บทที่ 358 สถานที่มีทรายดูด
“สิ่งที่ฮ่องเต้ได้ทำลายยาฉางตานคือเรื่องจริง และยาฉางตานที่นางฟ้าทำขึ้นมาก็ไม่ได้มีเพียงเม็ดเดียว แต่มีสองเม็ด
อีกเม็ดหนึ่งตกอยู่ในมือของเด็กทำยา ซึ่งเป็นผู้ช่วยนางฟ้าตอนทำยาฉางตานขึ้นมา เขาเป็นผู้ภักดีต่อนางฟ้ามาก
หลังจากรู้ว่านางฟ้าได้สิ้นชีวิตไปแล้ว เขาจึงได้ซ่อนยาฉางตานเม็ดสุดท้ายเอาไว้ จากนั้นก็มายังสถานที่เสียชีวิตของนางฟ้าและฮ่องเต้ เพื่อปกป้องสุสานของพวกเขา”
ในความเป็นจริงก็เป็นเพียงการปกป้องต้นบุพเพสองต้นที่โอบกอดกันและกัน
ก่อนที่เด็กทำยาจะเสียชีวิต เขาได้กำชับลูกศิษย์ จะต้องคอยปกป้องต้นบุพเพทุกยุคสมัย และเผยแพร่เรื่องราวความรักระหว่างนางฟ้าและฮ่องเต้ต่อไป ในคนรุ่นหลังได้จดจำเรื่องราวของพวกเขาตลอดไป
แต่!
เรื่องกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้
เนื่องด้วยชื่อเสียงที่ยิ่งมีมากขึ้นของต้นบุพเพ เรื่องราวของนางฟ้าและฮ่องเต้ กลับกลายเป็นเรื่องของวิญญาณประเภทหนึ่งบนต้นบุพเพ……
มีคนจดจำเรื่องราวของพวกเขาน้อยลงเรื่อยๆ ผ่านมาเพียงสองสามยุคก็มีไม่กี่คนแล้วที่ยังจำเรื่องราวของพวกเขาได้
หลังจากหลานเยาเยาบอกว่ายาฉางตานยังถูกเก็บรักษาไว้อีกหนึ่งเม็ด คำพูดประโยคหลังจากนั้นฮ่องเต้และไทเฮาก็ไม่ได้สนใจฟังอีกต่อไปแล้ว
คิดอยู่ตลอดว่าเทพธิดาจะบอกเบาะแสของยาฉางตานอีกเม็ดออกมา
หากพวกเขาได้รับมา อย่างนั้นพวกเขาก็สามารถจะมีชีวิตยืนยาวได้ตลอดไป
ดวงตาของราชครูเทียนเวิงยิ่งลึกขึ้นเรื่อย ๆ และมือที่เหี่ยวเฉาซึ่งซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ก็เริ่มสั่นเทา
ในที่สุด……
ในที่สุดก็มีข่าวคราวของยาฉางตาน
ยาฉางตานเป็นสิ่งที่ราชครูเทียนเวิงตามหามาตลอดชีวิต ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินทางไปในที่อันตรายมากมาย อาบเลือดไปหลายแห่ง ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมามากมาย
แต่……
เขาทุ่มเทไปก็มากแล้ว แต่ก็ได้รับเพียงความผิดหวัง
ตอนนี้ดีแล้ว เขาใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตเพื่อข่าวของมัน และก็ไม่ได้แตกต่างกับสิ่งที่เทพธิดาได้กล่าวมากนัก
สิ่งนี้จะไม่ทำให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร”
แต่ไม่นานนัก ราชครูเทียนเวิงก็สงบนิ่งลง
“ดูจากท่าทางแล้ว เทพธิดาคงจะรู้สถานที่ที่เด็กทำยาได้ซ่อนยาฉางตานไว้ในตอนนั้นแล้ว” เขาลูบเครายาวสีขาวดวงตาคู่นั้นที่แก่เฒ่าและชั่วร้ายได้จ้องมองมายังเทพธิดา
หลานเยาเยามองราชครูอย่างเฉยเมย ภายในดวงตาที่รีบเร่งและเปิดเผยอย่างชัดเจนของเขา จึงได้ส่ายหัว
“บนกำแพงน้ำแข็งนั้นไม่ได้เขียนสถานที่ที่เด็กทำยาได้ซ่อนยาเอาไว้ แต่มีการเขียนเบาะแสบางอย่าง”
มันง่ายมากที่จะรู้สถานที่ซ่อนของยาฉางตาน หลังจากราชครูเทียนเวิงหยุดตื่นเต้นแล้ว ก็จะต้องมีข้อสงสัยอย่างแน่นอน
ดังนั้น!
หลานเยาเยาจึงคิดใช้ภาพจิตรกรรมฝาผนังบนกำแพงน้ำแข็ง เป็นสถานที่ซ่อนเบาะแสของยาฉางตาน
“รีบบอกมา ข้าต้องการจะดูว่ายาวิเศษที่น่าอัศจรรย์นั่น จริงๆ แล้วถูกซ่อนอยู่ที่ใด”
“ใช่ ๆ ๆ สรุปว่ามีเบาะแสอะไรหรือ บอกมาสิ ข้าจะส่งคนไปช่วยเจ้าตามหา”
เมื่อเห็นว่าในดวงตาของไทเฮา และฮ่องเต้ มีท่าทางของความโลภ ในใจของหลานเยาเยาเย็นยะเยือกอยู่ภายในใจ
ช่วยหรือ
คิดอยากจะได้ครอบครองเป็นของตนเองนะสิ!
แต่ หากเป็นผลตามนี้ละก็ ดังนั้นนางจึงพูดขึ้น
“สถานที่มีทรายดูด ตรงกลางของป่ากลางทะเลทราย บนยอดของปราสาท”
แค่ก แค่ก
หลานเยาเยารู้สึกว่าตนเองก็มีศิลปะทางวรรณกรรมเป็นอย่างดี
นำภาพวาดจิตรกรรมทั้งสามภาพมาอธิบายวัตถุประสงค์
แต่!
คนที่ไม่เคยเห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นกลับสร้างความวุ่นวาย
ฮ่องเต้พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก็พึมพำขึ้นมา “แหล่งน้ำกลางทะเลทราย ปราสาทกลางแหล่งน้ำในทะเลทราย แปลกไปไหม ในแหล่งน้ำกลางทะเลทรายจะมีปราสาทได้อย่างไรกัน”
ไทเฮาก็ขมวดคิ้วแน่น คิดอย่างหนัก
ในทางตรงกันข้ามราชครูเทียนเวิงกลับสงบเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้คิดถึงความหมายของคำเหล่านั้น และมองไปยังเทพธิดาอย่างเงียบๆ
เป็นเพราะฮ่องเต้และไปเฮาต่างก็ติดอยู่กับปริศนาเหล่านั้น ดังนั้น หลานเยาเยาออกมาตั้งแต่เมื่อใด พวกเขาก็ไม่รู้เลย
เมื่อมาถึงปากประตูวัง
สวนหยู่ยังคงยืนอยู่ตรงรถม้าอย่างเป็นระเบียบ ก้มหน้าเหมือนกับม้าที่กำลังเบื่อ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า
มันจึงเงยหน้าขึ้นทันที เมื่อได้เห็นนาง ดวงตาของมันก็เปล่งประกาย ราวกับว่าจะคาดหวังการให้อภัยจากหลานเยาเยา
เดิมทีหลานเยาเยาไม่ได้โกรธมันจริง ๆ
อีกประการหนึ่ง
โกรธม้าตัวหนึ่งนะหรือ อย่างนั้นก็คงจะดูงี่เง่าไปหน่อย……
ดังนั้น!
มุมปากของนางก็ยกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะยกมือเพื่อกวักเรียกสวนหยู่ ให้มันเข้ามา
แต่ในขณะที่กำลังยกมุมปากขึ้นนั้น ก็ต้องทรุดลงทันที ดวงตาก็คมชัดขึ้นไปเรื่อย
ไม่รู้ว่าราชครูเทียนเวิงออกมาจากวังก่อนนางก้าวหนึ่งได้อย่างไร ตอนนี้ได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของนาง
ลมหายใจที่ดูอันตรายโชยเข้ามาราวกับทะเลที่เจอพายุ พายุและลมแรงนี้ ทำให้หลานเยาเยาหันหน้าหนีเล็กน้อย
หึ!
ก็รู้ว่าเขาต้องการมาขวางนางไว้
ไม่คิดว่าเขาจะกล้ามายืนขวางกั้นประตูวัง
ตอนนี้!
จื่อซีที่เดินตามหลังนางก็มีความกดดันอย่างมาก ยืนอยู่ตรงหน้าของนาง
หลานเยาเยาตบตรงไปที่ไหล่ของเขา ไม่ได้พูดอะไร แต่จื่อซีก็รู้อยู่แล้วว่าหมายถึงอะไร
ทันทีที่มองไปยังราชครูเทียนเวิงอย่างระวังตัว
จากนั้นก็เดินตามหลังหลานเยาเยาอย่างช้าๆ
“ราชครูใหญ่ บังเอิญอะไรเช่นนี้ พวกเราพบกันอีกแล้ว” หลานเยาเยากล่าวอย่างมีเสน่ห์
“ขอเวลาเทพธิดาสักหน่อย!”
คำพูดของราชครูเทียนเวิงยังคงสุภาพเกรงใจ แต่น้ำเสียงนั้นทำให้ไม่อาจปฏิเสธได้
“ได้สิ!”
คงไม่ได้อยากจะรู้การเตรียมการของนางหรอกนะ ง่ายๆนิดเดียว! ก็บอกเขาไปตรงๆ
อันที่จริงการขอตัวไปก็ไม่ได้ไปไหนไกล แค่ไปยังสถานที่ซึ่งคนของปกป้องประตูวังไม่ได้ยินก็เป็นใช้ได้
ไม่ไกลจากรถม้า
หลานเยาเยาและราชครูเทียนเวิงก็ยืนอยู่ตรงข้ามกัน หลานเยาเยาพูดขึ้นก่อน
“ราชครูใหญ่มีเรื่องอันใดหรือ”
“เบาะแสของยาฉางตานสำคัญเช่นนี้ ทำไมเทพธิดาจึงนำไปบอกคนอื่นกันเล่า” นี่คือจุดที่ราชครูเทียนเวิงยังสงสัย
ยาฉางตานสามารถทำให้ผู้คนมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะ ใครจะไม่อยากได้มาครอบครอง
หากมีการค้นพบเบาะแสเกี่ยวกับยาฉางตาน ก็จะต้องทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้คนอื่นรู้อย่างแน่นอน จากนั้นก็ออกตามหาแต่เพียงผู้เดียว
เทพธิดากลับทำตรงกันข้าม
วัตถุประสงค์มีเพียงสองประการ
ประการที่หนึ่ง ไม่มีเบาะแสของยาฉางตาน เทพธิดาเพียงต้องการใช้เรื่องของยาฉางตาน ช่วยให้เป้าหมายที่แอบแฝงอยู่สำเร็จลุล่วง
ประการที่สอง เทพธิดาเพียงแต่รู้เบาะแสของยาฉางตาน แต่ยังรู้ว่ายายาฉางตานถูกซ่อนไว้ที่ใด
ด้วยเหตุผลอื่นเล็กน้อย นางจึงต้องบอกคนอื่น ทำให้พวกเขากลายเป็นหินที่ใช้เหยียบไปข้างหน้า
“เหอ ๆ ๆ……”
หลานเยาเยาหัวเราะขึ้นเบาๆ
“ยาฉางตาน อาจจะทำให้คนกลายเป็นอมตะ! ใครจะไม่อยากได้ เพียงคิดอยากได้ ก็จะต้องยอมทุ่มทุกอย่างอยากเลี่ยงไม่ได้
แต่!
เด็กทำยาในตอนนั้นกล้าที่จะนำเอายาฉางตานไปซ่อนไว้ที่นั่น อีกทั้งยังผ่านมาตั้งหลายชั่วอายุคน ไม่มีใครรู้เบาะแสของยาฉางตานเลยแม้แต่น้อย และไม่เคยมีใครไปที่นั่น
หากจะพูดให้ชัดอีกสักหน่อย ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่น่ากลัวเหมือนนรก
นอกจากนี้ ตั้งแต่โบราณมา สถานที่ใดที่ปรากฏว่ามีของวิเศษ ก็จำเป็นต้องมีสิ่งชั่วร้ายคอยปกป้อง
ข้าเสียดายพรสวรรค์ ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ล้วนมีแต่ความรู้ ทำไมถึงยังต้องให้พวกเขามาโยนหินถามทางได้!
เจ้าคิดว่าใช่หรือไม่ ราชครูใหญ่”
“ยาฉางตานอยู่ที่ไหน” นางจะต้องรู้แน่นอน
ราชครูเทียนเวิงหรี่ตาลง
บรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นรังสีแห่งความอันตรายก็ปรากฏ ดูคล้ายจะบังคับให้นางบอกที่อยู่ของยาฉางตาน
หลานเยาเยายกมุมปาก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มีบางเรื่อง ที่จะทำสำเร็จไปทุกครั้ง นอกจากนี้ หากข้าบาดเจ็บ ก็อาจจะต้องค่อยๆ รักษา การรักษาอาจต้องใช้เวลาเป็นสิบปี ก็ไม่ใช่ปัญหา”
อย่างไรก็ตามข้าก็สามารถจะรอได้ ราชครูใหญ่จะรอได้หรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้”
คำพูดดูหนักแน่น
ดูเหมือนว่าจะไม่มีราชครูเทียนเวิงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย……