บทที่ 491 พูดความในใจกับโหลวเย่ว
พระราชธิดาจาวหยางมองดูน่องไก่ในมือ แล้วก็มองดูหลานเยาเยาที่หิวราวกับหมาป่าอีก อดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้
ไม่รู้ว่าอย่างไร
ทั้งๆ ที่เป็นของอย่างเดียวกัน ส่งมอบให้แก่นางจากมือของหลานเยาเยา ทำไมจึงชั่งน่าเอร็ดอร่อยยั่วยวนคนนักนะ?
ด้วยเหตุนี้!
นางกะพริบตา ตัดสินใจเด็ดขาด เอาน่องไก่ส่งเข้าไปในปากโดยตรง การกระทำที่รวดเร็ว คำหนึ่งทำให้น่องไก่หายไปหนึ่งส่วนสามทันที
จากนั้นภายใต้ดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆของหลานเยาเยา จัดการน่องไก่ด้วยความรวดเร็ว จนเมื่อเหลือเพียงกระดูกไก่หนึ่งชิ้น นางยื่นกระดูกไก่ไปด้านหน้าของหลานเยาเยาแบบยังไม่จุใจ
“ตอนนี้ไม่หนักแล้ว ท่านต้องการช่วยข้าถือไว้ไหม?”
“…….”
หลานเยาเยากุมหน้าผากอย่างจนปัญญาทันที “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตีเจ้าให้ตาย โหลวเย่ว พวกเราเพิ่งจะไม่เจอกันไม่นาน เจ้าก็เรียนสิ่งไม่ดีแล้วใช่หรือไม่? เจ้าลืมตากว้างๆมองให้ชัด ข้าเป็นถึงเทพธิดาที่สง่างาม แสดงความเคารพต่อข้าด้วยน่องไก่หนึ่งอันก็ไม่ยินยอมหรือ?”
เช่นนี้คือกำลังมองดูนางด้วยความเดียงสา
ท่าทางการแสดงออกว่าข้าไม่รู้อะไรเลย “ไม่ใช่ว่าท่านยื่นให้ข้ากินหรือ?”
หลังจากนั้น ใช้สายตาขอความช่วยเหลือมองไปทางเย่หลีเฉิน กล่าวอ้อนด้วยความน่าสงสารเป็นที่สุด :
“เสด็จพี่องค์ชายรัชทายาท เมื่อครู่ท่านก็เห็นชัดแล้ว น่องไก่คือเทพธิดาให้ข้า ข้าเพียงกินไปด้วยความหวังดีเท่านั้น ข้ามีทำอะไรผิดหรือ? ไม่มีนะเพคะ!”
อะไร?
นี่ยังเป็นโหลวเย่วอีกหรือ?
มองดูพระราชธิดาจาวหยางออดอ้อน สายตาที่น้อยใจนั่น พูดคำที่ตอบโต้ ยังทำให้หลานเยาเยาได้เห็นโลกกว้างขึ้นแล้ว
เย่หลีเฉินก็ทนสายตาเช่นนี้ของนางไม่ได้ ลูบศีรษะของนางด้วยความเอ็นดูอย่างมาก กำลังอยากพูดอะไร เขาก็ได้รับสายตาที่เฉียบแหลมข่มขู่จากหลานเยาเยา ยืดตัวตรงในพริบตา กล่าวไปตามหลักเหตุผลที่ถูกต้อง :
“แฮ่มแฮ่ม!”
“จาวหยาง เช่นนี้ก็คือเจ้าไม่ถูกแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเทพธิดาวิ่งวุ่นทั้งวันทั้งคืน เหน็ดเหนื่อยกับการใช้ความคิดในการทำงาน ลำบากอย่างที่สุด เจ้ายกน่องไก่ให้นางหนึ่งอัน เป็นเรื่องที่จำเป็น
นางเอาน่องไก่จากที่แสนไกลมาให้เจ้า ตัวนางเองล้วนทำใจไม่ได้ที่จะกิน ก็หอบมามอบให้เจ้าแล้ว เจ้าควรจะเรียนรู้ที่จะถ่อมตัวและเอื้อเฟื้อ จะกินให้หมดในครั้งเดียวได้อย่างไรล่ะ?”
เย่หลีเฉินกล่าวคำที่ขัดแย้งกับจิตสำนึก ตั้งใจเพิกเฉยต่อคราบมันที่ไม่ได้เช็ดที่มุมปากของหลานเยาเยา แต่จะเพิกเฉยอย่างไรก็เพิกเฉยต่อมือเรียวยาวของนาง…….ที่มีคราบน้ำมันข้างบนไม่ได้
เมื่อสิ้นสุดคำพูด
พระราชธิดาจาวหยางตะลึงทันที มองเย่หลีเฉินอย่างไม่น่าเชื่อ
“เสด็จพี่องค์ชายรัชทายาท เสด็จพี่องค์ชายรัชทายาท ท่านตื่น ท่านสามารถพูดจาอย่างไม่มีมโนธรรมได้อย่างไรล่ะเพคะ?
น่องไก่เป็นเทพธิดาให้ข้า เห็นได้ชัดว่าความหมายก็คือให้ข้ากิน ข้ากินหมดแล้วนางยังไม่พอใจอีก
นี่พูดเป็นอะไร ทำไมท่านก็พูดเอนเอียงไปทางนาง? ข้าถึงจะเป็นน้องสาวแท้ๆของท่านนะเพคะ!”
“แต่ เสด็จพี่เช่นนี้คือยึดถือความเที่ยงตรงไม่เข้าข้างคนกันเองนะ!”
ยังจะยึดถือความเที่ยงตรงไม่เข้าข้างคนกันเอง? นี่เห็นได้ชัดว่าลำเอียง!
เอียงไปถึงสุสานหลวงของบรรพบุรุษที่นั่นแล้ว
“เสด็จพี่องค์ชายรัชทายาท ท่านฟังข้าพูด……”
เย่หลีเฉินอุดหูทั้งสองข้างโดยตรง หลบเลี่ยงสายตาที่เคืองแค้นใจของพระราชธิดาจาวหยาง : “ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง……” จากนั้นก็ออกจากประตูห้องไปอย่างรวดเร็ว
“…….”
คราวนี้ไม่มีคนแล้ว ท่าทางที่พูดจาตรงไปตรงมาอย่างมีเหตุผลของจาวหยางก็สลายไป กล่าวด้วยน้ำเสียงหารือ :
“ไม่เช่นนั้น……รอกลับไปที่เมืองหลวง ข้าเลี้ยงขาหมูท่านหนึ่งอัน”
หลานเยาเยาหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาอันตรายเป็นพิเศษ ท่าทางราวกับว่าต้องการจะฆ่าคนครั้งใหญ่
“หนึ่งอัน?”
“เหมือนว่าจะน้อย น้อยไปเนอะ! เช่นนั้นก็สองเท่า สองเท่าเป็นเช่นไร?”
“สองเท่า?”
ทั้งร่างของหลานเยาเยาแผ่กระจายกลิ่นอายความหนาวเหน็บ ดวงตาหรี่ลงจนเป็นเส้นหนึ่งแล้ว
“อ่อไม่ไม่ไม่ไม่ สามารถเป็นสองเท่าได้ที่ไหนล่ะ! ข้าคิดๆ ข้าคิดให้ดีๆ อีกครั้ง”
สองเท่าไม่สำเร็จ หลานเยาเยาก็ชั่งโลภเกินไปแล้วนะ!
แต่ทว่า ความหมายของหลานเยาเยาเผยออกมาชัดเจนมาก ให้สองเท่าไม่ใช่ว่านางไม่พอใจ แต่รู้สึกว่านั่นคือการดูหมิ่นต่อนาง
ใบหน้าของโหลวเย่วขื่นขม อย่าดูว่านางเป็นองค์หญิงของประเทศหนึ่ง แต่นางจนมาก
เลี้ยงขาหมูหลานเยาเยาสองอันยังได้ ถ้าเลี้ยงมาก นางไม่มีเงินจ่าย
แต่ทว่า!
สายตาที่ข่มขู่ของหลานเยาเยายิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทำอะไรไม่ได้ นางทำได้เพียงกล่าวด้วยความเจ็บปวดเป็นที่สุด :
“เช่นนั้นก็ได้! รอกลับไปที่เมืองหลวงท่านอยากกินเท่าไหร่ ข้าก็เลี้ยงเท่านั้น”
รู้สึกปวดใจเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก!
มีประโยคนี้ของโหลวเย่วแล้ว หลานเยาเยาถึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจ กลิ่นอายอันตรายที่นับไม่ถ้วนหายไป สีหน้าเต็มไปด้วยความร่าเริงสดใส
“เด็กดี โหลวเย่วของพวกเราเป็นเด็กดีจริงๆ รู้จักการเลี้ยงฉลองความลำบากของเสด็จสะใภ้อาแล้ว”
หลังจากพูดจบ นางก็ทำสีหน้าจริงจัง มองดูโหลวเย่วอย่างเคร่งขรึม
“หลายวันมานี้ ไม่ได้มาเยี่ยมเจ้าเลย โกรธหรือไม่?”
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ โหลวเย่วค่อนข้างงงงัน
“โกรธ? ข้าโกรธอะไรล่ะ? ข้ายังกลัวท่านโกรธข้าแหนะ!”
เอ่อ?
เกิดอะไรขึ้น?
ใครโกรธใครกันแน่ล่ะ?
“ข้าโกรธเจ้า? ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนี้?”
“ก่อนหน้านี้เมื่อท่านยังเป็นเทพธิดา ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านคือหลานเยาเยา พูดคำที่ทำให้คนเกลียดมากมาย ท่านไม่คิดเล็กคิดน้อยเคืองข้าริเริ่มมาหาข้า ยังส่งน่องไก่ให้ข้าอีก ข้า……ละอายใจมาก จริงๆ”
ตอนนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ เหมือนกับว่าโหลวเย่วเติบโตขึ้นอย่างมาก แววตาเปลี่ยนเป็นโศกเศร้า สีหน้าครุ่นคิด กับสามปีก่อน เหมือนกับตอนที่นางถูกหนอนพิษกู่เช่นนั้น
ความจริง!
หลังจากพิธีเซ่นไหว้ใหญ่ โหลวเย่วคิดอยากไปขอโทษหลานเยาเยาตั้งนานแล้ว แต่ว่า หลังจากนั้น หลานเยาเยาก็หายตัวไปแล้ว แม้แต่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนางก็หายสาบสูญไปแล้ว
นางเคยส่งคนไปหา หาอยู่นาน ร่องรอยสักนิดก็หาไม่พบ
นางไปขอร้องเสด็จอาเย่ เสด็จอาบอกว่า
“หาไม่พบถึงจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้น นางก็จะอันตราย”
หลังจากก็ได้ข่าวจากเสด็จพี่องค์ชายรัชทายาทรู้ว่าหลานเยาเยาต้องการจะไปทะเลทราย ขณะนั้นเสด็จอาไม่อยู่ที่จวนอ๋องเย่แล้ว ดังนั้นนางจึงออกมาจากจวนอ๋องเย่ตอนกลางคืน คิดต้องการไปตามหาหลานเยาเยา
กลับคิดไม่ถึง……
ครึ่งทางก็ถูกองครักษ์วังหลวงของเสด็จพ่อจับกุมแล้ว
หลังจากนั้นเสด็จพ่อก็ส่งคนมาคุมขังนางโดยตลอด ไม่ให้นางติดต่อกับคนอื่นนอกจากเสด็จพี่องค์ชายรัชทายาท นางต่อต้านอย่างที่สุด กระทั่งใช้การกรีดข้อมือตัวเองมาข่มขู่
แต่ที่น่าขันก็คือ……
เสด็จพ่อเพิกเฉยดูดาย ไม่แยแสความเป็นตายของนางโดยสิ้นเชิง เป็นเสด็จพี่องค์ชายรัชทายาทช่วยนางไว้
เมื่อนางรู้ หลานเยาเยาก็อยู่ในขบวนกองทัพที่ไปทะเลทราย และเสด็จพ่อต้องการพานางตัวภาระผู้นี้ไปด้วยอย่างกะทันหัน ทำให้นางสังเกตเห็นอะไรที่เลือนรางได้
ดังนั้นนางไม่ได้ต่อต้านอีก และก็ไม่มีหน้าไปเจอหลานเยาเยาอีก
ฉับพลันนั้นไหล่ก็หนัก
โหลวเย่วมองดูมือที่ตบบนไหล่ แล้วมองไปทางหลานเยาเยาอีก
หัวใจที่บีบแน่น ค่อยๆผ่อนคลายไปเป็นอย่างมาก
หลานเยาเยาหัวเราะเบาๆแล้ว :
“ทำไมข้าต้องโกรธเจ้าล่ะ? นี่เจ้าก็ทำเพื่อข้า! ตอนนั้นเจ้าคิดว่าเย่แจ๋หยิ่งชอบเทพธิดาแล้ว ก็ไม่คิดเป็นธรรมดา เพราะในใจของเจ้า ข้าหลานเยาเยาถึงจะเป็นพระชายาของเย่แจ๋หยิ่ง
และหลายวันมานี้เหตุผลที่ข้าไม่มาพบเจ้าเลย อย่างแรกคือสิบกว่าวันมานี้ วิ่งวุ่นมาติดกันทุกวันเหนื่อยล้าเกินไป อย่างที่สอง เจ้าถูกองครักษ์วังหลวงของฮ่องเต้คุมขัง ข้าไม่สามารถแสดงออกว่าสนใจเจ้าได้อย่างเกินไปนัก
เจ้าน่าจะรู้สึกตัวแล้ว จุดประสงค์ที่ฮ่องเต้พาเจ้าไปทะเลทรายก็เพื่อควบคุมข้า ดังนั้นข้าต้องแสดงออกว่าเฉยเมยต่อเจ้า เช่นนั้นถึงจะดีต่อเจ้าจริงๆ”
นางเอ่ยเหล่านี้ออกมา ก็ไม่ใช่ต้องการจะเพิ่มภาระให้กับโหลวเย่ว แต่เพราะเหล่านี้นางจำเป็นต้องพูด
หลานเยาเยาเข้าใจแจ่มแจ้ง หลังจากเข้าทะเลทรายแล้ว นางไม่สามารถที่จะปกป้องโหลวเย่วได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะว่าทะเลทรายแห่งนี้อันตรายเป็นพิเศษ เป็นสถานที่กินคนที่หนึ่ง
แม้กระทั่งนางก็ไม่มีปัญญาปกป้องตัวเองให้ดีได้……