บทที่ 370 ทำได้ดีมาก
หลังจากนั้นชั่วครู่หนึ่ง!
ยู่หลิวซูก็พบกับความประหลาดใจ เทพธิดาให้ยาเขามาทา ชั่งวิเศษมากจริงๆ
ทาบนนิ้วมือ ก็หายเจ็บทันที และยังมีความรู้สึกเย็นๆ ราวกับว่าพรุ่งนี้จะสามารถดีขึ้นเป็นปลิดทิ้งจริงๆ
หลังจากที่ประหลาดใจเล็กน้อย
ยู่หลิวซูก็ทำสีหน้าปกติ เพราะว่าจะต้องพูดเรื่องที่เป็นทางการแล้ว……
ภายใต้สายตาของหลานเยาเยา
ทีแรกยู่หลิวซูก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หลังจากที่โดนเพ่งเล็งอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กลับรู้สึกเกร็งขึ้นมานิดหน่อย
“เทพธิดา……”
“องค์ชายสี่แขวนคอตัวเองจริงหรือ?”
เมื่อยู่หลิวซูเริ่มเปิดปาก หลานเยาเยาก็รีบพูดขึ้นทันที
เสียงเรียบๆของนาง น้ำเสียงที่สงบนิ่ง เหมือนกับว่าเพียงแค่พูดคุยกับเขาเท่านั้น
ได้ยินดังนั้น!
ในสมองของยู่หลิวซูก็ปรากฏภาพขึ้นมาภาพหนึ่งในทันที :
เขาใส่ชุดเดินทางยามราตรี แอบลอบเข้าไปในตำหนักองค์ชายสี่ จากนั้นก็ตีองค์ชายสี่ที่ขยับตัวไม่สะดวกสลบ จากนั้นก็เอาเขาไปแขวนไว้ที่ผ้าขาวที่มัดไว้แน่น จนเสียชีวิต……
นึกถึงตอนนี้ สีหน้าของยู่หลิวซูไม่ได้เปลี่ยน เปิดปากพูดอย่างเรียบๆ :
“ไม่รู้ เมื่อคืนข้าน้อยอยู่ในห้องโดยตลอด”
“รู้หรือไม่ว่าทำไมเมื่อวานองครักษ์คุ้มกันสองคนของข้าถึงไม่ได้อยู่ข้างกายของข้า?”
เพราะว่านางได้จัดการให้พวกเขาไปที่ตำหนักองค์ชายสี่ คอยเฝ้าระวังไว้ทั้งวันทั้งคืน เป้าหมายง่ายมาก กำลังตกปลาตัวใหญ่
เป็นไปตามคาดการณ์!
ยังถูกพวกเขารอจนพบเข้าจริงๆ
มือเรียวยาวที่อยู่ในแขนเสื้อของยู่หลิวซูบีบแน่นขึ้นอย่างกะทันหัน และทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตากับสายตาของนาง
เขาไม่พูดจาอยู่นาน ในดวงตามีแสงแวววาวเคลื่อนไหว
“อย่าหวังในใจแม้แต่น้อยว่าจะโชคดีโดยบังเอิญ เหมือนที่เจ้าคิด พวกเขาตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าจนถึงวันนี้ตอนเช้าตรู่ ล้วนเฝ้าอยู่ที่ตำหนักองค์ชายสี่ เมื่อคืนเมื่อเลยช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง ก็มีเงาคนผู้หนึ่งแอบย่องเข้าไป จากนั้นก็ตีองค์ชายสี่สลบ และแขวนเขาไว้ด้วยผ้าขาว หลังจากนั้นคนผู้นั้นก็ออกไปจากตำหนักองค์ชายสี่ กลับมาที่ตึกฟังงิ้วอย่างรวดเร็ว เข้ามาที่ห้องนี้……”
พูดถึงตรงนี้
สีหน้าที่เดิมทีไม่รู้สึกไหวติงใดๆของยู่หลิวซูก็เริ่มซีดขาว ลูกกระเดือกขยับนิดหน่อย ข้างหลังมีเหงื่อเย็นๆผุดขึ้นไปทั่ว
“ข้า……”
“เจ้าเพื่อที่จะไม่ทำให้คนอื่นสงสัย จงใจหลังจากที่กลับมาแล้ว แสร้งทำเป็นตื่นกลางดึก ยังจงใจเรียกหนุ่มรับใช้มารับใช้เจ้า เพื่อใช้ตรงจุดมายืนยันว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์”
ยู่หลิวซูคิดอยากจะแก้ตัว ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
และเดินไปข้างเตียง หยิบกล่องไม้ธรรมดาๆกล่องหนึ่งออกมาจากบนเตียง จากนั้นก็มาข้างหน้าของหลานเยาเยา
“ผึบ” เสียงหนึ่ง
เขาเปิดกล่องไม้ออก ข้างในมีของเล่นเด็กเก่าๆอยู่สองสามอย่าง มีเครื่องประดับตั๋วเงินอยู่บ้าง
ของที่วางอยู่ในกล่องไม้เหล่านี้ก็ปกติเป็นที่สุด
ดังนั้น!
หลานเยาเยาได้เพียงมองดูนิ่งๆ รอคอยการกระทำต่อจากนี้ของเขา
เห็นเพียง
ยู่หลิวซูจึงได้ปิดกล่องไม้ลงอย่างรวดเร็ว และไม่รู้ว่าเขาลงมือทำอะไร แล้วได้เปิดกล่องไม้ขึ้นอีกครั้ง ของที่อยู่ข้างในกล่องไม้ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ไม่ใช่เงินทองและของเล่นเด็กอีกต่อไป แต่เป็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ผับไว้หนาๆ
เก่าใหม่เหมือนเหมือนกัน เล็กใหญ่ไม่เหมือนกัน
ด้านบนเขียนไว้ด้วยตัวอักษรเต็มไปหมด
สามารถมองออกได้ ลายมือเหล่านั้นไม่ใช่คนคนเดียวกันเขียน
มีบางลายมือที่เอียงไปมาอ่านยากเป็นอย่างมาก มีบ้างที่เขียนได้อย่างเรียบร้อย และมีบ้างที่เขียนได้น่าอ่านมาก
ยู่หลิวซูหยิบออกมาครึ่งหนึ่ง ยื่นไปข้างหน้าหลานเยาเยา
“เหล่านี้เป็นกระดาษร้องเรียนที่ประชาชนร้องเรียนองค์ชายสี่ทั้งหมด พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่ใช่คนของเมืองหลวง เมื่อไปถึงที่ว่าการท้องถิ่นก็ล้วนไม่สามารถยื่นฟ้องร้องได้ ยังจะโดนรังแกทุบตีอีก
ข้าฆ่าเขา ก็เพื่อกำจัดบ่อนทำลายให้ประชาชน เช่นนี้ก็ไม่สามารถทำได้เลยหรือ?”
หากว่าเอากระดาษคำร้องเรียนเหล่านี้และหลักฐานความผิดไปฟ้องร้อง จุดจบก็จะเป็นเหมือนกับคนก่อนหน้านี้ที่ไปร้องเรียนที่ว่าการ
แม้ว่าจะร้องเรียนไปถึงฮ่องเต้แล้วจะทำอย่างไรได้?
ฮ่องเต้จะไม่รู้แจ้งเลยเชียวหรือว่าลูกชายของตัวเองเป็นคนเช่นไร?
หรือว่าคำร่ำลือในตลาดเหล่านั้นเขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?
น่าขำ!
เขาเพียงทำเป็นเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งไว้ก็เท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง!
พวกเขาเป็นราชนิกุล ราชนิกุลก็ควรจะอยู่สูงส่งไปอีกขั้น
แม้ว่าจะเอากระดาษคำร้องเรียนทั้งหมดไปวางไว้หน้าฮ่องเต้ อย่างมากผลสุดท้ายก็แค่เรียกองค์ชายสี่มากักบริเวณหรือขังไว้
แต่คนบริสุทธิ์ที่ตายไปเหล่านั้น……
แม่นางที่ถูกเขาย่ำยีเหล่านั้น……
จะสามารถทำอะไรได้อีก?
หลานเยาเยาพยักหน้าเล็กน้อย
นิ้วมือเคาะที่แขนเบาๆ มองเขาด้วยแววตานิ่งๆเรียบ พูดอย่างแผ่วเบา :
“ข้าอยากฟังเรื่องจริง”
แม้ว่ายู่หลิวซูจะพยายามอย่างที่สุดที่จะเก็บรวบรวมหลักฐานความผิดเหล่านี้ แต่เดิมทีความตั้งใจของเขาไม่ได้เพื่อจะช่วยขจัดทำลายความคับแค้นใจของประชาชนที่ได้รับความไม่เป็นธรรม แน่นอนว่าก็ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ข้อนี้ไป
คราวนี้ยู่หลิวซูเงียบไม่พูดจาแล้ว
คำพูดที่แท้จริง! ?
หลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่พี่คนโตตายไปแล้ว การพูดความจริงก็เป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเรื่องหนึ่งสำหรับเขา
“ช่างเหอะ เจ้าไม่พูดก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับการตายขององค์ชายสี่ ข้าพูดได้เพียง……” หลานเยาเยาขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชา ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่ออีก : “ทำได้ดีมาก!”
สถานการณ์กลับตาลปัตรไปหมด ยู่หลิวซูรู้สึกค่อนข้างตะลึงงันอย่างกะทันหัน ความคิดก็เหมือนกับไหมพรมที่พันกันยุ่งเหยิงไปหมด
ทำได้ดีมาก?
อะ สถานการณ์อะไร?
หูของเขาไม่ได้ฟาดไปนะ?
“เพียงแต่วิธีการตายเช่นนั้นของเขาจะดึงดูดให้คนอื่นเกิดความสงสัย และร่องรอยที่เจ้าทำไว้ก็ค่อนข้างชัดเจน แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าได้จัดให้คนไปจัดการอย่างสะอาดแล้ว”
คราวนี้
ยู่หลิวซูเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจอยู่ที่สุด
สภาพจิตใจของเขาเริ่มจะสับสน จนถึงค่อยๆสิ้นหวัง แล้วก็ถึงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตะลึง สุดท้ายก็ตกตะลึงอย่างที่สุด
เพียงแค่ในเวลาชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น
จิตใจของเขาขึ้นๆลงๆ อยู่ไม่เป็นสุข ราวกับว่าหลังจากที่ประสบเข้ากับความทุกข์ทรมานดั่งตกนรก ฉับพลันทันใดนั้นก็พบว่าเป็นเพียงแค่ความฝันหนึ่งเท่านั้น
“ตุ๊บ” เสียงหนึ่ง
ยู่หลิวซูคุกเข่าลงกับพื้น ดวงตาเริ่มแดงเล็กน้อย
“ขอบพระคุณบุญคุณอันยิ่งใหญ่คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของเทพธิดา ข้าน้อยซาบซึ้งในบุญคุณอย่างสุดซึ้งขอรับ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องซาบซึ้งในบุญคุณ ข้าทำความดีเดิมทีก็ไม่ได้ต้องการการตอบแทน”
โดยปกตินางปฏิบัติหน้าที่ก็ล้วนมีจุดประสงค์
แหะแหะ!
ยู่หลิวซูได้ถูกนางเพ่งเล็งแล้ว
“ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องบอกข้า ในคดีการตายของฉินหลิงเจียว เจ้าเข้าร่วมด้วยมากน้อยเท่าไหร่แล้วล่ะ!”
หากว่ายู่หลิวซูผู้นี้ยังไม่ยินยอมจะพูดอีก
เช่นนั้นนางก็เกิดความรู้สึกล้มเหลวอย่างมากจริงๆแล้ว
รอบนี้ยู่หลิวซูกลับพูดออกมาอย่างไม่ลังเลแล้ว
ที่แท้!
ท่าทีของหลินเฟยหรันต่อยู่หลิวซู หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าครอบแผ่นดินขึ้นในช่วงเวลาเพียงคืนเดียว ยู่หลิวซูก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว
หลังจากที่ฉินหลิงเจียวมาพบเข้าว่ากำลังเที่ยวเล่นอยู่กับหลินเฟยหรันอยู่ ยู่หลิวซูก็พบว่าหลินเฟยหรันระเบิดโทสะได้ง่าย ระแวงคิดไปเรื่อยเปื่อย
เขาก็ยิ่งแน่ใจในความสงสัยของตัวเอง
หลังจากนั้น ท่าทีของฉินหลิงเจียวที่มีต่อเขาจากเหยียดหยาม หลังจากใช้คำพูดที่ไม่ดีด้วยแล้วกลับแปรเปลี่ยนเป็นลุ่มหลงอย่างบ้าคลั่งแบบกะทันหัน
เขารู้จากการแอบสำรวจ หลินเฟยหรันและฉินหลิงเจียวก็ล้วนปรากฏ สภาพการณ์พูดเองเออเองกับอากาศ เขาถึงได้รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องราว
ดังนั้น ก่อนงานวัดหนึ่งวัน
หลินเฟยหรันและฉินหลิงเจียวก็ล้วนได้เชิญเขาเข้าพบที่งานวัดตามลำดับก่อนหลัง เขาก็รีบปฏิเสธแล้ว
แต่ว่า!
เมื่อถึงตอนกลางคืนเขายังแอบไปวัดที่ได้จัดงานวัด
คืนนั้นเขาเห็นหลินเฟยหรันไปป่าไผ่ พบกับองค์ชายสี่ที่สลบไม่ได้สติอยู่ที่พื้น หลินเฟยหรันได้เกิดระเบิดโทสะออกมาอีกครั้ง
ก็เอายาพิษกรอกเข้าในปากขององค์ชายสี่โดยตรง
จากนั้น หลินเฟยหรันก็เห็นยู่หลิวซูเข้า ยังพูดจาแปลกประหลาดอีกเป็นกอง และยังเอากระดาษแผ่นหนึ่งให้เขาดู
เวลานั้น……
หลินเฟยหรันที่ร่างกายสั่นสะท้าน ดวงทั้งสองข้างได้ร้องไห้หลั่งน้ำตาอย่างคนที่ปวดร้าว