บทที่371 ท่าขั้นแรก
“หลิวซู ข้าเกลียดเขา ข้าเกลียดเขาแทบตาย ข้าจึงอยากวางยาพิษเขา.ยังดีที่มีเจ้าอยู่ข้างกายข้า ยังดีว่าคนที่ส่งกระดาษแผ่นนั้นมาคือเจ้าจริงๆ
ถ้าเหมือนเมื่อก่อนคนที่มาคือองค์ชายสี่ ตอนนี้ข้าจะต้องโมโหโกรธมากๆ ยังดี ยังดี ยังดีที่ครั้งนี้เป็นเจ้า
ฮือๆๆ……”
หลินเฟยหรันทั้งตื่นตระหนก ทั้งเจ็บปวดโผเข้าอ้อมกอดของยู่หลิวซู
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มององค์ชายสี่ที่มุมปากเป็นสีดำนอนอยู่ที่พื้นนิ่งๆ จากนั้นก็ค่อยๆมองกระดาษเล็กๆในมือ
นี่คือสิ่งที่หลินเฟยหรันเพิ่งให้เขาเมื่อครู่
สิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นก็คือ ‘เขาเชิญหลินเฟยหรันมาเจอกันที่ป่าไผ่’ลายมือนั้นแทบจะเหมือนกับเขา
แต่ว่าเขาไม่เคยเขียนกระดาษแผ่นนี้มาก่อน……
เมื่อตระหนักถึงตรงนี้ ยู่หลิวซูก็ปลอบหลินเฟยหรัน กลับไปที่ห้องปีกกับนางก่อน จนกระทั่งตอนที่เขากลับมาจะจัดการองค์ชายสี่
ก็พบว่าองค์ชายสี่ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
เขายังไม่ทันได้ไปสืบหาทิศทางที่องค์ชายสี่หนีไป ก็ต้องพบเข้ากับนักฆ่าที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจำนวนมากกำลังวิ่งมาทางต้นบุพเพอย่างรวดเร็ว
เขาที่รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ผิดปกติ ก็รีบตามไป
หลังจากนั้น เขาก็เห็นเทพธิดาผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง
ใช้เสียงพิณสู้กับกลุ่มนักฆ่าทีละคน ให้พวกเขาฆ่ากันเอง
จนเกือบจะถูกคนอื่นพบ เขาถึงรีบจากไป
เขารู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ จึงไปกำชับหลินเฟยหรันว่าพรุ่งนี้เช้าให้รีบกลับไปที่จวนก่อน หลังจากนั้นค่อยลงเขาในยามราตรี
แต่ว่า……
ในวันที่สองเทพธิดากับอ๋องเย่ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
คนในอารามก็ถูกคุมตัว อารามถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนา หลินเฟยหรันลงเขาไม่ได้แล้ว เขาก็ไม่สามารถขึ้นเขาไปตรวจดูสถานการณ์ได้
หลังจากนั้น ก็พบศพของฉินหลิงเจียวในรถม้าของเทพธิดา
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในทิศทางที่คาดไม่ถึง
ดังนั้น!
ในตอนที่เทพธิดามาหาเขาที่ตึกฟังงิ้ว เขาก็ตั้งใจทดสอบทุกวิถีทาง ดึงดูดความสนใจของเทพธิดา จากนั้นก็บอกเบาะแสทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ……
แม้รู้ว่ามันจะเป็นการจุดไฟเผาตัวเอง แต่เขาก็ยังตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะฆ่าองค์ชายสี่
หลังจากพูดจบ
จู่ๆยู่หลิวซูก็รู้สึกสบายๆ มุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“แล้วเจ้ามีแผนคิดจะทำอะไรต่อจากนี้? ดูจากสถานการณ์วันนี้แล้ว พวกลูกชายลูกสาวของคนพวกนั้นต้องติดคุก ต้องตาย พวกเขาต้องไม่ยอมรามือแน่
อย่างไร คดีการตายของฉินหลิงเจียว เจ้ายังดีอยู่ ใจพวกเขายากจะสงบ ความโกรธยากจะหาย
ไม่ทำอะไรเจ้าในที่แจ้ง ไม่ฆ่าเจ้าในที่ลับก็ต้องไล่เจ้าออกไปจากเมืองหลวง ทั้งนี้เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ต้องผ่านไปผ่านมาอยู่ในสายตาพวกเขา ให้พวกเขารู้สึกขัดลูกหูลูกตา”
มีบางคนก็เป็นแบบนี้
เมื่อตนเองผิดหวังท้อใจ แต่เห็นคนอื่นไม่เป็นอะไร ก็จะคิดทุกวิธีเพื่อให้คนนั้นน่าเวทนาเหมือนตนเอง หรือยิ่งกว่านั้น
เมื่อเป็นแบบนี้ ในใจของพวกเขาถึงจะรู้สึกสมดุล
ยู่หลิวซูฝืนยิ้ม
นี่เป็นสิ่งที่เขารู้ แต่เขาจะทำอะไรได้?
นัยน์ตาของยู่หลิวซูประกายความเศร้าขึ้นมา จากนั้นก็พูดอย่างหนักแน่นว่า:
“ข้าไม่ยอมไปจากเมืองหลวงเด็ดขาด”
ไปจาก?
หลานเยาเยายิ้ม
คนที่นางอยากได้ ไม่ว่าเขาจะยอมหรือไม่ยอมไปจากเมืองหลวง ถึงแม้ว่าเขายอม นางจะปล่อยให้เขาไปจากเมืองหลวงได้ยังไง?
“ไม่แน่ จะต้องไปจากเมืองหลวงถึงจะสามารถทำให้เรื่องนี้สงบได้”
“เทพธิดาโปรดชี้แนะ”ยู่หลิวซูรอคอย
“ที่จริงง่ายมาก คนอย่างพวกเขาเป็นคนที่ชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่กลัวคนที่แข็งแรง เจ้าแค่ต้องหาคนหนุนหลัง คนที่พวกเขาไม่กล้ายั่วยุ เรื่องต่างๆก็จะคลี่คลาย”
เมื่อยู่หลิวซูได้ยิน
คิ้วที่บิดเบี้ยวก็คลายลง แต่ก็ต้องขมวดขึ้นอีกครั้ง
สิ่งที่เทพธิดาพูดนั้นเป็นวิธีที่ดี
แต่ว่า……
ทุกคนต่างก็รู้ว่าเบื้องหลังของเจ้าของตึกฟังงิ้วก็คือเซียวซื่อจื่อ และเขาก็เป็นหัวแรงใหญ่ของตึกฟังงิ้ว พวกเขาต้องนึกว่าเขาคือคนของเซียวซื่อจื่อแน่
แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น คนพวกนั้นก็ยังกล้าทำลายอย่างโจ่งแจ้งในตึกฟังงิ้วเลย……
หรือจะบอกว่า คนที่มีสถานะเหมือนเซียวซื่อจื่อ ยังไม่เพียงที่จะทำให้พวกเขาไม่กล้ายั่วยุ?
คิดๆไปก็เป็นเช่นนั้น
แม้เซียวซื่อจื่อจะเป็นซื่อจื่อของจวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์ แต่อีกฝ่ายก็เป็นถึงขนาดสิงปู้ช่างชู,ไท่ฟู่ คนระดับฮ่องเต้
ยิ่งไปกว่านั้น
จวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์ในตอนนี้ เป็นเพียงแค่เรื่องในราชสำนัก
ความน่าเกรงขามก็ไม่เท่าตอนนั้นแล้ว ดังนั้นคนพวกนั้นจึงไม่ค่อยหวั่นกลัวมากนัก
“ขอเทพธิดาโปรดบอก!”
เอ่อ……
หลานเยาเยาแอบกลอกตาใส่เขา แววตามีความจนปัญญา
ยังบอกไม่กระจ่างพออีกหรอ?
แต่ก่อนไม่ใช่ว่าค่อนข้างฉลาดรึ?
หรือหลังจากพบนาง ไอคิวก็หายไป?
ดังนั้น!
หลานเยาเยาจึงเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า!
“ทั้งประเทศก่วงส้านี้ คนที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็ต้องเคารพคือใคร?”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง
หลานเยาเยาก็ยืดหน้าชูคอ ทำท่าทางสูงส่ง รอให้ยู่หลิวซูพูดชื่อตนเองออกมา
ใครจะรู้……
สิ่งที่ยู่หลิวซูโพล่งออกมาก็คือ: “อ๋องเย่!”
“……”
ข้าหล่ะ?
ถูกเจ้ากินไปแล้วรึไง?
ภายใต้ความจนปัญญา หลานเยาเยาจึงทำได้เพียงแต่พูด: “……ใช่ ก็คืออ๋องเย่”
“แต่ว่าอ๋องเย่……”
“แค่มีปณิธานเด็ดเดี่ยวก็ย่อมประสบผลสำเร็จ มีความมุ่งมั่นขยัน บางที่อ๋องเย่ก็อาจจะชอบความปราดเปรื่องของเจ้า”
พูดจบ หลานเยาเยาก็ลุกขึ้นจากไปอย่างกลัดกลุ้ม
ทิ้งให้ยู่หลิวซูขบคิดอย่างทุกข์ใจ
สุดท้ายเขาก็ตื่นตัวเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง ตบหัวตัวเองแรงๆ
คนที่สามารถทำให้ฮ่องเต้เคารพได้ นอกจากอ๋องเย่แล้ว ที่จริงก็ยังมีเทพธิดา
นางมีชื่อเสียงโด่งดังภายในสามปี ราชวงศ์ของแต่ละประเทศทั้งเคารพ ทั้งกลัวนาง เช่นนั้นอำนาจเบื้องหลังจะต้องน่าทึ่งแน่
อีกอย่างเทพธิดาไม่เพียงแต่ปล่อยเขา ซ้ำยังช่วยเขาอีก
เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว
เทพธิดาน่าจะชื่นชมความสามารถของเขา……
แต่ว่าดูจากตอนนี้แล้ว เทพธิดาน่าจะโมโหเดินจากไป อย่างงี้ผู้หนุนหลังที่ยิ่งใหญ่ เกรงว่าจะถูกทำลายไปด้วยมือของตนเองแล้วสิ!
——
ผ่านไปอีกสองสามวัน
เมื่อคดีการตายของฉินหลิงเจียวยังคงเป็นเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันหลังมื้ออาหาร จู่ๆเมืองหลวงก็มีเรื่องที่เกี่ยวกับยาฉางตานออกมา
ทันใดนั้น
ทั้งเมืองหลวงก็เดือดพล่าน อีกทั้งแนวโน้มของการสนทนาก็สูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ยาวิเศษอะไรไม่ตายชั่วชีวิต……
ใครใครใครรู้เบาะแสของยาอายุวัฒนะ……
แล้วก็ยังมียาฉางตานถูกฝังอยู่ใต้ทะเลทราย……
สรุปก็คือ!
มีทั้งจริงและมีทั้งหลอก
และข่าวก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็แพร่กระจายไปยังเมืองใหญ่ๆสองสามเมืองที่ใกล้ๆเมืองหลวง
ความเร็วในการแพร่กระจายเร็วราวกับม้าศึกวิ่งความเร็วแปดร้อยไมล์
หลานเยาเยาคาดว่า
ไม่เกินสามเดือน ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่นี้จะต้องรู้เรื่องนี้
ในคืนนี้!
หลานเยาเยาอาบน้ำเสร็จก็เตรียมเข้านอนตามปกติ
ทันทีที่เข้าห้องนอน
ก็เห็นเย่แจ๋หยิ่งในชุดสีดำสง่ายืนอยู่หน้าเตียงนาง ในมือถือหนังสือภาพวาดกำลังอ่านอยู่ อีกทั้งยังอ่านอย่างออกรส
ตอนนี้
หลานเยาเยาใจเต้นขึ้นมาทันที หน้าซีดเป็นไก่ต้ม
รีบพุ่งไปอย่างสายฟ้าแลบ ผลักเย่แจ๋หยิ่งล้มลงไปที่เตียง แล้วแย่งหนังสือที่อยู่ในมือมา
คำรามว่า:
“แย่ แจ๋ หยิ่ง ไม่เจอกันไม่กี่วัน พอเจ้ามาก็มาย้ายของข้ามั่วไปหมด”
นั่นคือหนังสือท่าทางทำอะไรกัน108ท่าทาง ไม่เพียงแต่มีภาพประกอบชวนสนุกสนาน แม้แต่ตัวอักษรบรรยายก็ยังทำให้คนอารมณ์พลุ่งพล่านจนหยุดไม่ได้
ริมฝีปากของเย่แจ๋หยิ่งขยับเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นให้เห็นมุมโค้งที่สวยงาม:
“ดูถึงท่าสามสิบสองแล้ว เยาเยา ท่าทางของพวกเราตอนนี้ ถ้าข้าจำไม่ผิดมันก็คือท่าขั้นแรกของท่าที่สามนะ”