บทที่ 341 ปับปับปับคืออะไร
“อืม!” แน่นอนนางรู้ว่าเป็นนักฆ่าของยิงจวน เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงตามไล่ฆ่าสองคนนั้น “ไปช่วยสองคนนั้น จำไว้ว่า แอบช่วยอย่างเงียบๆ”
ไม่ว่าจะพูดอีกอย่างไร นางก็ถือว่าเป็นคนของเรือแห่งความสิ้นหวัง
และเจ้าของเรือแห่งความสิ้นหวัง——หานแส ก็เป็นพี่ใหญ่ของยิงจวน แน่นอนว่าการช่วยคนของนางนั้นไม่สามารถให้คนของยิงจวนรู้ได้ว่าเป็นนาง
“ใช่!”
จื่อเฟิงเป็นผู้นำทาง
หลานเยาเยาก็ขี่สวนหยู่ไปหลบอยู่ในความมืด……
แม้ว่าจื่อเฟิงจะยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บภายใน แต่ก็ยังสามารถรับมือกับยิงจวนยายเมิ่งทั้งสองคนและยังจัดการกับนักฆ่าศพแห้งได้
สำหรับสิ่งนี้!
หลานเยาเยาก็ไม่ได้กังวลเลยแม้แต่นิดเดียว
ตอนนี้นางนั่งอยู่บนพื้น พิงก้อนหินก้อนใหญ่ ที่ล้อมรอบไปด้วยใบเฮาเช่า ตราบใดที่ไม่ได้มายังด้านหน้าของหินก่อนใหญ่ ก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่ามีนางอยู่อย่างแน่นอน
หลานเยาเยานั่งไขว่ห้าง
หลังจากเงียบสงบ ก็รู้สึกหิวแล้ว จึงได้ไปหาในช่องว่างของระบบ พบว่าของกินได้กินไปหมดแล้วตั้งแต่ที่อยู่ในวังหิมะแล้ว และแม้แต่เศษก็ไม่มีเหลือเลย
“เฮ้อ หิวมาก!”
การรอใครบางคนในสภาพที่หิวโหย เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเรื่องหนึ่ง
ดังนั้น นางจึงได้แต่หาคนมาคุยด้วยเท่านั้น
แต่ที่นี่นอกจากตัวนางเองแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นเลย นางจึงได้แต่สื่อสารกับระบบได้เท่านั้น
“เจ้าระบบ การจะไปถึงระดับห้าจำเป็นต้องทำภารกิจแบบใดให้สำเร็จ”
หลังจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้เลื่อนระดับไปถึงระดับสี่ตั้งแต่สามปีก่อน ก็ไม่เคยได้รับการเลื่อนระดับขึ้นอีก นางจึงอยากรู้เล็กน้อยว่าจะต้องทำภารกิจใดถึงจะไปถึงระดับห้า
ใครจะรู้……
【เจ้านาย! ฉันเหนื่อยใจมากกับการที่จะต้องบอกท่านว่า ระบบได้เลื่อนระดับเป็นระดับห้ามานานแล้ว เครื่องมือทางการแพทย์และยาได้มีการแสดงให้ท่านแล้ว เพียงแต่ท่านไม่เคยตรวจสอบเลยเท่านั้นเอง】ระบบส่งเสียงที่น่าเบื่อหน่ายออกมา
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านายเบื่อ เดาว่าตนเองก็คงถูกลืมไปสุดขอบฟ้าแล้ว
อะไรนะ
เลื่อนระดับแล้วอย่างนั้นหรือ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน ทำไมตนเองไม่ได้รับข่าวสารใดๆ เลย
“คุณรีบพูดให้ชัดเจน จะต้องทำภารกิจอะไรจึงจะเลื่อนระดับได้ถึงระดับห้า ทำไมจึงรู้สึกว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลยก็มีการเลื่อนระดับแล้วล่ะ”
【……】เจ้าระบบปาดเหงื่อโดยไม่พูดอะไร
ยังไม่ได้ทำอะไรเลยหรือ
สิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ก็ล้วนทำหมดแล้ว
“ทำไมไม่พูดล่ะ รีบพูดสิ! ตกลงว่ามันคือภารกิจอะไร
【ปับ ๆ ๆ!】
“เป็นบ้าอะไร”
【ก็คือจะต้องมีการปับปับปับกับคนกรุ๊ปเลือด A3! ไม่ได้ว่าท่านนะเจ้านาย ภารกิจแบบนี้ในระหว่างที่กระบวนการของภารกิจจะสำเร็จ ท่านไม่ควรจะมาปิดกั้นฉัน】
ฉากที่ดุเดือดขนาดนี้ ไม่เห็นว่ามันจะเป็นอันตรายเลยสักนิด น่าเสียดายที่สุด
“……”
ใบหน้าของหลานเยาเยาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที ทำให้ฉากนั้นได้ปรากฏขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง จมูกก็ร้อนขึ้นในทันที ราวกับรู้สึกว่าจะมีเลือดกำเดาไหล
หลานเยาเยารู้สึกไม่ดี
สลัดภาพที่สกปรกในความคิดออกไปทันที และไอขึ้นเบาๆ
“โธ่ ในเมื่อภารกิจระดับห้าได้สำเร็จแล้ว และยังสำเร็จจนยอดเยี่ยมอีกด้วย
อย่างนั้นคุณบอกฉันมา ว่าภารกิจในการเลื่อนระดับระบบของระดับห้าคืออะไร และยังต้องเลื่อนระดับอีกกี่ระดับ จึงจะถือว่าระบบเลื่อนระดับเสร็จสมบูรณ์”
หลานเยาเยาอาจจะตรวจสอบเครื่องมือทางการแพทย์และตัวยาที่เพิ่งเปิดใหม่แล้ว ทำให้นางตกใจมากจนไม่ไหวแล้ว
ทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นสูง เช่น หนึ่งในเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่ง หากมีคนต้องการเปลี่ยนหัวใจ เพียงหาหัวใจที่เหมาะสมได้ จากนั้นนำไปใส่ไว้ด้วยกันกับคนก็ได้แล้ว
การทำงานอัตโนมัติทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเครื่องมือทางการแพทย์ที่ฝืนธรรมชาติ
แน่นอน!
สิ่งนี้จำเป็นต้องได้รับการประคับประคองความเข้มแข็งทางจิตใจอย่างมหาศาล
นอกจากเครื่องมือทางการแพทย์ที่ชาญฉลาดแล้ว ตัวยาที่เพิ่งเปิดใหม่ ก็แทบจะเหมือนกับยาขนานวิเศษ
ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นทันที
ดังนั้น!
นางจึงอยากรู้ว่าภารกิจในการไปถึงระดับหกนั้นคืออะไร
คงจะไม่สามารถช่วยคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้จริงๆใช่ไหม
【เจ้านาย ฉันจะบอกปัญหาที่หนักหน่วงปัญหาหนึ่งให้กับท่าน ระดับถัดไป ก็คือภารกิจของการเลื่อนระดับสู่ระดับที่หกซึ่งเป็นภารกิจการเลื่อนระดับขั้นสุดท้าย
สำหรับภารกิจนั้นคืออะไร ฉันยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนในตอนนี้ และหลังจากการเลื่อนระดับขั้นสุดท้ายเสร็จสมบูรณ์ จะเปิดเผยอะไรออกมาฉันก็ไม่อาจรู้】
เอ่อ……
แม้แต่การเลื่อนระดับขั้นสุดท้ายตัวระบบเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ คงจะไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม
หากเป็นเช่นนั้น ก็คงจะไร้สาระเกินไป
เดิมทีหลานเยาเยาต้องการให้เจ้าระบบบอกลาไป แต่กลับพบว่า……เจ้าระบบจึงได้บอกลาอย่างตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ในขณะนั้นเป็นอย่างดี
“……”
เป็นจริงอย่างที่คิด!
หลังจากการเลื่อนระดับใหม่นั้น เจ้าระบบก็พูดจาไม่เป็นกลไกแล้ว สมองก็ยิ่งฉลาดขึ้นเรื่อยๆ
ไม่เลวไม่เลว
หลังจากเจ้าระบบได้บอกลาไปเอง หลานเยาเยาก็รีบตรวจสอบสิ่งที่เพิ่งเปิดใหม่ทั้งหมด ยิ่งตรวจสอบก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
จึงหัวเราะออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ
“ฮ่าฮ่าฮ่า……”
เวลาผ่านไปเกือบจะครึ่งชั่วโมง หลานเยาเยาที่นั่งพิงก้องหินอยู่ก็ได้ยินเสียงของฝีเท้า
ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าใครกลับมา นางจึงหยิบยาเม็ดที่เพิ่งเปิดใหม่ออกมาหนึ่งเม็ด และยืนขึ้นด้วยหน้าตาที่งดงามและมีเสน่ห์
ยังไม่ทันจะเอ่ยปาก
ก็ทำให้คนที่มาต้องตกใจราวกับไก่พองขน และถอยออกไปหลายก้าว
“……”
ไม่ใช่จื่อเฟิง
สายตาของหลานเยาเยากลายเป็นแหลมคมขึ้นทันที เมื่อได้เห็นคนที่ตกใจกลัวจนปิดบังใบหน้าของตนเองคนนั้นได้เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
หลานเยาเยาก็กลอกตาใส่โดยตรง
เขาเป็นคนคุ้นเคยที่กวนประสาท ก็คือโม่เหลียงเฉิน
โม่เหลียงเฉินซึ่งมีเงาร่างของเทพธิดาอยู่แต่เดิม ตอนนี้กลับมีใบหน้าที่ซีดเซียวหมดแล้ว
หลังจากยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นเทพธิดา เขาก็ปกปิดหัวใจของตนเองที่กำลังจะกระโดดออกมา
“เทพ เทพธิดา!”
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หลานเยาเยาถาม
“ทำธุระนิดหน่อย” เพียงแต่ว่าถูกคนช่วงชิงไปก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยได้จัดการเรื่องต่างๆ
พูดจบ โม่เหลียงเฉินก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และรีบถามไปอย่างสงสัยทันที “เทพธิดาคงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนของยิงจวนใช่ไหม”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
หลานเยาเยามองไปยังโม่เหลียงเฉินอย่างดูแคลน มองเขาด้วยท่าทางที่กระอักกระอ่วน และยิ้มอย่างชั่วร้าย “ดูเหมือนว่าจะก่อเรื่องยุ่งมาสินะ!” เมื่อเห็นโม่เหลียงเฉินไม่ได้พูดอะไร หลานเยาเยาจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“มีอะไรกินไหม”
“มี มี” โม่เหลียงเฉินได้หยิบเสบียงอาหารนิดหน่อยออกมาจากถุงเล็กๆ ที่แขวนอยู่ที่เอว หลังจากมอบให้กับเทพธิดา จึงรู้ตัวในทันที
ทำไมเขาจะต้องให้นางกินด้วยล่ะ
แต่ ก็ได้ยื่นมือออกไปแล้ว และทันทีที่ยื่นมือออกไป เสบียงอาหารนั้นก็ได้ถูกหยิบไปแล้ว
หลานเยาเยากินไปหนึ่งคำ แววตาก็เปล่งประกายขึ้น
“ได้สิ!เสบียงอาหารมีแต่ของอร่อยทั้งนั้นเลย เอาสิ แบ่งให้เจ้า”
“โอ้ ดีเลย!”
เดิมทีโม่เหลียงเฉินไม่ได้รู้สึกหิว แต่เมื่อเห็นเทพธิดากำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย เขาก็รีบหยิบมากินโดยสัญชาตญาณ
เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันงดงามของเทพธิดา รวมทั้งรอยประทับรูปดอกไม้ที่สวยงามที่เบ่งบานบนใบหน้า ก็นึกขึ้นมาได้ถึงคำพูดที่เย่แจ๋หยิ่งได้พูดกับเขา
ดังนั้น!
หยิบเมล็ดแตงโม่ถุงเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ
“ต้องการสิ่งนี้ไหม”
ตอนนี้ หลานเยาเยาได้งอมุมปาก มองตรงไปยังดวงตาของโม่เหลียงเฉิน
“เจ้าก็รู้แล้วหรือ”
โม่เหลียงเฉินเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกันของเย่แจ๋หยิ่ง อีกทั้งเป็นคนสนิทเย่แจ๋หยิ่ง และเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียด เมื่อเห็นท่าทีนี้ของเขา ก็เดาได้ว่านางคือใคร
“เอ๊ะ”
โม่เหลียงเฉินไม่แน่ใจว่านางกำลังถามถึงอะไร
“ช่างเถอะ” หลานเยาเยาหยิบเมล็ดแตงโมถุงเล็กๆ ในมือ แทะเมล็ดแตงโมไปด้วยถามไปด้วยว่า “เจ้าเป็นคนมาช่วยอาฝูและโม่ซางหรือ”