บทที่ 389 หนีออกจากสุสานหลวง
ตอนนี้
ในด้านของเย่หลีเฉินได้ยินเสียงของการต่อสู้แล้ว ได้ยินเหมือนว่าเขาจะรับมือจนเสียแรงไปมาก
และมนุษย์โครงกระดูกที่อยู่ด้านข้างของหลานเยาเยาก็เริ่มโจมตีนาง นิ้วมือของมนุษย์โครงกระดูกที่มีกระดูกนิ้วมือชัดเจน ราวกับมีดสั้นที่แหลมคมห้าเล่ม จู่โจมมายังใบหน้าของหลานเยาเยา
แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะไม่รวดเร็วเท่ามนุษย์ แต่กลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และรับมือได้ยากมาก
อีกทั้งมีมนุษย์โครงกระดูกปีนขึ้นมาจากพื้นดินมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นภาพลวงตาหรือมีอยู่จริง สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ปลอดภัยอีกแล้ว
ผนวกกับร่างกายของเย่หลีเฉินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส รับมือกับมนุษย์โครงกระดูกเพียงหนึ่งตัวก็มากเกินจะทนแล้ว
มนุษย์โครงกระดูกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ แล้วเขาไม่สามารถรับมือได้แล้ว
หลังจากหลานเยาเยาได้ฟาดฝ่ามือไปยังมนุษย์โครงกระดูกตัวหนึ่ง
ก็รีบเหาะไปทางเย่หลีเฉินอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่มาถึงตรงหน้าเขา ใช้กำลังฝ่ามือโจมตีมนุษย์โครงกระดูกสองตัวที่กำลังจู่โจมเขา จากนั้นก็รีบคว้าแขนของเขา แล้วเหาะไปยังโลงศพทองคำ
หลังจากวางเขาลง
หลานเยาเยาแง้มปากเบาๆ “กันเอาไว้ก่อน ข้าจะคิดหาวิธี”
อันที่จริงวิธีการนั้นง่ายมาก เพียงแค่เบนความสนใจของเย่หลีเฉิน นางก็จะสามารถนำฝาของโลงศพทองคำเข้าไปด้านในของระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
เพื่อลองดูว่าผนังที่ฝาโลงศพทองคำปิดกั้นเอาไว้จะมีระบบเปิดปิดอยู่จริงหรือไม่
“ได้”
เย่หลีเฉินตอบรับไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เขาเบนความสนใจไปยังมนุษย์โครงกระดูก และพร้อมที่จะต่อสู้กับมนุษย์โครงกระดูก
เมื่อเห็นว่าเย่หลีเฉินกำลังติดพันอยู่กับมนุษย์โครงกระดูกสองตัว นางก็รีบโบกมือทันที โลงศพทองคำก็ได้ถูกเข้าสู่ระบบทันที
ผนังที่ถูกปิดบังไว้ ก็มีปุ่มนูนขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้น
มุมปากของนางกระตุกเล็กน้อย
ต้องเป็นมันแล้วล่ะ!
ยื่นมือออกไปและกดส่วนที่โผล่ออกมา
“ตูมตาม……”
ทั้งสุสานหลวงก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมา ทางเดินที่กว้างทางหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏตรงหน้านาง
เพียงแต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ……
ทันทีที่ประตูหินถูกเปิด ก็เตรียมที่จะปิดแล้ว อีกทั้งยังรวดเร็วมาก
นึกว่าจะช้าไป แต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด หลานเยาเยาก็ได้คว้าแขนของเย่หลีเฉินเอาไว้ ดึงเขาเหาะตรงเข้าไป
ในทางเดิน ทันทีที่พวกเขาเหาะเข้าไป ประตูหินด้านหลังก็ได้ปิดลงแล้ว จังหวะนั้นได้หนีบโดนมือข้างหนึ่งของมนุษย์โครงกระดูกที่ยื่นออกมา
โดนมือโครงกระดูกแตกพอดี และได้กลิ้งตกไปที่เท้าของหลานเยาเยา
ในชั่วพริบตาเดียว
มือโครงกระดูกชิ้นนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา ค่อยๆ เปลี่ยนไป และสลายหายไป
แท้จริงแล้วมันก็คือภาพลวงตา!
แต่ภาพลวงตาแบบนี้กลับเป็นอันตรายถึงชีวิต
เนื่องจากมนุษย์โครงกระดูกได้กรีดเข้าที่แขนของเย่หลีเฉินจนเป็นรอยบาด หลังจากประตูหินปิดลง มือโครงกระดูกได้หายไป รอยบาดบนแขนของเย่หลีเฉินกลับไม่มีแล้ว
หากต้องอยู่ด้านในนั้นตลอด ภาพลวงตาเหล่านั้นก็สามารถทำให้พวกเขาถึงแก่ความตายได้
“ไปกันเถอะ!” นางพูดเบาๆ
หลังจากพูดจบ นางก็หันหลังกลับแล้วเดินไปอีกด้านของทางเดิน
แต่ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงวัตถุหนักตกลงพื้นดังมาจากด้านหลัง นางจึงรีบหันกลับไปมอง
ก็ได้เห็นเย่หลีเฉินล้มไปลงกับพื้น
นางเดินเข้ามาที่เข้าทันที เลือดที่ไหลออกมาอย่างน่าตกใจได้ปรากฏสู่สายตา แผลที่หน้าท้องของเย่ลีเฉินปริออก มีเลือดไหลออกมามากมาย
หลานเยาเยาพันแผลให้เขาอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร และใช้ตัวยาที่ดีที่สุดรักษา
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย
นางก็ได้หยิบตัวยาที่มีกลิ่นฉุนผิดปกติออกมา และวางตรงปลายจมูกของเย่หลีเฉิน กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ก็แทรกซึมเข้าไปในจมูกของเขาทันที
เพียงครู่เดียว
เย่หลีเฉินค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
“ข้า……”
เข้ารู้สึกอ่อนแอมาก แม้แต่เสียงก็ยังไร้เรี่ยวแรง
“เจ้าไม่มีกำลังมากนัก ไม่ควรอยู่ที่นาน พวกเราต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด”
หลานเยาเยาเพียงพูดตามความจริงเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจทำให้เขารู้สึกลำบากใจ
เย่หลีเฉินไม่ได้พูดอะไรอีก แต่พยักหน้าเบาๆ
จากนั้นก็พยายามที่จะลุกขึ้น แต่กลับพบว่าตนเองมีแรงไม่มาก ไม่สามารถลุกขึ้นได้เลย ตอนที่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
หลานเยาเยาก็ยื่นมือออกมาหาเขาโดยตรง
“เข้าอาศัยตัวข้าได้”
“เทพธิดา……” เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
เมื่อเห็นท่าทีของเขา หลานเยาเยาไม่ได้พูดอะไร จึงดึงมือของเขามาพาดไว้บนไหล่ของตนเอง
จากนั้นด้วยกำลังของคนคนเดียว ก็ช่วยพยุงเขาขึ้นมา พาเขาออกไปข้างนอกทีละก้าวๆ
ทางออกของทางเดินนี้ ถูกปกปิดไว้อย่างดีมาก หลังจากที่ควานหา หลานเยาเยาจึงได้รู้ว่าระบบเปิดปิดของทางออกอยู่ที่ไหน
เมื่อออกมาจากด้านใน
นางมองไปที่หมอกควันที่หนาแน่น อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว หันหน้าไปพูดกับเย่หลีเฉิน
“อีกครู่หนึ่งจะเกิดภาพลวงตาขึ้น ไม่ว่าจะมองเห็นหรือได้ยินอะไรก็ตามก็อย่าส่งเสียงใดๆ แล้วก็อย่าตื่นตระหนก เจ้าเพียงตามข้ามาก็พอ”
“ได้!”
น้ำเสียงเย่หลีเฉินอ่อนแรงอย่างหาอะไรเปรียบมิได้ บนหน้าผากเต็มไปเหงื่อเม็ดใหญ่ๆ ข้างหลังก็ได้เปียกโชกหมดแล้ว
แต่เขารู้
ที่เทพธิดาทำแบบนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของเขา
แต่เขากลัวที่จะเห็นภาพลวงตาเหล่านั้น เขาจึงหลับตาลง
หลังจากเบนสายตาออกจากเย่หลีเฉิน นางจงพาเขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าว
ท่ามกลางกระแสหมอกควันที่เคลื่อนไปมา ภาพลวงตาเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เงาดำที่มีรูปร่างเหมือนภูตผี ได้ผ่านเข้ามาเป็นระลอก
หลานเยาเยาไม่ได้สนใจพวกมัน และระงับความผันผวนในจิตใจของตนเอง แล้วค่อยๆ มองหาทางออก
เมื่อมาถึงสถานที่นั้นก่อนที่จะเข้าไปในห้องสุสานหลัก หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังประตูสุสานของห้องสุสานหลัก
แต่กลับพบสิ่งแปลกประหลาด ประตูสุสานที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่งก่อนหน้านี้ ตอนนี้ถูกเปิดออกทั้งหมดแล้วหรือหลังจากที่นางเข้าไปจะยังมีคนอื่นมาอีก
เดิมทีนางยังอยากเข้าไปดู แต่ด้วยข้างกายยังมีเย่หลีเฉินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงต้องละทิ้งมันไป
ตามความทรงจำที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พวกเขาได้ออกมาจากสุสานหลวงแล้ว
ตามทิศทางของคราบเลือดก่อนหน้า ในไม่ช้าพวกเขาจึงมาถึงสถานที่ที่จอดรถม้าเอาไว้
หลานเยาเยาวางเย่หลีเฉินลง ปล่อยเขาพักผ่อนอยู่ด้านข้าง
จากนั้น!
นางนำนิ้วมือวางที่ริมฝีปากแล้วเป่าหวีด เพื่อส่งสัญญาณลับให้กับสำนักหงอี แต่นานแล้วกลับไม่มีการตอบรับ
น่าแปลก
คนขับรถม้าหายไปไหน
เมื่อนึกถึงก่อนที่จะเข้าไปห้องสุสานหลัก ท่ามกลางหมอกควันนางมองเห็นภาพลวงตาการตายอย่างอนาถของคนขับรถม้า จึงได้ตามหาตรงสถานที่มืดที่อยู่ใกล้เคียง
เมื่อเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว นางก็ได้กลิ่นคาวเลือดที่รุนแรง
เริ่มจะไม่ดีแล้ว
ต้องเกิดเรื่องขึ้นกับคนขับรถม้าแน่นอน
เป็นอย่างที่คาดเอาไว้!
ในขณะที่นางตามหาคนขับรถม้าจนพบ คนขับรถม้าก็มีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ไม่มีลมหายใจแล้ว
เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกออกแบบโดยองค์ชายสี่หรอกหรือ
องค์ชายสี่ได้ตายไปแล้ว
ทำไมถึงยังมีคนอื่นอยู่ที่นี่อีก
หรือว่าจะเป็นลูกน้องของเขา
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลานเยาเยาก็พาเย่หลีเฉินขึ้นไปบนรถม้าของตนเอง
ไม่มีคนขับรถม้าแล้ว นางก็ทำได้เพียงขึ้นไปนั่งในตำแหน่งของคนขับรถม้าด้วยตนเองเพื่อบังคับรถม้า
เมื่อฟาดแส้ รถม้าสีแดงก็ค่อยๆ เคลื่อนตัว
ขณะที่ชำเลืองมองกลับเห็นเงาร่างสีดำปรากฏขึ้น
ทันทีที่หันศีรษะไป ก็พบว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นสุสานราชวงศ์เก่า
มีคนคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสุสานราชวงศ์เก่า คนคนนั้นสวมชุดสีดำที่ดูโดดเด่น ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ มองดูนางอย่างเงียบๆ
นั่นเขา!
ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่
เพียงแวบเดียวนางก็ได้ละสายตากลับ และบังคับรถม้าอย่างตั้งใจ เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง รถม้าสีแดงก็หยุดลงตรงหน้าประตูพระตำหนักไท่จื่อ
เย่หลีเฉินถูกอุ้มเข้าไปแล้ว หลานเยาเยาจึงบังคับรถม้าเข้าไปวังหลวง
สิ่งที่นางคาดไม่ถึงก็คือ เมื่อถึงหน้าประตูวังหลวง นางก็เห็นเขาในชุดคลุมสีดำอีกครั้ง
นั่นคือเย่แจ๋หยิ่ง!
เขายืนอยู่หน้าประตูวัง มองนางอย่างเงียบๆ
หลังจากลงจากรถม้า หลานเยาเยาก็เดินมาหาเขา
“เจ้า……”