บทที่ 391 เจ้าควรจะทำความเข้าใจเรื่องข้าให้มากกว่านี้
หลานเยาเยาขึ้นไปบนรถม้า โดยนั่งลงตรงที่นั่งคนขับรถม้า กำลังจะบังคับรถม้า
แต่ทันใดนั้นนางก็หยุดมือลง หันหลังพลันเอื้อมมือไปจะเปิดผ้าม่านออก เพียงแต่มือที่ยังเอื้อมไปไม่ถึงผ้าม่าน ข้อมือของนางก็ถูกมือใหญ่หนึ่งกุมเอาไว้ จากนั้นก็ใช้แรงเพียงนิดนางก็ถูกดึงเข้าไปในรถม้าแล้ว
ยังไม่ทันได้นั่งอย่างมั่นคง นางก็รู้สึกถึงใครบางคนที่เข้ามานั่งยังที่นั่งคนขับรถม้าแล้ว
“ย่าห์······”
ชายผู้นั้นสะบัดแส้ รถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนไปอย่างช้าๆ
ภายในรถม้า
หลานเยาเยามองไปยังฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือนางเอาไว้ แล้วจึงขยับสายตาไปยังตัวเจ้าของฝ่ามือใหญ่นั้น
ก็คือชายหนุ่มที่ราวกับเทพเจ้าบนดิน เขากำลังจ้องมองมายังตัวนางอย่างจดจ่อ ภายในดวงตาฉายให้เห็นถึงความในใจมากมายที่อยากกล่าวออกมา แต่กลับไม่ได้กล่าวเอ่ยสิ่งใดเลยสักคำ
“เย่แจ๋หยิ่ง เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่?”
ที่จริงสิ่งที่นางอยากถามนั้นคือ หลายวันมานี้เขาไปอยู่แห่งใดมา?
“เกิดเรื่องขึ้นภายในกองทัพ จำเป็นต้องไปจัดการ”เรื่องเหล่านี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกมาหรือไม่ ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเอ่ยอย่างไร
“ข้าอยู่ที่นี่ก็เกิดปัญหาเช่นกัน”หลานเยาเยามองเย่แจ๋หยิ่งที่กุมมือของตัวเองแน่น ก่อนจะเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“เจ้าจะยืนอยู่ฝั่งของข้าเสมอไปหรือไม่?”
“แน่นอน”
หลานเยาเยาแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางเชื่อเขา
ถึงแม้ว่าช่าจื่อจะกล่าวไว้ก่อนเสียชีวิตว่าเย่แจ๋หยิ่งเป็นคนฆ่า นางก็ยังคงจะเชื่อใจเขา
เดิมทีเพียงนางก็ทำให้ผู้คนไม่น้อยเกรงกลัวแล้ว ถ้าคนที่มีอำนาจอย่างเย่แจ๋หยิ่งยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับนาง เช่นนั้นก็สามารถทำให้คนมากมายเกิดความกังวลได้!
หลานเยาเยาพยายามที่จะดึงมือของตัวเองออกจากมือของเย่แจ๋หยิ่งแต่กลับถูกเย่แจ๋หยิ่งจับแน่นขึ้นมาในทันที
“เยาเยา อย่าปล่อยมือข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น !หลานเยาเยาก็มองไปยังเขาอย่างประหลาดใจ ด้วยความไม่เข้าว่าเหตุใดอยู่ๆเขาถึงได้พูดเช่นนั้น
จากนั้นเสียงของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ในวัยเด็ก ก่อนที่ข้าจะจำความได้ข้าใช้ชีวิตในพระราชวังมาโดยตลอด ผู้คนในนั้นล้วนแต่เป็นคนที่ปากหลานก้นเปรี้ยว เจ้าเล่ห์หลอกหลวงกันไปมา ไม่ต่างจากพวกที่อยู่ในท้องพระโรงเลยแม้แต่น้อย เต็มไปด้วยความคลุมเครือ ดำมืดและน่ารังเกียจ
เสด็จแม่เองก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้น ไม่ว่าจะถูกกระทำและเป็นฝ่ายกระทำ มือของนางก็จะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
ถึงแม้ว่าข้าจะเห็นกับตาตัวเองว่านางใช้ผ้าขาวรัดคอนางกำนัลคนสนิทของตัวเองจนตาย เห็นนางใช้กรรไกรแทงนางสนมที่วางแผนจะทำร้ายนาง แล้วยังใช้กรรไกรกรีดหน้านางสนมอีกหลายครั้ง เสด็จแม่เป็นคนที่ใจโหดเหี้ยมอำมหิต เป็นสตรีที่มีความคิดแน่วแน่
แต่ว่า!เพราะนางที่เป็นเช่นนั้น ในหลายครั้งหลายคราที่ผู้อื่นพยายามจะฆ่าข้า นางก็จะปกป้องข้าอย่างสุดชีวิต ไม่ให้ข้าได้รับบาดเจ็บเลยสักน้อย และแม้แต่ในท้ายที่สุดตัวเองจะถูกบังคับให้ดื่มยาพิษจนสิ้น สิ่งแรกที่นางทำก็คือพาข้าไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด นางเคยกล่าวกับข้าว่า วังหลังเป็นดังถังย้อมอันใหญ่ที่ดำมืด สตรีที่อยู่ในถังย้อมนั้น ถึงแม้จะเคยขาวโพลนไร้ที่ติ หากอยากที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป สุดท้ายก็ล้วนกลายเป็นดำมืดและน่ารังเกียจ นางต้องการให้ข้าอยู่ห่างจากวังหลัง ถึงแม้ว่าจะต้องตายในสนามรบ ก็ยังนับว่าดีกว่าตายด้วยเล่ห์อุบาย ดังนั้นถึงได้มีเรื่องราวของข้าที่อายุยังไม่ครบสิบขวบก็ไปออกรบ”
หลังจากที่ได้ฟังจนจบ หลานเยาเยาก็ได้ยื่นมืออีกข้างออกมาวางลงบนหลังมือของเขา
“เสด็จแม่ของเจ้าเป็นแม่ที่ดีคนหนึ่ง”
อยู่ในวังหลัง ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีเพียงการอยู่รอดเท่านั้น
“แต่นางกลับไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดข้า นางบอกว่านางเพียงแค่ตอบแทนบุญคุณเท่านั้น เพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณ นางจึงไม่ลังเลใจเลยที่จะสลับตัวลูกชายของนางกับข้า ทั้งยังกล่าวอีกว่าเรื่องราวที่มาของตัวข้านั้นถูกเก็บไว้ในถุงผ้าหูรูดใบโปรดของนาง ซึ่งถุงผ้านั้นถูกเก็บซ่อนเอาไว้ที่อื่น ซึ่งในตอนที่ข้าไปค้นหา ถุงผ้านั้นก็ไม่อยู่แล้ว หลังจากที่ตรวจสอบถึงได้รู้ว่า ถุงผ้าได้ถูกเสด็จแม่ของหลาน
จิ่นเอ๋อที่เข้าวังมาเยี่ยมนางในตอนนั้นเอาไปเสียแล้ว และข้านั้นไม่สามารถที่จะออกวังได้ จนถึงวันก่อนที่ข้าจะได้ไปยังชายแดน จึงได้ลักลอบเข้าไปยังที่พักของเสด็จแม่ของหลานจิ่นเอ๋อ บังคับให้นางส่งถุงผ้าให้ข้า ในตอนนั้นข้าไม่ทราบว่าถุงผ้าได้เคยถูกเปิดแล้ว ทั้งยังมีของบางส่วนในนั้นถูกหยิบออกไปอีกด้วย จนหลังจากนั้นข้าพบว่ามีเด็กสาวที่แอบตามข้าอยู่ตลอด ซึ่งปรากฏว่าเด็กสาวคนนั้นก็คือหลานจิ่นเอ๋อ นางได้กล่าวอีกว่าส่วนที่ขาดไปนั้นถูกนางเอาไป แล้วยังให้ข้าตอบตกลงกับนางว่าเมื่อนางโตแล้วข้าต้องอภิเษกกับนาง นางถึงจะคืนของให้ข้า ในตอนนั้นข้าไม่ได้ใจร้ายที่จะฆ่านาง เพียงแค่วางแผนให้นางและแม่ของนางถูกหลานเฉินมู๋ส่งพวกเขาไปยังเรือนอื่นเท่านั้น”
หลานเยาเยาราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ดังนั้น เมื่อสามปีก่อน ที่ข้าเห็นเจ้ารับถุงผ้าจากหลานจิ่นเอ๋อ นั่นเป็นเพราะเจ้าคิดว่าจะให้หลานจิ่นเอ๋อเอาส่วนที่ขาดหายไปซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตัวเจ้าคืนมา เจ้าถึงได้ยอมรับมัน?”
“อืม ข้าเคยอธิบายกับเจ้าแล้วด้วย”
เอ่อ……
เคยอธิบาย
แต่นางก็ไม่ได้อยากจะเชื่อมากเท่าไหร่
นั่นเป็นถึงถุงผ้าเชียวนะ!การยอมรับถุงผ้าก็หมายความว่ายอมรับความในใจของอีกฝ่าย
เมื่อก่อนที่หลานจิ่นเอ๋อบอกว่าเข้าใจเย่แจ๋หยิ่งมากที่สุด ตอนนี้ดูแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ในตอนเด็กแอบตามผู้อื่นจนรู้ความลับเข้า แต่ยังโชคดีถึงไม่ตาย จนบัดนี้ยังจะมาโอ้อวดอีก
ไม่เข้าใจเสียจริงว่านางจะโอ้อวดสิ่งใด
“แล้วเจ้ารู้ตัวตนของเข้าแล้วหรือยัง?”นางถาม
“อืม!”เขาตอบตามตรง
ในตอนนั้นที่ได้ถุงผ้ามาเขาก็รู้แล้ว ส่วนที่ขาดหายไปถึงแม่จะสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องเอามา
เพราะถึงแม้ว่าจะมีคนที่เห็นทุกอย่างในถุงผ้าที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ทั้งหมด ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจมันได้
“ในวัยเด็ก อยู่ในสนามรบคงจะลำบากมากสินะ!”
ยิ่งกว่าความลำบาก?เด็กที่อายุยังไม่ครบสิบขวบ ต้องเข้าสู้รบกับเหล่าทหาร ถ้าไม่ใช่เพราะโชคดี คาดว่าคงไม่มีทางรอดจากการสู้รบครั้งแรกเป็นแน่
“นับรอดตายนับครั้งไม่ถ้วน!”
ทันใดนั้นเย่แจ๋หยิ่งก็นึกถึงครั้งแรกที่เขาฆ่าศัตรู เขาที่ไม่เคยฆ่าผู้ใดมาก่อน มองดูภาพผู้คนล้มตายเลือดเนื้อกระเด็นเต็มไปหมด ถึงแม้เขาจะไม่ถอยทัพ แต่เขากลับไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใด
แต่หลังจากที่เขามองดูทหารหลายสิบนายที่คอยปกป้องเขาค่อยๆตายไปทีละคนๆ เขาถึงได้ลงมือฆ่าคน หลังจากสงครามครั้งนั้นสิ้นสุดลง มีแม่ทัพท่านหนึ่งมองดูเขาที่ทั้งร่างกายเปื้อนไปด้วยเลือด มือถือดาบฆ่าคนฆ่าจนเกิดอาการสั่น แล้วยังไม่หยุดที่จะคำราม จากนั้นก็โอบกอดเขาเอาไว้
“องค์ชายเก้า ในสนามรบหากไม่ใช่ท่านตายก็เป็นข้าที่ต้องตาย ครั้งแรกที่ท่านเข้าสู้รบก็สามารถสู้ได้ถึงเพียงนี้ ช่างเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านดานรบจริงๆ”
ในตอนนี้เอง!เย่แจ๋หยิ่งบีบมึงของนางเบาๆ พลางจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มจางๆ
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ถามว่าตัวตนที่แท้จริงของข้าเป็นเช่นไร?เหตุใดถึงไม่ทำว่าราชครูแห่งราชวงศ์เก่ามาเป็นอาจารย์ของข้าได้อย่างไร?”
“ข้า……”
“เจ้ายังกังวลเกี่ยวกับสิ่งใดกัน?”เย่แจ๋หยิ่งมองดูท่าทางที่ยังมีความกังวลของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือลูบหน้าของนางเบาๆ จากนั้นก็หยิบยาออกมาขวดหนึ่ง ค่อยๆทามันลงไปบนหน้าผากของนาง จากนั้นก็เปิดแขนที่ได้รับบาดเจ็บของนาง แล้วมายาให้นางอย่างเห็นใจ
“เจ้าเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่เคยคิดที่จะเข้าใจในตัวข้า ทั้งยังไม่เคยที่จะแตะต้องขีดจำกัดของข้า แต่เยาเยา เจ้าได้ให้เข้าใจในตัวเจ้าแล้ว ระหว่างพวกเราควรจะปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เจ้าควรที่จะเข้าใจข้า ควรที่จะทำความเข้าใจตัวข้าให้มากกว่านี้”
มุมปากของหลานเยาเยากระตุกขึ้น
มีคำขอเช่นนี้ด้วยงั้นรึ?
“ก็ได้ ข้าก็จะพยายามฝืนตัวเองฟังเรื่องตัวตนของเจ้า สิ่งที่เจ้าเคยพบเจอ และก็ทุกอย่างของเจ้า”
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง เย่แจ๋หยิ่งก็ยิ้มออกมาอย่างระอา
เขาไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ตัวเองจะมาขอร้องให้หญิงสาวคนหนึ่งมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวตนและความเป็นมาของตัวเอง
สิ่งนี้เป็นความลับที่เขาพยายามปกปิดมาตลอดเชียว……