที่มีความอดทนเหนือคนอื่น ยังสามารถที่จะคงไว้ซึ่งรอยยิ้มได้

“เทพธิดาพูดถูก หากในเวลาที่เทพธิดาไม่อยู่พวกเจ้ากล้าที่จะ รังแกคนในตำหนักเทพธิดา เทพธิดาไม่จัดการพวกเจ้า ข้าก็จะจัดการพวกเจ้า”

หลังจากที่พูดจบประโยคนี้

ฮ่องเต้ก็เพิ่งจะเห็นองครักษ์วังหลวงที่ถูกตีจนเลือดเนื้อคลุมเครืออยากฟุบอยู่ที่พื้น ตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นชา……

“ข้าให้พวกเจ้ามาคุ้มกันคนของเทพธิดาให้ดี นี่พวกเจ้าทำอะไร? คิดไม่ถึงว่ากล้าที่จะยั่วยุให้เทพธิดาโกรธหนักถึงเพียงนี้?”

ในเวลานี้!

ขันทีผู้หนึ่งที่ติดตามอยู่ข้างกายของฮ่องเต้ ขึ้นไปข้างหน้าพูดเรื่องทั้งหมดออกมาด้วยแวตาที่มีความนัยมาก

ฮ่องเต้ที่เหมือนกับว่าเพิ่งรู้เรื่องจริง ยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธ หน้าดำดั่งก้นหม้อ สุดท้ายก็ถึบขันทีออกไปอย่างแรง กล่าวด้วยสีหน้าและอารมณ์ที่โกรธอย่างฉับพลัน

“ให้คนมา นำพวกสุนัขที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกลุ่มนี้ไปขังคุก”

“พะยะค่ะ!”

องครักษ์รับคำสั่ง รีบพุ่งไปข้างหน้าทันที นำองครักษ์วังหลวงที่อาการร่อแร่ออกไปทั้งหมด เหลือเพียงคราบเลือดยาวๆที่พื้น……

หลานเยาเยาหัวเราะอย่างเยือกเย็นออกมาเสียงหนึ่ง

ก็เห็นฮ่องเต้เดินไปด้านหน้าสองสามก้าว อยากเอ่ยปากถาม แต่กลับโดนหลานเยาเยาเปล่งเสียงขัดจังหวะ

“การรบราฆ่าฟันที่ดุเดือดเมื่อไม่กี่วันนี้ ข้าก็เหนื่อยแล้ว ขอตัวกลับตำหนักก่อนแล้ว”

ถึงแม้ว่าจะเป็นคำที่พูดกับฮ่องเต้ แต่ยังไม่ทันรอให้ฮ่องเต้ตอบ นางก็ได้เอ่ยกับจื่อซีและจื่อเฟิงแล้ว :

“พวกเรากลับตำหนัก”

“ขอรับ คุณหนู!” จื่อซีและจื่อเฟิงยกมือทำความเคารพแล้วตอบเป็นเสียงเดียวกัน

หลังจากที่หลานเยาเยาพวกเขาจากไป สีหน้าของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวอย่างหาเทียบไม่ได้ทันที เขากำหมัดแน่น มองขันทีที่คุกเขาอยู่ที่พื้นอย่างเคร่งเครียด

เขารู้ เมื่อสักครู่คำพูดสั้นๆที่รวบรัดหลอกคนที่มุงดูอยู่ยังไม่เป็นไร

โดยธรรมชาติแล้วเทพธิดาต้องไม่เชื่อเขาเป็นแน่

และเขาเอาองครักษ์วังหลวงเข้าคุก ก็เพียงเพื่อให้เขามีทางออกเท่านั้น

“เจ้าคนไร้ประโยชน์ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?”

“พะยะค่ะพะยะค่ะพะยะค่ะ” ขันทีที่โดนฮ่องเต้ตำหนิตกใจจนหน้าซีด รีบหนีล้มลุกคลุกคลานออกไปไกลๆ

เห็นขันทีท่าทางขี้ขลาดผู้นั้น ฮ่องเต้โกรธแค้นจน “หึ” แล้วเสียงหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปทันที

แน่นอน!

เขาไม่ได้รีบตามฝีเท้าของเทพธิดาไป แต่ไปห้องโถงอีกฝั่งดูอ๋องเย่บุคคลที่จัดการยากผู้นี้ กลับมาแล้วเหมือนกันหรือไม่

ออกจากสายตาของฮ่องเต้ ขณะที่เดินไปทางเชิงเขา หลานเยาเยาจึงได้ถามจื่อซี :

“ตาแก่กลุ่มนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

“คุณหนูวางใจ พวกเขาล้วนได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต”

“อืม! คนล่ะ?”

น่าจะกลับสำนักหงอีไปหมดแล้ว เช่นนี้เลี่ยงจากการเป็นที่สนใจ ราชครูเทียนเวิงก็หาพวกเขาไม่เจอ ยังสามารถรักษาบาดแผลได้อย่างสบายใจด้วย

แต่คำตอบของจื่อซีกลับเหนือความคาดหมาย

“พวกเขาบาดเจ็บค่อนข้างหนักจึงกลับตำหนักเทพธิดาแล้ว บาดเจ็บเล็กน้อยก็ยังอยู่สืบข่าวในวัด”

“โห้ว! ตาแก่เหล่านี้ เวลาที่ข้าไม่อยู่ก็พึ่งได้มากเลยนี่!”

กลับไปให้รางวัล

มีรางวัลหนักๆ!

มาใกล้ถึงที่จอดรถม้าไว้ เย่แจ๋หยิ่งที่สวมชุดผ้าไหมสีดำยืนอยู่ที่นั่นเงียบๆ ราวกับว่ากำลังรอใครอยู่

เขายืนรับลม แขนเสื้อโบกพลิ้ว มือไขว้หลัง ลำตัวสูงยาวหันข้างตามองไปยังที่ไกลๆ เพียงยืนอยู่ที่นั่น ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบๆก็ไร้สีสันสลดไปหมด

บางคราวมีผู้คนเดินผ่าน ก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขาภายในสามก้าว ล้วนอ้อมไปไกลๆ

หลังจากที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขา เย่แจ๋หยิ่งก็มองมา รอพวกเขาเดินมาใกล้ เขาก็เดินไปอยู่ในแถวเดียวกันกับหลานเยาเยาอย่างธรรมชาติ

นี่ทำให้หลานเยาเยางงงวยเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ หลานเยาเยาจึงได้หยุดฝีเท้าลง เอียงศีรษะไปทางเขาเล็กน้อย

“อ๋องเย่นี่หมายความว่าเช่นไร?”

“มาด้วยกันกับด้วยกัน” เย่แจ๋หยิ่งพูดด้วยความฉะฉาน

มางานวัดก็มาจากตำหนักของหลานเยาเยา กลับไปก็ต้องกลับไปพร้อมกันเป็นธรรมดา เช่นนี้มีอะไรไม่เหมาะสม

“นั่งรถม้า?” หลานเยาเยาขมวดคิ้ว

“อืม!”

“ข้าสนิทกับท่านมากหรือ?”

“……”

หลานเยาเยาพูดจบก็เดินไป ไม่เปิดโอกาสให้เย่แจ๋หยิ่งพูดแม้สักน้อย เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเย่แจ๋หยิ่งพูดด้วยเสียงต่ำหนึ่งประโยค

เหมือนกับกำลังพูดว่า “เข้าหอแล้วยังไม่สนิทอีก?”

น้ำเสียงงงงวยเบามาก บางทีจื่อซีและจื่เฟิงไม่ได้ยิน แต่หลานเยาเยากลับได้ยินแล้ว

นางเดินเซไปก้าวหนึ่ง เกือบจะหกล้ม

“แฮ่มแฮ่ม”

สุ่มสี่สุ่มห้าพูดเรื่องจริงอะไร?

แต่นางจำเป็นต้องอดกลั้นไว้ ความรู้สึกที่มีกับเย่แจ๋หยิ่งแม้จะมีความสัมพันธ์แบบก้าวกระโดด แต่ก็ยังอยู่การอยู่เคียงคู่กันไปอย่างยาวนานก็ยังขาดกลยุทธ์ที่สามสิบหกไปนะ!

ดังนั้น จำเป็นต้องอดกลั้นไว้

รถม้ายังเป็นรถม้าของนาง

สีก็ยังเป็นสีนั้น

เพียงแค่มีกลิ่นที่นางไม่พอใจเพิ่มมาอยู่บ้าง

“ตึกตัก” เสียงหนึ่ง

เลือดหยดหนึ่งหยดจากรถม้าลงสู่พื้น รวมเข้าด้วยกันกับเลือดสดสองสามหยดที่อยู่ที่พื้น

“ไปดูหน่อย!”

จื่อเฟิงก็พบความผิดปกติ ชักดาบออกมาทันที ไปด้านหน้ารถม้าอย่างรวดเร็ว ยื่นมือไปแหวกม่านออก

ตะลึงต่อภาพศพผู้หญิงที่พบเห็น นั่งอยู่ในรถม้าอย่างแปลกประหลาด ทั่วตัวของนางมีรอยแผลฉกรรจ์

โดยเฉพาะหน้าของนาง

ใบหน้าที่เดิมทีขาวละเอียด ตอนนี้กลายเป็นแผลมีเลือดไหลนอง ริมฝีปากที่ซีดขาวไร้เลือด ท่าทางที่ตายตาไม่หลับ ราวกับว่าโดนทรมานอยู่นานถึงได้หวาดกลัวจนตายไป

ดูจากเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน น่าจะเป็นหญิงเปราะบางรูปงาม

เหอะ!

คิดไม่ถึงว่าจะตายอย่างน่าอนาถในรถม้าของตัวเอง แบบนี้ก็น่าสนุกแล้ว

เมื่อจื่อซีและจื่อเฟิงเห็นภาพนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตาโพลง จากนั้นก็ส่งสายตาไปทางนาง

“คุณหนู!”

ราวกับว่าทั้งสองคนกำลังจะถามว่าจะทำอย่างไรดี?”

รอยยิ้มที่ยั่วยวนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลานเยาเยา “ทำอะไรไม่ได้!”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

ฮ่องเต้ องค์ชายรัชทายาท เจ้าอาวาสก็มากันแล้ว แม้แต่ราชครูเทียนเวิงก็มา และยังมีขุนนางบางคนที่มาร่วมงานวัดที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง

แน่นอน!

เย่แจ๋หยิ่งก็ไม่ได้จากไปตั้งแต่แรก ก็อยู่ด้วยเป็นธรรมดา

เมื่อราชครูเทียนเวิงมาเห็นนาง ในดวงตาไม่ได้มีความผิดปกติอะไร ราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนาง

จากนางแนะนำของฮ่องเต้ ทั้งสองก็พยักหน้าเล็กน้อย

ในดวงตาของแต่คนละมีแรงสังหารแวบผ่านแววตาแล้วอันตรธานไปทันที

จากนั้นอู่โจ้(ขุนนางผู้ชันสูตรศพในสมัยโบราณ)ก็มาชันสูตรศพ ผลสรุปสุดท้ายคือฆ่าด้วยความแค้น ตายมาแล้วเกือบสองชั่วยาม ผู้ตายคือคุณหนูสามลูกสาวของภรรยาเอกของสิงปู้ช่างชู–ฉินหลิงเจียว

ฉินหลิงเจียว?

ใครที่กล้าหาญได้ถึงเพียงนี้ ฆ่าคนแล้วยังซ่อนศพไว้ในรถม้าของนางอีก?

คงไม่ใช่คิดว่านางหายตัวไปแล้ว ฆาตกรฆ่าคนแล้ว ก็เอามายัดใส่รถม้าของนาง จะได้โยนความผิดให้นางหรอกนะ?

การโยนความผิดยัดของกลางได้อ่อนหัดขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือทำได้?

ในเวลานี้!

สาวใช้ข้างกายของฉินหลิงเจียวถูกจับมา พวกนางโดนมัดคอมัดมือไขว้หลัง ในปากยังมีเศษผ้ายัดไว้อีก

ผมเผ้ารุงรัง ตาบวมแดง จิตใจร่องรอย ค่อนข้างไม่ค่อยมีสติแล้ว

องครักษ์ของพระราชวังผู้หนึ่งขึ้นมารายงานข้างหน้า ขณะที่พวกเขาเจอพวกนางทั้งสองคนในห้องของฉินหลิงเจียวก็เป็นเช่นนี้แล้ว

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว : “นี่เรื่องเป็นมายังไง?”

องครักษ์ของพระราชวังส่ายหัวไม่รู้เรื่อง คนอื่นก็ส่ายหัวตาม……

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

ได้ยินมาว่าท่านอ๋องเป็นคนโหดร้าย เขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง?ไม่ใช่เลย ตั้งแต่เขาแต่งงานกับคุณหนูหกของจวนแม่ทัพก็เปลี่ยนไปแล้ว “เยาเยาร่างกายอ่อนแอ ไม่ชอบพูดคุย ข้าไม่วางใจให้เขาไปคนเดียว”รู้สึกอับอายนัก!พระชายาใช้ไม้ตีรัชทายาท นังเสแสร้ง ปากนั้นสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้ ยังไม่วางใจอีกหรือ?“เยาเยา นางไม่มีความรู้ที่เกี่ยวกับสงคราม ฝีมือทางการแพทย์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกเจ้าอย่ารังแกนาง”ทหารของฝ่ายศัตรูกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ทหารสิบหมื่นที่ถูกพระชายาวางแผนมาเป็นเชลยศึกกำลังรอการถอนพิษอยู่ นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ของพระชายาเย่ หรอ?“ เยาเยานางไร้เดียงสา ไม่เคยยุ่งกับคนอื่น” ทหารทั้งหลายเหลือบมองเจ้านายที่กำลังหลีกเลี่ยงเพื่อความรัก เจ้านาย จริยธรรมของท่านที่อยู่ไหน?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset