บทที่ 462 โหลวเย่วเช็ดน้ำตา
……
เมื่อหลานเยาเยาออกมาจากแหล่งชุมชนคนยากจน ก็เกือบจะใกล้ค่ำแล้ว
เพราะออกมาจากตำหนักเทพธิดาก็เพื่อสะกดรอยตามพวกผู้เฒ่า ไม่ให้เขารู้ ดังนั้นนางเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดา ค่อนข้างเป็นกลางชนิดนั้น ผมก็ยกตั้งขึ้น ไว้หน้าม้า เทเอียงไว้สองข้าง เป็นแบบคุณชายที่เจ้าชู้ร่ำรวยในสมัยก่อนชนิดนั้น
มองดูถนนหนทางที่ไม่ได้คึกคักมาก หลานเยาเยาตั้งใจเอาหน้าม้ายาวๆบังรอยดอกไม้บนใบหน้าไว้โดยเฉพาะ จากนั้นก็ก้าวเดินไปในฝูงชน
มาถึงเขตกลางเมืองที่มีกิจกรรมการค้ามากมาย
นางเดินไปทางถนนหนทางที่จัดวางอาหารว่างยามค่ำคืนไว้
นางมาแล้วตอนกลางวัน ตอนนี้ผ่านจากเส้นทางนี้ก็เป็นเพียงสัญชาตญาณของนักกิน ผ่านปากทาง นางมองไปทางซุ้มขายขาหมูที่ตัวเองมักจะมาอุดหนุนบ่อยๆอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อมองดู ทำให้นางอดตะลึงเล็กน้อยไม่ได้
ด้านข้างของโต๊ะข้างซุ้มขายขาหมู โหลวเย่วนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
เจ้าของซุ้มขายของเอาขาหมูชุดแรกให้นาง นางก็ไม่กินแต่วางไว้ด้านข้าง ก็ไม่รู้ว่า ยิ้มแล้วพูดอะไรประโยคหนึ่ง แล้วก็เอียงหน้ามองดูขาหมูชุดนั้น
ท่าทีเช่นนั้นราวกับว่าอร่อยมาก ในแววตาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่อยากจะกิน แต่สุดท้ายนางก็ยังไม่กิน รอจนเมื่อเจ้าของซุ้มขายของเอาขาหมูชุดที่สองมาให้ นางจึงได้เริ่มกินคำใหญ่ขึ้นมา
แต่กินไปกินไป นางก็แอบเช็ดน้ำตา
ราวกับว่าขาหมูหอมๆชุดหนึ่ง ก็มีเวลาที่ทำให้นางกลืนลงไปได้ยาก
นางเป็นอะไร?
หลานเยาเยาเอียงตัวและเดินไปทางนาง อย่างสบายใจ จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะนั้นโดยตรง
ด้านหน้าของนางก็คือขาหมูชุดหนึ่งที่หอมกรุ่น โหลวเย่วตั้งใจเหลือให้นางโดยเฉพาะ แน่นอนว่าเหลือไว้ให้นางที่ได้ตายไปแล้ว และไม่ใช่นางที่ได้เปลี่ยนเป็นเทพธิดา
ยังไงซะก็คือเหลือให้นาง ไม่กินก็ไร้ประโยชน์ที่จะไม่กิน
นางตั้งใจหยิบขาหมูขึ้นมาแล้วกิน ก็มองเห็นโหลวเย่วมองมา สีหน้าท่าทางเหมือนเจอผี
“ท่านไม่ใช่……”
เดิมทีโหลวเย่วยังคิดอยากด่าคน เมื่อเห็นชัดว่าเป็นหลานเยาเยา ก็รีบเงียบทันที
“เลี้ยงของกินข้า? อย่าพูดว่าเสียดาย”
หลานเยาเยามองดูขาหมูแล้วเลิกคิ้ว พูดจบ หลานเยาเยาก็เริ่มกินขาหมูชามนั้น
“……”
โหลวเย่วที่ไม่เคยพบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เช็ดน้ำตาที่หางตา มองดูคนข้างกายที่กินอย่างเอร็ดอร่อยนิ่งๆ
ในใจค่อนข้างหงุดหงิด
สุดท้ายก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทำได้เพียงพูดเสียงต่ำๆหนึ่งประโยค :
“ไม่ถามหยิบเอาเองก็คือขโมย”
หลานเยาเยาหัวเราะเสียงหนึ่ง มือข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ค้ำศีรษะไว้ จากนั้นก็เอียงหัวมองโหลวเย่วแวบหนึ่ง กล่าวอย่างเฉยเมย :
“ใครบอกว่าข้าไม่ถาม? เมื่อครู่ข้าถามแล้ว เจ้าก็พยักหน้าแล้ว”
คราวนี้โหลวเย่วงงงัน นางรีบร้อนแก้ตัว
“ข้าพยักหน้าเมื่อไหร่แล้ว ท่านเป็นถึงเทพธิดาที่สง่าผ่าเผยผู้หนึ่ง……”
นางมองดูการแต่งตัวของเทพธิดาแวบหนึ่ง ในใจก็แจ่มแจ้ง คิดว่าคงไม่อยากให้ผู้อื่นจำตัวตนของนางได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้เปลี่ยนคำพูด
“นึกไม่ถึงจริงๆว่าท่านเป็นคนแบบนี้ ตัวท่านเองไม่มีเหรียญเงินหรือ?”
เทพธิดาที่สง่าผ่าเผย เงินทองมากมาย ร่ำรวยมหาศาล ขาหมูอันหนึ่งคาดไม่ถึงว่าก็กินของผู้อื่น หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ก็ไม่อะไร ตอนนี้นางเป็นถึงศัตรูคู่อาฆาตของเสด็จอา
นางไม่สามารถให้นางกินได้
“ครั้งก่อนข้าเลี้ยงเจ้า หรือว่าครั้งนี้เจ้าไม่ควรเลี้ยงข้าหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่ตอนที่ข้าถามเจ้าเจ้าก็ผงกหัวผงกหัว ไม่ใช่ว่าเห็นด้วยแล้วคืออะไร?”
เอ่อ?
โหลวเย่วหมดคำจะพูดจาในทันที
นางผงกหัวผงกหัวเมื่อครู่ ไม่ใช่พยักหน้า แต่คือกำลังเช็ดน้ำตาอยู่ต่างหาก?
แต่เมื่อนางคิดกลับกัน ก็ไม่ได้โกรธขนาดนั้นแล้ว
ถึงอย่างไร!
เทพธิดาก็เคยเลี้ยงขาหมูนางจริงๆ แม้จะเป็นการโดนบังคับให้ถูกนางเลี้ยง แต่นั่นก็คือเลี้ยงแล้ว
นางแตกหักกับเสด็จอาแล้ว ยังแทงเสด็จอาบาดเจ็บอีก แต่ไม่รู้ทำไม นางก็เกลียดเทพธิดาไม่ลง
ช่างเถอะ ก็กินขาหมูอันเดียว อย่างไรซะไม่พูดมากความกับนางก็ได้แล้ว
คิดคือคิดเช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยสักนิด นางวางแผนไม่สนใจเทพธิดา หลานเยาเยากลับจงใจพูดคุยกับนาง
“เจ้าเป็นถึงองค์หญิงสง่างามผู้หนึ่ง นั่งกินอาหารที่ซุ้มอาหารข้างถนนผู้เดียวไม่ว่า ทำไมยังแอบเช็ดน้ำตาอีก? ใครรังแกเจ้า
ทำไมเจ้าไม่บอกเสด็จอาของเจ้า ให้เขาไปสั่งสอนคนผู้นั้นแทนเจ้าสักรอบ”
หลานเยาเยากินขาหมูไปพลางพูดไปพลาง และไม่ได้มองสีหน้าของโหลวเย่ว ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับของนาง กัดกินเนื้อมันๆนิ่มอร่อยคำโต
จึงจะมองไปทางโหลวเย่ว
ก็พบว่าโหลวเย่วมองนางด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด ทำให้นางค่อนข้างอึดอัดใจอย่างอดไม่ได้
“บนหน้าข้ามีทองติดอยู่หรือ?”
โหลวเย่วส่ายหน้าโดยตรง จากนั้นแววตาก็เต็มไปด้วยความระมัดระวัง : “ท่านอย่าคิดฝันที่จะหลอกถามสถานการณ์ของเสด็จอาจากที่ข้านี้ ข้าไม่บอกท่านหรอก”
ท่าทางเอาเป็นเอาตาย ทำให้หลานเยาเยาหัวเราะ
“เชอะ ข้าจะหลอกถามเจ้าทำไม? สำหรับสถานการณ์ของเสด็จอาของเจ้า เจ้ารู้มากกว่าข้างั้นหรือ?”
เมื่อคำพูดนี้ออกไป
โหลวเย่วตะลึงงัน จากนั้นก็สีหน้าอึ้ง
ถูกสิ!
เทพธิดาลึกลับคาดเดาไม่ได้ มีนักรบใต้บัญชานับไม่ถ้วน เสด็จอาก็ไม่กล้าทำอะไรกับนาง เรื่องที่นางรู้ต้องมากกว่านางเป็นแน่ นางมีอะไรให้หลอกถามกัน
“เช่นนั้นท่านเข้าใกล้ข้าทำไม?”
ได้ยินดังนั้น!
หลานเยาเยาก็กดเสียงต่ำ : “ข้าอยากกินขาหมู แล้วก็ถือโอกาสดูเจ้าองค์หญิงผู้หนึ่ง ไม่มีความทุกข์ร้อนกังวลใดร้องไห้อะไร? ใครรังแกเจ้า?”
“ไม่มีคนรังแกข้า นั่นข้าโดนทรายเข้าตา”
เอาเถอะ!
ทรายก็สามารถเข้าตาได้แล้ว เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่านางตาบอดแล้ว
เห็นโหลวเย่วไม่พูดจาอีก หลานเยาเยาก็ขี้เกียจจะหาเหาใส่หัว จึงได้เอาแต่กินตลอด ในไม่ช้าก็กินขาหมูชุดหนึ่งหมด
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะกินของมากมาย แต่ตอนนี้เหมือนว่าท้องยังสามารถเติมได้อีก
ด้วยเหตุนี้ก็สั่งขาหมูอีกชุดหนึ่ง
โหลวเย่วค่อนข้างตกตะลึงในปริมาณการกินอาหารของนาง ผ่านไปสักพัก นางพบว่านางมาเพียงแค่กินขาหมูจริงๆ จึงได้เข้ามาใกล้ๆอย่างเงียบๆ ถามทดสอบด้วยความระมัดระวัง
“เทพธิดา ใครก่อเรื่องก็ต้องรับเอง เรื่องของท่านกับเสด็จอา ห้ามนับข้าไปด้วยเด็ดขาด แบบนี้เถอะ หลังจากนี้ข้าไม่ช่วยท่าน และไม่ช่วยเสด็จอา พวกท่านอย่าทะเลาะกันจนหัวเด็ดตีนขาดไปข้างหนึ่งก็ได้แล้ว……”
“หยุดหยุด”
เห็นโหลวเย่วพูดจ้อไม่หยุด หลานเยาเยาก็ขมวดคิ้วมองดูนางเล็กน้อย ถามอย่างสงสัย :
“เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่?”
“ล้วนพูดกันว่าท่านเทพธิดาผู้นี้เก่งกาจมีฤทธิ์เดชความสามารถมาก ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ นี่จริงหรือไม่จริง? ข้ามีคำถามอยากถามท่าน”
คราวนี้ ถูกโหลวเย่วถามประจบ หลานเยาเยาก็ไม่กินขาหมูแล้ว ยืดเอวตรงขึ้นในทันที กล่าวด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง :
“เจ้าว่าไงล่ะ ข้าเป็นเทพธิดานะ ไม่มีอะไรที่ไม่รู้”
เห็นดังนั้น โหลวเย่วก็แววตาเปล่งประกายทันที
“จริงหรือ?”
“ยังจะหลอกเจ้าได้หรือ”
โหลวเย่วทำตัวลึกลับเช่นนี้อยากถามอะไร?
“เช่นนั้นท่านก็บอกข้า เซียวซื่อจื่อมีผู้หญิงที่ชอบแล้วใช่หรือไม่?”
เซียวซื่อจื่อ?
เซียวซื่อจื่อเซียวจิ่นหยูของจวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์? !
“เจ้าถามถึงเขาทำไม?” หลานเยาเยาเหลือบมองนางแวบหนึ่ง
“ก็ถามๆ”
เสียงของโหลวเย่วเบาไปนิด นางรีบก้มหัวลงไป แล้วถามด้วยเสียงต่ำอีกครั้ง : “คงไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้หรอกนะ? เมื่อครู่ยังบอกว่าตัวเองไม่มีอะไรที่ไม่รู้อยู่เลย”
เอ่อ……
ทันใดนั้นก็ถูกโหลวเย่วพูดย้อน
หลานเยาเยามุมปากกระตุกอย่างอดไม่ได้ “ข้ารู้แน่นอนอยู่แล้ว เขาไหนเลยจะมีอะไรผู้หญิงที่ชอบ เขาก็คือคุณชายครอบครัวขุนนางที่ร่ำรวยใช้เงินเป็นเบี้ย ชีวิตสำมะเลเทเมา แค่แสดงละครเท่านั้น แน่นอน เขาก็ไม่ได้ธรรมดาแบบที่เห็นอย่างผิวเผินขนาดนั้น”
“จริงหรือ?”