บทที่ 398 ราวกับว่าโดนหลอก
ที่นี่ถูกสร้างขึ้นในการรวบรวมกองกำลังอำนาจ แล้วเทพธิดานั้นคงตัดสินใจที่จะโค่นมันลง
ฮิฮิ!เห็นท่าทางที่แน่วแน่นี้ของเทพธิดาแล้ว ผู้ที่อยู่ในกองกำลังนี้กำลังจะพบกับความโชคร้ายแล้ว ส่วนผู้บงการนั้นก็ยิ่งโชคร้ายเข้าไปอีก
“คุณหนู แล้วนี่เป็นกองกำลังของผู้ใดกัน?”ถิงเมี่ยนรวบรวมความกล้าถามออกไป
ถึงขนาดที่สามารถทำให้เทพธิดาออกโรงด้วยตัวเอง แสดงว่าผู้บงการเบื้องหลังต้องไม่ใช่คนธรรมดาเพียงคนหนึ่งแน่นอน
“ฮ้องเตองค์ปัจจุบัน!”
หลานเยาเยาตอบกลับอย่างเฉยเมย แต่กลับทำให้ยู่หลิวซูและถิงเมี่ยนตกใจไม่เบา
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน!
เทพธิดาไม่ใช่อยู่ฝ่ายเดียวกับฮ่องเต้หรอกหรือ?
เหตุใดจู่ๆถึงได้คิดโจมตีกองกำลังที่ฮ่องเต้แอบรวมรวมฝึกฝนไว้ด้วย?
ทว่าเมื่อพวกเขาขยับสายตาไปเห็นรอยแผลที่ยังฟกช้ำบนหน้าผากของเทพธิดา รวมทั้งไม่กี่วันมานี้ สาวใช้ทั้งสองคนของเทพธิดาก็เกิดเรื่องขึ้นตามๆกันไป จากนั้นพวกเขาก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
“มีคนในหมู่บ้านนี้จำนวนเท่าไหร่กัน?”ยู่หลิวซูถาม
ในเมื่อเทพธิดารู้ชัดเจนขนาดนี้ คิดว่านางก็คงจะมาสำรวจหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว ที่พาคนมาครั้งนี้เพียงแค่โจมตีก็เพียงพอแล้ว
ผู้ใดจะรู้ว่า……
“ไม่แน่ใจ ดังนั้นจึงเรียกให้พวกเจ้าสองคนมา?”ไม่อย่างนั้นจะเรียกให้พวกเจ้ามาทำไมเล่า?
ยู่หลิวซู:“······”
ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในนั้นมีเท่าใด?
เทพธิดาก็กล้าพาทหารมาโจมตีแล้ว?
นี่มันจะดีจริงหรือ?
ยู่หลิววูและถิงเมี่ยนหันมาสบตากัน ด้วยความรู้สึกว่ากำลังได้เจอเรื่องใหญ่แล้ว หลังจากที่ได้ยินงานที่หลานเยาเยาจัดเตรียมให้พวกเขาไปทำแล้ว ทั้งสองก็ถึงกับร้องไห้อย่างไร้น้ำตา
งานของพวกเขาก็คือให้พวกเขาทั้งสองแสร้งทำเป็นเข้าไปอยู่ในหมู่บ้าน ตรวจนับจำนวนคนที่อยู่ในนั้นว่ามีเท่าไหร่กันแน่ จากนั้นรอให้พวกเขาออกมาแล้วค่อยคิดแผนโจมตีหมู่บ้านอีกที
เมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขา หลานเยาเยาก็กระแอมออกมาเบาๆ จากนั้นก็ลูบจมูกตัวเองแล้วยิ้มบางๆ
“แค่กๆ กลัวอะไรกัน?ก็แค่ให้พวกเจ้าเข้าไปสำรวจความจริงในนั้นเองไม่ใช่หรือไร?ไม่ได้ส่งพวกเจ้าไปลานประหารเสียหน่อย อีกอย่างนี่คือภารกิจอย่างหนึ่งที่พวกเจ้าต้องทำเมื่อเข้าสู่สำนักหงอี ฟังให้ดี ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแค่ทำให้สำเร็จก็พอแล้ว”
น้ำเสียงราวกับกำลังเล้าโลมเด็กน้อยเสียอย่างนั้น
ยู่หลิวซูและถิงเมี่ยนก็ยิ่งใจไม่นิ่งขึ้นมา
พูดจบ หลานเยาเยาก็เห็นคนที่อยู่ด้านหลังของยู่หลิวซูและถิงเมี่ยนกำลังปิดปากหัวเราะ ให้ความรู้สึกราวกับเป็นที่เคยเจอประสบการณ์นี้มาก่อน นางจึงรีบถลึงตาใส่พวกเขา พวกเขาจึงหันหลังไปอย่างว่าง่ายแล้วแบหัวเราะต่อไป
ยู่หลิวซูและถิงเมี่ยนที่ไม่เข้าใจ รู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกๆไปอย่างกะทันหัน แต่ก็พูดไม่ออกมามันแปลกตรงไหน พอหันหลังกลับไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง คนที่อยู่ข้างหลังก็รีบหันหน้ากลับมาแล้วจ้องมองพวกเขาอย่างจริงจัง
ราวกับว่างานที่เทพธิดามอบหมายให้กับพวกเขานั้นไม่มีอะไรผิดปกติ
เมื่อเห็นดังนั้น
พวกเขาก็ค่อยๆยอมรับงานที่ได้มา งานที่เทพธิดามอบหมาให้พวกเขานั้นเป็นการทดสอบความสามารถของพวกเขา อีกทั้งเทพธิดาก็หวังที่จะเอาชนะหมู่บ้านแห่งนี้ พวกเขาจะต้องทำมันออกมาอย่างสุดความสามารถถึงจะถูก
จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ลงจากเขามาพร้อมกัน วางแผนว่าจะทำการแต่งตัวให้ดีเสียก่อนแล้วจึงค่อยแฝงตัวเข้าไปในหมู่บ้าน
พวกเขาเดินไปพลันพูดคุยกันไปด้วย
“รู้สึกว่ายังมีบางอย่างไม่ปกติ……”
“ความรู้สึกเหมือนกำลังจะตกหลุมพรางอย่างนั้นใช่หรือไม่?”
“อืม มีความรู้สึกนี้จริงๆ”
“มีก็ถูกแล้ว หมู่บ้านแห่งนั้นก็คือหลุมอันใหญ่นั่นเอง พวกเราจะต้องกระโดดลงไปในหลุมนั้นสำรวจหนทางให้กับเทพธิดา จากนั้นก็ร่วมมือกับเทพธิดาที่อยู่ด้านนอกทำลายศัตรูที่อยู่ด้านใน ”
“ใช่ความรู้สึกนี้หรือไม่?”ยู่หลิวซูแสดงออกถึงความสงสัยอันลึกซึ้ง
หลังจากที่จ้องมองพวกเขาลงเขาไป
แววตาของหลานเยาเยาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
ในเมื่อนางสามารถตรวจหาถึงความเป็นมาของหมู่บ้านแห่งนี้ได้ มีหรือที่นางจะไม่รู้จำนวนคนที่อยู่ในหมู่บ้าน?
ที่ส่งให้ยู่หลิวซูและถิงเมี่ยนเข้าไป เพราะมีประโยชน์อย่างอื่น
“เจ้าสำนัก แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อไป?”หนึ่งในหัวหน้าคุมกล่าวขึ้นมา
“รอให้ถึงตอนค่ำแล้วค่อยลงมือ พวกเจ้าทั้งสี่แต่ละคนนำกองกำลังหนึ่งกอง ซุ่มรออยู่ทั้งสี่ด้านของหมู่บ้าน รอจนตกเย็นให้ถึงเวลาทำอาหาร จากนั้นก็ปล่อยควันสลบให้คละเคล้าไปกับหมอกควันและควันไฟอาหาร”
เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องก็จะได้ง่ายขึ้น
“รับทราบ!”
ผู้คุมทั้งสี่ลงเขาไปพร้อมกับกองกำลังของแต่ละคน หลานเยาเยาจึงให้เหลือเพียงคนติดตามนางคนเดียวเท่านั้น
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยม หลานเยาเยาก็ยังคงอยู่บนเขานั้นทั้งครึ่งชั่วยาม
ในเวลานั้นเอง สายลับก็ขึ้นมารายงาน
“เจ้าสำนัก ในศาลาชีลีที่อยู่ใกล้ๆนี้พบเจอตัวของจ้าวสู้จือ”
ได้ยินเช่นนั้น!ดวงตาของหลานเยาเยาก็หรี่ลง อุณหภูมิบนร่างกายเยือกเย็นลงไปมาก
จ้าวสู้จือจ้าวซื่อก็คือมารดาของหลานจิ่นเอ๋อ และเป็นฆาตกรที่สังหารแม่ของนางด้วย ตั้งแต่หลังจากที่หลานจิ่นเอ๋อถูกตัดสินประหารชีวิต หลานเฉินมู๋ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง จ้าวซื่อก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลานเยาเยาพายามหาตัวนางมาโดยตลอด แต่ที่ผ่านมาก็หาตัวไม่เคยพบ คิดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้
“นำทางไป!”
——
ศาลาชีลี。
ศาลาชีลีไม่ได้ถูกสร้างขึ้นบนทางราชการ แต่สร้างขึ้นบนเนินเขา นอกจากศาลาชีลี แล้ว ข้างๆของศาลาชีลีเป็นวัดชีตั้งอยู่ เนื่องจากวัดชีแห่งนี้ชื่อค่างไร้ชื่อเสียง ด้านในจึงแม่ชีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แล้วบริเวณโดยรอบของศาลาชีลีนั้นล้วนปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มและหินรูปทรงแปลกประหลาด ตรงหลังคาของศาลามีการยกสันสูง เป็นรูปหกเหลี่ยมสูงตระหง่าน บนสันหลังคามีการแกะสลักมังกรและสัตว์ประหลาดที่ทำท่าทางแปลกๆบางตัวเอาไว้
ดังนั้นศาลาเล็กๆแห่งนี้จึงดูมีบรรยากาศที่ดีมากว่าวัดชีอย่างมาก อีกทั้งศาลานี้ก็มีระยะห่างจากเมืองหลวงเจ็ดลี้พอดี จึงได้ถูกขนานนามว่าศาลาชีลี
มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งอยู่ในศาลา สภาพผมยุ่งเหยิง สวมด้วยชุดผ้าสีเทา สวมรองเท้าเอาไว้และมีผ้าคลุมโพกหัวเอาไว้ ซึ่งมีเพียงหญิงชราในครอบครัวยากจนถึงจะแต่งกายเช่นนี้
ผิวที่เผยออกมาด้านนอก ได้จงใจทาวัตถุสีเหลืองคล้ายขี้ผึ้งเอาไว้ ซึ่งนั่นทำให้นางดูแก่มากยิ่งขึ้น
หญิงวัยกลางคนถือถุงสัมภาระสีดำเอาไว้ สีหน้าลุกลี้ลุกลน เท้าขยับไปมาอยู่กับพื้น สายตาจ้องมองไปยังทางเดินขึ้นเขาเป็นครั้งคราว
นางกำลังรอใครบางคนอยู่
แต่ก็ไม่พบเขาเสียที
ในตอนนั้นเอง!
มีคุณชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีแดง พร้อมเสน่ห์อันเย้ายวนราวกับหยกเลือด เดินเข้ามาภายในศาลา นั่งลงตรงข้ามกับหญิงวัยกลางคน
คนผู้นี้ก็คือหลานเยาเยาที่แต่งกายเป็นบุรุษ ในมือของนางถือเข้มเงินสามเล่มเอาไว้ พร้อมกับสะบัดมันไปมาราวกับพัดบนมือตัวเอง
หลานเยาเยามองไปยังหญิงวัยกลางคน ก็รับรู้ได้เลยว่านางก็คือจ้าวซื่อไม่ผิดแน่นอน
ส่วนจ้าวซื่อที่เมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาในศาลาก็ยิ่งระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น และเมื่อได้เห็นรอยประทับลายดอกไม้บนหน้าของหลานเยาเยา สีหน้าของนางก็ซีดขึ้นมาทันที จึงลุกขึ้นเตรียมตัวจะเดินออกไป
เสียง“ชืบ”ดังขึ้น เข็มเงินเล่มหนึ่งก็ลอยผ่านหน้าจ้าวซื่อไป สุดท้ายก็ปักลงไปยังเสาไม้แดง
จ้าวซื่อตัวสั่นเทา กลับมานั่งยังที่เดิมอย่างว่าง่ายก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างสั่นๆ
“ตัวข้านั้นเพียงเมื่อล้าจึงหยุดพัก ไม่รู้ว่าไปทำสิ่งใดให้คุณชายขุ่นเคืองใจ แต่ข้าหวังว่าคุณชายจะให้อภัย ถ้าหากที่นี่เป็นเขตของท่านข้าที่ทั้งตัวมีแต่ผ้าขี้ริ้วก็จะไปนั่งที่อื่นแทน เพื่อไม่ให้เคืองสายตาของคุณชาย”จ้าวซื่อพูดอย่างระมัดระวัง
หลานเยาเยากระตุกริมฝีปากแดงระเรื่อขึ้น โดยไม่สนใจคำพูดของนางแม้แต่น้อย แต่กลับพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
“หลานเฉินมู๋ถูกปลดออกจากตำแหน่ง จวนแม่ทัพถูกตรวจค้น หลานจิ่นเอ๋อเองถูกทรมานจนตาย ท่านในฐานะผู้เป็นมารดา ไม่คิดที่จะแก้แค้นให้ลูกสาว แต่กลับถือหางวิ่งหนีไป ท่านคิดว่าท่านจะสามารถหนีพ้นหรือ?”
“คุณชายพูดสิ่งใดกัน ข้าไม่เข้าใจ ข้าเป็นเพียงสามัญชนเท่านั้น มีได้มีความเกี่ยวข้องใดกับจวนแม่ทัพ เกรงว่าคุณชายจะจำคนผิดแล้ว”
เมื่อถูกเปิดเผยตัวตน จ้าวซื่อ(จ้าวซื่อ หมายถึงคนที่แซ่จ้าว)ก็ร้อนรนไปไม่ถูก หน้าผากก็มีเม็ดเหงื่อออกมาเต็มไปหมด