หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป – ตอนที่ 383 ภาพลวงตาเกิดจากใจ

บทที่ 383 ภาพลวงตาเกิดจากใจ

แต่นางกล้ารับรองว่า นี่ไม่ใช่เลือดของคนขับรถม้าที่ได้ตายไป เพราะตอนนี้บนตำแหน่งของคนขับรถม้าที่ได้ตายไปผู้นั้นไม่มีทางที่เลือดจะหยดลงตรงนั้นได้

เลือดนั้นคงจะเป็นของเย่หลีเฉิน

อีกอย่างเย่หลีเฉินก็ได้ถูกวางยาพิษเช่นเดียวคนขับรถม้า

เมื่อมองอย่างละเอียดอีกครั้ง

หลานเยาเยาก็ได้พบคราบเลือดอยู่บริเวณด้านหนึ่งของที่พักเท้า เดินไปตามคราบเลือด ก็ได้พบคราบเลือดอีกครั้งที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว

เดินต่อไปตามทิศทางของคราบเลือด เป็นไปตามที่นางคาดไว้ คราบเลือดกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน

เงยหน้ามองไปยังทิศทางของคราบเลือด

สุสานหลวงที่สร้างอย่างยิ่งยิ่งใหญ่อลังการตั้งตระหง่านขึ้นจากพื้นดิน ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความน่าเกรงขามและความหนักแน่น

นี่ก็คือสุสานหลวงของประเทศก่วงส้าในปัจจุบันสินะ!

เมื่อเทียบกับสุสานหลวงของราชวงศ์เก่าอันทรุดโทรมนั้นที่อยู่ไกลออกไปตรงหน้า สุสานหลวงที่สง่างามและทรงพลังตรงนี้แสดงให้เห็นถึงการเยาะเย้ยในฐานะผู้ได้รับชัยชนะอย่างชัดเจน

สีหน้าของหลานเยาเยาก็ได้หมองลง

จากนั้นก็หันกลับมามองคนขับรถม้าที่ยังคงตามาเบาะแสะ และพูดว่า

“เจ้าไปหลบซ่อนตรงมุมมืด ไม่มีสัญญาณลับก็ห้ามออกมา”

“ขอรับ เทพธิดา”

คนขับรถม้าประสานมือรับคำสั่ง และได้นำรถม้าสีแดงไปจอดไว้ในที่ซ่อนก่อน แล้วจึงไปหลบอยู่ในมุมมืด

หลานเยาเยาเดินตามคราบเลือดที่มุ่งไปยังสุสานหลวง

บริเวณโดยรอบของสุสานหลวงมีหมอกหนา ตอนนี้ปกคลุมครึ่งหนึ่งของสุสานหลวงของประเทศ

ก่วงส้า ลักษณะอย่างนั้น ให้ความรู้สึกว่าสุสานหลวงเป็นเหมือนวังสวรรค์ที่อยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ

หมอกเช่นนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!

เมื่อมาถึงด้านหน้าของสุสานหลวง หลานเยาเยาได้หยุดฝีเท้าลง ที่นี่ไม่มีรอยคราบเลือดสีดำแล้ว

เมื่อมองไปที่ประตูสุสานหลวงที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควัน

“เหอะ!”

นี่เป็นการให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว!

หลานเยาเยากระตุกมุมปากสีแดงชาด ยกนิ้วมือขาวผ่องขึ้นแล้วลูบผมที่ปลิวตามลมเบาๆ จากนั้นส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไป

ปกติแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสุสานหลวง แม้แต่หลุมฝังศพของเสนาบดีวังหลวงล้วนแล้วแต่มีคนเฝ้าสุสานอยู่ทั้งนั้น

แต่สุสานหลวงที่ใหญ่ขนาดนั้น กลับไม่มีคนเฝ้าสุสานเลยแม้แต่คนเดียว

พูดออกไปใครจะเชื่อล่ะ

ทันทีที่เดินเข้าไป ท่ามกลางหมอกขมุกขมัว หลานเยาเยาพบว่ามีประตูหินของห้องสุสานหลักได้ถูกเปิดออก

เมื่อเดินเข้ามาใกล้ๆ บนประตูหินมีคราบเลือดจำนวนมากที่เหมือนรอยฝ่ามือได้ค้ำยันเอาไว้ และคราบเลือดทั้งหมดนั้นยังไม่จับตัวเป็นก้อน

มีใครบางคนกำลังลุกลน เปิดประตูหินของห้องสุสานหลักแล้วหนีเข้าไป

ใช่!

มันคือการหนี!

ในตอนแรกหมอกควันนี้ก็มีความแปลกประหลาด ผนวกกับความรู้สึกที่นางรับรู้ได้ เหมือนว่ามีสายตาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนจับจ้องมองมาที่นางอยู่ในความมืดอย่างไรอย่างนั้น

และคนที่หนีเข้าไปในห้องสุสานหลักมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นเย่หลีเฉิน

หลานเยาเยากำลังจะเดินเข้าไป

ขณะที่ชำเลืองมองกลับมองเห็นเงาสีขาววาบเข้ามา อีกทั้งมีเจตนาของการฆ่าที่เหี้ยมโหด ดูเหมือนต้องการจะฆ่านางให้ตาย

หลานเยาเยาเปลี่ยนความคิดในทันที

นางเดินไปทีละก้าวไปในทิศทางที่เงาสีขาวได้หายไป ไม่นานก็เข้าไปในหมอกควัน

ทันใดนั้น!

ความรู้สึกเย็นค่อยๆ เข้ามา พร้อมกับเงาสีขาวที่ตรงมาด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

หลานเยาเยารวบรวมกำลังภายใน กำลังแยกเงาสีขาวที่กำลังเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่กลับพบว่าเงาสีขาวนั้นที่อยู่ตรงหน้าก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงสายลมที่กระทบใบหน้า

ใครกัน

มีความรวดเร็วขนาดนี้

ดังนั้น!

หลานเยาเยาจึงนั่งลงทันที สะบัดแขนเสื้อสีแดง โบกมือ จิ่วเซียวหวงเพ่ยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า นางจึงเริ่มบรรเลงขึ้นอย่างรวดเร็วทันที

“ตึงตึงตึงตึงตึง……”

ในยามว่าง นางเคยฝึกฝนการใช้กำลังภายในแทรกเข้าไปในสายพิณ โดยใช้เสียงพิณเป็นอาวุธ ซึ่งสามารถทำร้ายคนที่มองไม่เห็นได้

งานวัด ในคืนนั้นที่ต้นบุพเพ นางก็ได้ใช้เสียงพิณก่อกวนจิตใจของนักฆ่า ทำให้พวกเขาฆ่ากันเอง

และตอนนี้นางก็ได้ใช้การบรรเลงจิ่วเซียวหวงเพ่ยอีกครั้ง

เพียงแค่อยู่ในระยะที่เสียงพิณครอบคลุมอยู่ คนที่ได้ยินเสียงของจิ่วเซียวหวงเพ่ย ต่างก็ได้รับผลกระทบจากมัน

แต่!

ผ่านไปครู่หนึ่ง กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

หรือว่าคนที่ซ่อนอยู่ในความมืดคงจะมีกำลังภายในได้ถึงระดับที่ไม่อาจคาดเดาได้

ไม่เช่นนั้น ทำไมนางใช้กำลังภายในอย่างเต็มกำลังแล้ว คนคนนั้นกลับยังไม่ไหวติง

เพียงครู่เดียวของความคิด ลมหายใจที่อันตรายได้พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง เมื่อหันศีรษะไป เงาสีขาวที่ถือคมมีดก็ปรากฏขึ้นไม่ไกล การฆ่าที่เหี้ยมโหดกำลังเข้ามา

หลานเยาเยาโบกมือปล่อยลมปราณออกไปทำการแยกออกในทันที

เงาสีขาวได้แยกออกเป็นสองส่วน แล้วก็หายไปอีกครั้ง

แต่นางกลับขมวดคิ้ว ดึงมือกลับมาดู ที่ฝ่ามือมีรอยข่วนลึกมากรอยหนึ่ง เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลได้เปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็วมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

มีพิษ!

หลานเยาเยาจึงรีบหยิบยาเม็ดสำหรับถอนพิษออกมากินทันที จากนั้นก็มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

ภายใต้ความเงียบที่แปลกประหลาด ซึ่งเป็นบรรยากาศที่อันตรายและเจตนาของการฆ่า

ทันใดนั้น!

เสียงหัวเราะแปลกประหลาดที่ไม่เปลี่ยนแปลงของหญิงชาย ดังก้องมาจากทั่วทุกทิศทาง

เสียงหัวเราะที่เยือกเย็นทำให้คนรู้สึกขยะแขยง ยิ่งหัวเราะหลานเยาเยาก็ยิ่งขนลุกไปทั้งตัว ดูเหมือนว่าภายในส่วนที่มืดมิดและซ่อนเร้นที่สุดของก้นบึ้งหัวใจ ถูกเปิดเผยออกมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะนี้

หลานเยาเยาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะระงับความรู้สึกอันไม่พึงประสงค์นี้

ในไม่ช้า สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป มีเจตนาแห่งการฆ่ามาจากเหนือศีรษะ จึงเงยหน้าขึ้นไปมองทันที

หลานเยาเยาเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้

ทันใดนั้นเงาสีขาวที่ลวงตาก็กลายเป็นเงาสีขาวสองเงา และเงาสีขาวสองเงาก็ได้กลายเป็นสี่เงาในชั่วพริบตา เงาขาวสีเงาก็เปล่งประกายออกมาในทันใด

จนกระทั่งมาถึงหน้าผากของนาง ก็ได้กลายเป็นเงาสีขาวหนึ่งเงาอีกครั้งในทันที

ยังไม่ทันจะได้ใช้กำลังภายในสกัดกั้น

หลานเยาเยาก็หลีกกายหลบออกไปในทันที มายังก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง แต่จู่ๆ นางกลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่คิ้ว เลือดที่อุ่นก็ไหลออกมาจากคิ้ว

ยื่นมือออกไปสัมผัส

มันคือเลือด!

โชคยังดีที่บาดแผลไม่ลึก มิเช่นนั้นวันนี้นางก็อาจต้องฝากฝังไว้ที่นี่แล้ว

เห็นอยู่ว่าได้หลบหลีกแล้ว และไม่ได้ถูกแทงด้วยคมมีดของเงาสีขาว แต่ทำไมถึงยังได้รับบาดเจ็บ

หลานเยาเยาเฝ้าสังเกตรอบด้านอย่างระแวดระวัง ในขณะทายาห้ามเลือดที่คิ้วให้กับตนเอง

ไม่ใช่สิ!

ไม่เพียงแต่หมอกควันของที่นี่จะผิดปกติ แม้แต่สุสานหลวงทั้งหลังก็ยังผิดปกติด้วยเช่นกัน

หากจะบอกว่าวรยุทธ์ของคนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดนั้นไม่อาจคาดเดาได้จนถึงระดับที่นางไม่จะพิสูจน์ได้ ดังนั้นอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับของราชครูเทียนเวิง

ในเมื่อมีเจตนาฆ่านาง

อย่างนั้นถ้าฆ่านางตรงๆ จะไม่สาแก่ใจอย่างนั้นหรือ

ทำไมจะต้องซ่อนตัวอยู่ในความมืด แล้วทำการลอบโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า

ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่ลอบโจมตีก็จะปรากฏหลังจากที่นางเริ่มรู้สึกสงสาร

ในใจของนางมีการคาดเดาที่กล้าหาญและยิ่งใหญ่

ดังนั้น นางหลับตาลงสงบจิตใจอย่างช้าๆ ฟังทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว

เสียงหัวเราะเยาะที่แปลกประหลาดได้หายไปแล้ว และความเงียบสงบก็กลับคืนมาอีกครั้ง

ทันใดนั้น!

นางก็คิดขึ้นได้ จึงลืมตาขึ้นทันที

ก็ได้เห็นเงาสีขาวที่มีเจตนาฆ่าอย่างรุนแรง จู่ๆ ก็กลายเป็นเงาสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับตาข่ายฟ้า มุ่งเข้าโจมตีนางจากทุกทิศทาง

นางถูกเงาสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนห้อมล้อมเอาไว้แล้ว

จะถอยก็ถอยไม่ได้ จะหนีก็หนีไม่พ้น นอกเสียจากสู้ตาย ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

แต่หลานเยาเยากลับค่อยๆ กระตุกมุมปาก และยืนนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น โดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ สายตาอันเยือกเย็นก็มองไปยังเงาสีขาวที่กำลังโจมตีเข้ามา จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง

ทันทีที่เงาสีขาวเหล่านั้นได้มาถึงตรงหน้าของนาง ทันใดนั้นนางจึงลืมตาขึ้น เงาสีขาวที่ถือคมมีดทั้งหมดก็ได้หายไปทันที

มันคือภาพลวงตาจริงๆ!

และภาพลวงตาก็เกิดจากใจ

หมอกควันในสุสานหลวงแห่งนี้ ก็เปรียบเสมือนตัวยาที่ทำให้คนเกิดภาพหลอน เพียงแค่สูดดมเข้าไป เมื่อความสงสารในจิตใจได้ถูกกระตุ้น ภาพลวงตาก็จะเกิดขึ้น……

สำหรับสิ่งนี้ หลานเยาเยามั่นใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่……

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

ได้ยินมาว่าท่านอ๋องเป็นคนโหดร้าย เขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง?ไม่ใช่เลย ตั้งแต่เขาแต่งงานกับคุณหนูหกของจวนแม่ทัพก็เปลี่ยนไปแล้ว “เยาเยาร่างกายอ่อนแอ ไม่ชอบพูดคุย ข้าไม่วางใจให้เขาไปคนเดียว”รู้สึกอับอายนัก!พระชายาใช้ไม้ตีรัชทายาท นังเสแสร้ง ปากนั้นสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้ ยังไม่วางใจอีกหรือ?“เยาเยา นางไม่มีความรู้ที่เกี่ยวกับสงคราม ฝีมือทางการแพทย์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกเจ้าอย่ารังแกนาง”ทหารของฝ่ายศัตรูกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ทหารสิบหมื่นที่ถูกพระชายาวางแผนมาเป็นเชลยศึกกำลังรอการถอนพิษอยู่ นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ของพระชายาเย่ หรอ?“ เยาเยานางไร้เดียงสา ไม่เคยยุ่งกับคนอื่น” ทหารทั้งหลายเหลือบมองเจ้านายที่กำลังหลีกเลี่ยงเพื่อความรัก เจ้านาย จริยธรรมของท่านที่อยู่ไหน?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset