บทที่ 457 เอามีดแทงตัวเอง
“ท่านเป็นคนได้เปรียบ ข้าจะทำให้ท่านโกรธได้เช่นไร?”
น้ำเสียงสงบสบายและโอนอ่อนของหลานเยาเยา ทั้งยังแฝงด้วยเสน่ห์เล็กน้อย นี่เห็นได้ชัดว่าหลานเยาเยาจงใจทำน้ำเสียงให้อ่อนโยนเท่านั้น
แต่เขาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ รีบลุกขึ้นทันที
“เยาเยา ข้าไม่สามารถอยู่นานเกินได้ ต้องกลับไปแล้ว”
พูดพลาง เย่แจ๋หยิ่งก็เตรียมจะลุกขึ้น เพียงแต่โดนหลานเยาเยากดกลับไปบนเก้าอี้อย่างกะทันหัน
“ไม่ว่าอย่างไรก็ออกมาแล้ว เวลานี้ก็ไม่ต้องรีบ ท่านนั่งดีๆให้ข้า ข้าไปต้มของมาให้ท่านกิน ท่านรอข้าจะเป็นการดีที่สุด หากว่ากลับมาไม่เห็นท่าน หลังจากนี้ท่านก็ไม่ต้องมาแล้ว”
เผชิญหน้ากับคำพูดข่มขู่ของหลานเยาเยา เย่แจ๋หยิ่งพยักหน้าอย่างจนปัญญา
“ได้ จะไม่ไป!”
เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม
ซุปเนื้อไก่โก๋วจี้ชามหนึ่งหอมหวนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“รอนานแล้วล่ะสิ?” หลานเยาเยามองหน้าเขาแล้วถาม
“พอใช้ได้!” เย่แจ๋หยิ่งตอบอย่างตั้งใจมาก
“พอใช้ได้? เช่นนั้นความหมายคือใช่หรือว่ารอนานแล้วสินะ?” นางถามอีก
เย่แจ๋หยิ่งเข้าใจทันที รีบเปลี่ยนคำ : “ไม่ เยาเยาทำเลี้ยงให้โดยเฉพาะ นานเท่าไหร่ข้าก็ยอมรอ”
คราวนี้
หลานเยาเยาจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ
“ข้าทำอาหารมาให้ท่านสองอย่าง นี่คืออาหารอย่างที่หนึ่ง รอกินอันนี้เสร็จ ค่อยให้ท่านกินอาหารอย่างที่สอง”
น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง ชายตามองด้วยรอยยิ้ม หากว่าเย่แจ๋หยิ่งยังไม่ลงมือดื่มซุป ท่าทางเช่นนั้นของนางราวกับว่าต้องการจะป้อนเขาด้วยมือตัวเองแล้ว
เย่แจ๋หยิ่งมองนางด้วยความสงสัย เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีชนิดหนึ่ง
แต่ไม่ได้กล่าวอะไร หยิบช้อนกินซุปทีละคำทีละคำ แววของหลานเยาเยาอมยิ้ม ใจกลับเย็นลงทีละนิ้วทีละนิ้ว
หลังจากที่พบสายตาที่รุนแรงของหลานเยาเยา เย่แจ๋หยิ่งเงยหน้า ตาทั้งสี่ประสานเข้ากับนางพอดี
เพียงแค่แวบเดียว เย่แจ๋หยิ่งก็รีบเก็บสายตากลับไปทันที จากนั้นก็ก้มหน้าดื่มซุปต่อ รอจนดื่มหมด มุมปากของเขาก็มีรอยยิ้ม ยกชามเปล่าให้นางดู
“ข้าดื่มหมดแล้ว”
หลานเยาเยา “อืม” เสียงหนึ่ง น้ำเสียงก่อนหน้านี้ที่อ่อนโยน เปลี่ยนเป็นเรียบๆ
นางยกถาดใบใหญ่ใบหนึ่ง บนถาดมีฝาครอบคลุมไว้ สุดท้ายก็วางไว้ด้านหน้าของเย่แจ๋หยิ่งอย่างระมัดระวัง ไม่มีกลิ่นหอม ไม่มีอุณหภูมิ เดาไม่ออกว่าข้างในวางอะไรเอาไว้
เย่แจ๋หยิ่งค่อนข้างสงสัยเล็กน้อย
เอื้อมมือไปเปิดฝา รอยยิ้มที่ปริขึ้นแข็งทื่อในพริบตา
ที่วางอยู่กลางถาดนี้เป็นอาหารที่ไหนกัน?
ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งของที่หมอต้องการใช้ ยาน้ำ สิ่งของประเภทผ้า
คราวนี้……
ยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก?
เขาถอนหายใจ กล่าวอย่างเรียบๆ : “เยาเยา ทำไมเจ้าชั่งฉลาดเช่นนั้นนะ? อยากปิดบังก็ปิดบังไม่ได้”
ยังจะปิดบัง?
คิดว่าไม่ให้นางตรวจชีพจรนางก็จะไม่มีวิธีช่วยเขาตรวจร่างกายแล้ว?
ไร้เดียงสา!
ก็ไม่ดูว่าในสมองของนางปลูกระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บชั้นสูงอะไรเอาไว้ เพียงแค่ร่างกายสัมผัสโดนเขา นางก็สามารถให้ระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บตรวจสอบร่างกายของเขาได้
“เข้ามา!”
น้ำเสียงของหลานเยาเยาค่อนข้างมีโทสะ เย่แจ๋หยิ่งทำได้เพียงเชื่อฟัง
มองดูเย่แจ๋หยิ่งที่เชื่อฟังดั่งลูกสุนัขที่ไม่หย่านมอยู่ข้างกายนาง หลานเยาเยาไม่พูดพร่ำก็ฉีกเสื้อผ้าเขาโดยตรง การกระทำหยาบมาก นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดีมากแค่ไหน
เห็นบนท้องของเขาพันด้วยผ้า แม้จะใส่ยาแล้ว แต่กลับมีเลือดออกมาแล้ว
คาดว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับจื่อซีและจื่อเฟิง ดึงถูกปากแผลแล้ว
ในใจเป็นห่วงทันที ก็ไม่รู้ว่าเพราะเป็นห่วงหรือโกรธ
ริมฝีปากแดงๆของนางเปิดขึ้นเล็กน้อย :
“ได้มาตอนไหน?”
นางถามไปพลางดึงผ้าออกไปพลาง ครุ่นคิดวนเป็นร้อยรอบ เมื่อบาดแผลที่น่าตกใจนั่นปรากฏต่อหน้าของนาง หลานเยาเยาอึ้งไป
บาดแผลนี้……
ชัดเจนว่าเป็นตอนนั้นที่พวกเขาจงใจแสดงละครให้คนอื่นดูที่ร้านประมูลเสินตู ตำแหน่งที่นางแทงคือบาดแผลปลอมของเขา
แต่เวลานี้บาดแผลนี้กลับเป็นบาดแผลจริง เลือดสดรินไหล
“เย่แจ๋หยิ่ง ท่านตอบสิ ทำไมตรงนี้ถึงมีบาดแผล ไม่ได้บอกว่าทำปลอมหรือ?”
ทั้งๆที่ตกลงแล้ว หลังจากแสดงละครที่ร้านประมูลเสินตู ก็จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลในภายหลังแล้ว แต่ตอนนี้เป็นเช่นนี้
หลานเยาเยาปิดตาลงเงียบๆ
นางรู้แล้ว เขาแสดงละครหลอกแต่ทำจริง จงใจปิดบังนาง
ประการแรก คือรู้ว่านางไม่เห็นด้วยที่เขาทำเช่นนี้
ประการที่สอง คือเพื่อไม่ให้ราชครูเทียนเวิงรู้
“เยาเยา……”
เย่แจ๋หยิ่งเรียกนางเบาๆ จากนั้นก็ยื่นมือมากุมมือที่สั่นเทาของนาง
นึกถึงสองสามวันก่อน พบว่าราชครูเทียนเวิงได้เกิดความสงสัยต่อบาดแผลปลอมของเขา เพื่อไม่ใช้ราชครูเทียนเวิงรู้ว่าเป็นเพียงการแสดงละครของเขาและหลานเยาเยา ถึงเวลา หลานเยาเยาก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น
เขาไม่มีทางอื่น ใช้มีดสั้นแทงช่วงท้องของตัวเองเข้าไปอย่างแรงมีดหนึ่ง……
“เยาเยา แสดงละครสมจริงแค่ไหนก็เป็นของปลอม หลอกผู้อื่นได้ แต่หลอกราชครูเทียนเวิงไม่ได้ เขาเป็นอาจารย์ของข้า เป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมอย่างยิ่ง ไม่ได้เห็นบาดแผลด้วยตาของตัวเอง เขาก็จะไม่เชื่อง่ายๆ”
เขานี้ก็ทำด้วยความจนปัญญา
ใครจะยอมเอามีดแทงไปที่ร่างกายของตัวเองล่ะ?
“ดังนั้นท่านก็แทงตัวเองด้วยตัวเอง?”
“ข้าเชื่อ หากเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าก็จะเลือกทำเช่นเดียวกัน”
นี่แน่นอน
หลานเยาเยาไม่มีอะไรจะกล่าว ทำได้เพียงมองดูเขานิ่งๆ
เงียบงันอยู่นาน
หลานเยาเยาก็เคลื่อนสายตาไปบนบาดแผลของเขา เอาผ้าพันแผลออก ในบาดแผลเลือดค่อยๆไหลออกมา กลายเป็นรอยเลือด ค่อยๆไหลริน
หลานเยาเยาไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรโกรธ
ถึงอย่างไร นางก็ได้เอากำปั้นตีเข้าไปแรงๆทีหนึ่ง ตีบนหน้าอก ตีไม่หนัก แต่ก็ไม่เบา
“ซื้ด……”
เย่แจ๋หยิ่งกุมหน้าอกกล่าวว่า : “เจ็บ!”
ความจริงไม่เจ็บ เขาเพียงหวังว่านางจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์หรือโกรธ
“ท่านเจ็บให้ตายไปเลยละกัน ยังไงซะท่านก็ไม่เอาชีวิตอยู่แล้ว?”
หากว่านางไม่รู้เหตุการณ์ภายใน จะต้องคิดว่า เป็นผู้ที่มีความแค้นแสนสาหัสกับเขาเป็นคนทำ
“ล้วนผ่านไปแล้ว เดิมทีไม่อยากให้เจ้ารู้ ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เช่นนั้นก็จะต้องเอ็นดูข้ามากๆ ข้าให้เจ้าไปทางตะวันออกเจ้าก็ห้ามไปทิศตะวันตก ไม่เช่นนั้นมีดนี้ก็แทงไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว”
หลานเยาเยาโดนเขายั่วโมโหจนยิ้มแล้ว
หลังจากฟังคำพูดที่เหมือนกับเด็กเป็นที่สุดของเขาแล้ว กลับด่าไม่ออก กลับเป็นเบ้าตาแดงโดยไม่รู้ตัว
“ได้ ฟังท่านทั้งหมด”
ด้วยเหตุนี้ นางก็จัดการบาดแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง กระทำเบามาก เกรงว่าจะทำให้เขาเจ็บ เย่แจ๋หยิ่งก็มองดูนางนิ่งๆเช่นนี้ ปล่อยให้นางกระทำการบนร่างกายของตัวเอง
ความจริง!
มีนางรักเอ็นดูดีมากๆ
“เยาเยา ข้าอยาก……”
“อยากอะไร?” หลานเยาเยาเงยหน้ามองเขาอย่างสงสัย
“อยากนอนด้วยกันกับเจ้า นอนเตียงเดียวกันหมอนเดียวกันทุกวัน”
“เย่แจ๋หยิ่ง……”
ขณะกล่าวคำนี้ เย่แจ๋หยิ่งก็ได้แอบสังเกตสีหน้าขอหลานเยาเยา มองดูการแสดงออกทางอารมณ์ของนางที่ทั้งอายทั้งโกรธ ทันใดนั้นเขาก็ปริยิ้มขึ้นอีกครั้ง
ไม่รู้ทำไม
เขาอยากแกล้งนางมากๆขึ้นมาทันใด อยากอยู่ติดกับนางมากๆ เกรงว่าหลังจากนี้จะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก
“เมื่อสักครู่เจ้าเพิ่งพูดอะไรจะฟังข้าทั้งหมด เพียงความต้องการเล็กน้อยเช่นนี้ของข้า เจ้าก็โกรธแล้ว”
“ท่าน……”
ทันใดนั้นพบว่า เย่แจ๋หยิ่งเปลี่ยนแล้ว ค่อนข้างมีความเป็นเด็กขี้โมโห และค่อนข้างไม่จริงจังอีกด้วย
“ข้าไม่ได้โกรธ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาคับขัน ท่านได้รับบาดเจ็บแล้ว เคลื่อนไหวไม่สะดวก ราชครูเทียนเวิงก็ไม่เชื่อใจท่านอีก ให้คนจับตามองท่านทุกขณะ ท่านมาที่นี่ครั้งสองครั้งยังพอได้ มาหลายครั้งแล้ว เกรงว่าจะทำให้เกิดความสงสัย”