บทที่ 492 เจ้าสำนักสนใจเจ้า
ตอนนี้เพิกเฉยต่อโหลวเย่ว จึงเป็นการปกป้องที่สำคัญที่สุดของนาง
แต่นางกลัว……
กลัวว่าโหลวเย่วจะเข้าใจผิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา เย่แจ๋หยิ่งไม่อยู่ เย่หลีเฉินได้รับข้อจำกัดจากฮ่องเต้ โหลวเย่วทำได้เพียงให้นางมาคุ้มครอง
เวลานี้!
ดวงตาของโหลวเย่วแดงก่ำ มุมปากกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เจ็บปวดสุดจะทน
“ข้ารู้ เสด็จพ่อต่อข้า ต่อเสด็จพี่องค์ชายรัชทายาท ตั้งแต่เริ่มจนจบก็มีใจคิดหลอกใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น แม้แต่ความรักที่น้อยนิดนั้น ก็ตั้งอยู่บนการหลอกใช้
เสด็จพี่องค์ชายรัชทายาทยังดี เขามีวิทยายุทธ สามารถนำทหารได้ ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาหน่วยหนึ่งที่ซื่อสัตย์ต่อเขา
แต่ข้าล่ะ?
ข้าไม่เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นภาระคนอื่นก็ยังเป็นภาระคนอื่น จู่ๆตอนนี้ข้าก็หวังขึ้นมาอย่างกะทันหันว่าข้ายังคงเป็นท่าทางสามปีก่อนที่ถูกหนอนพิษกู่ อย่างน้อยเป็นบ้าขึ้นมาทุกคนก็กลัวกันหมด เช่นนั้นก็ไม่ต้องเป็นภาระผู้ใดอีกแล้ว
“หลานเยาเยา ขอโทษ ข้าไม่อยากเป็นภาระท่าน”
สองสามปีนี้
นางคิดอยากทำให้ตัวเองเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมาโดยตลอด แต่นางกลับพบว่าตัวเองเป็นไม่ได้โดยสิ้นเชิง พ้นจากคุ้มครองของเสด็จอา นางก็ไม่มีอะไรที่ใช้ได้เลยจริงๆ
“เอาเถอะ! คิดมากขนาดนั้นทำอะไร? ในเมื่อมาทะเลทรายแล้ว ต่อจากนี้พวกเราจะต้องมีชีวิตต่อไปให้ดีๆ ต้องไม่ยอมแพ้ง่ายๆเด็ดขาด รู้ไหม?
ยังมีอีก หลังจากนี้พวกเราพบหน้ากัน ต้องไม่สนิทสนมกันเกินไป และเมื่อพบหน้าก็ไม่สามารถเป็นเหมือนศัตรูกันเช่นนั้นได้ มีเพียงแบบนี้ ฮ่องเต้ไม่เพียงจะไม่เกิดความสงสัย ความคิดที่จะหลอกใช้เจ้าก็ยังจะค่อยๆสูญหายไปด้วย
ถึงเวลานั้นค่อยให้เย่หลีเฉิน ส่งคนมาพาเจ้าส่งออกไปจากทะเลทราย”
เห็นโหลวเย่วอยากพูดอะไร นางก็พูดต่อ :
“เจ้าอย่ารีบร้อนปฏิเสธก่อน เจ้าต้องรู้ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยทำความเข้าใจทะเลทราย ก็เท่ากับว่าไม่มีทักษะในการมีชีวิตอยู่รอด อยู่ในทะเลทรายก็คือมีชีวิตรอดไม่ได้
อีกทั้งตายเป็นอันดับแรกสุด ก็คือผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นภาระเหล่านั้น อันดับแรกพวกเขาไม่ได้ตายลงภายใต้สภาพแวดล้อมที่ลึกลับยากจะคาดเดาของทะเลทราย แต่ตายภายใต้จิตใจของคน”
ประโยคนี้โหดร้ายมาก มีความเป็นไปได้ที่จะทำร้ายจิตใจของโหลวเย่ว
แต่นางก็ยังพูดแล้ว
อย่างไรเสีย!
หลังจากที่เข้าไปในทะเลทราย ที่เหลือก็เป็นเพียงการเสาะหายาฉางตานและการมีชีวิตรอด
นางไม่อยากให้โหลวเย่วมีปัญหา นางหวังว่านางจะมีชีวิตดีๆ
“ได้ ข้าเข้าใจ ข้าล้วนเข้าใจ”
เสียงของโหลวเย่วสะอึกสะอื้น ถ้าพูดต่อไป นางก็น่าจะต้องร้องไห้แล้ว
ยังไงก็แล้วแต่ได้อธิบายชัดแล้ว โหลวเย่วสามารถเข้าใจได้ก็ได้แล้ว
หลังจากนั้น
หลานเยาเยากับโหลวเย่วสนทนากันเรื่องที่มีความสุขเล็กน้อย อารมณ์ของทั้งคู่ล้วนดีขึ้นมาก
รอจนเย่หลีเฉินเข้ามาในห้องอีกครั้ง หลานเยาเยาจากไปแล้ว และจาวหยางที่มีจิตใจหดหู่สิ้นหวังอยู่นาน ได้ฟื้นคืนมามีชีวิตชีวาเหมือนปกติแล้ว ร้องเรียกเขาเสียงหนึ่งด้วยแววตาที่ปราดเปรียว :
“เสด็จพี่องค์ชายรัชทายาท!”
…….
ใจกลางหมู่บ้านฝันฮั๋ว ใบไม้สีเหลือทองที่ร่วงหล่นเต็มพื้น และถูกชาวบ้านหมู่บ้านฝันฮั๋วนับถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า เวลานี้สั่นไหวเหมือนคลื่นในสายลมอ่อนๆ เข้ากับทิวทัศน์ที่สวยงามในยามพระอาทิตย์ตกดิน เผยถึงความสวยงามและเยือกเย็นยิ่งขึ้น
บุรุษผู้หนึ่งที่อ่อนโยนยืนลำตัวตรง เงยหน้ามองดูต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่สวยงามเสมือนภูเขาสีทองที่แวววับจับตา พระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตกทำให้เงาร่างของบุรุษผู้อ่อนโยนทอดยาวมาก
ภายใต้ใบหน้าที่หล่อเหลา มีสีหน้าที่เศร้าสลด
เสื้อผ้าที่ตระการตาแอบซ่อนหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์
ยู่หลิวซูขยับเท้า ขมวดคิ้วแน่น
ท่าไม่ดีเรื่องใหญ่!
ไอหย๊า เท้าชาแล้ว……
ยู่หลิวซูรีบมองดูโดยรอบอย่างรวดเร็ว แล้วมองสีท้องฟ้าอีก
หมู่บ้านฝันฮั๋วจากที่เขาสืบถาม ทุกครั้งเมื่อยามอัสดงพระอาทิตย์ตกดิน พวกชาวบ้านจะกลับบ้านของตัวเองตรงตามเวลาทั้งหมด สุดท้ายปิดประตูหน้าต่างให้ดีดับไฟเข้านอน ในยามกลางคืนจะไม่เหยียบเท้าออกจากบ้านสักก้าวเดียวเด็ดขาด
ดูๆเวลานี้ พระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกลับยอดภูเขา คาดว่าชาวบ้านโง่เขลากลุ่มนั้นล้วนกลับบ้านหมดแล้ว
ด้วยเหตุนี้!
ยู่หลิวซูใช้ท่วงท่าที่แปลกประหลาด มาถึงบนรากต้นไม้ที่โผล่ออกมาอย่างรวดเร็วแล้วนั่งลง ทุบไหล่ นวดขา
ความรู้สึกเจ็บชาบนขายังไม่ทันลดไป ขาที่เรียวยาวคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขาตอนนี้
เป็นไปไม่ได้หรอก!
คิดไม่ถึงว่ายังจะมีคนคอยเฝ้าเขา? !
เงยหน้ามอง เป็นส้งเย่นกุยที่สีหน้าถ่อมตัวและสุภาพอ่อนโยน ยู่หลิวซูโล่งใจในทันที
“เป็นเจ้ารึ! ส้งเย่นกุย เจ้าคงจะไม่ได้เฝ้าข้าแทนชาวบ้านโง่เขลากลุ่มนั้นหรอกนะ?”
“ไม่ใช่” ส้งเย่นกุยส่ายหน้า เอาสิ่งของที่ถือในมือยื่นให้เขา “นี่คือซาลาเปาเนื้อที่หัวหน้าหมู่บ้านทำ รีบกินเถอะ! ในนี้ยังมีน้ำ”
ได้ยินดังนั้น!
ยู่หลิวซูเลิกคิ้ว
“เป็นเจ้าให้ หรือว่าหัวหน้าหมู่บ้านให้”
“ล้วนเหมือนกัน” ความจริง เป็นเขาทำเองกับมือ เขาสามารถเข้าใจวิธีการกระทำของหัวหน้าหมู่บ้าน เพียงแค่ไม่กล้าเห็นด้วยเท่านั้น “หัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนดีคนหนึ่ง เขาทุ่มเทกำลังแรงกายใจทั้งชีวิตไว้ที่หมู่บ้านฝันฮั๋วแล้ว ข้าไม่อยากให้เขาไม่ปลอดภัยในวันชรา”
“ดังนั้นซาลาเปานี้เจ้าเป็นคนทำ”
“อืม!” ส้งเย่นกุยนั่งลงที่รากไม้ข้างๆยู่หลิวซู มองดูเขาอย่างสงบ “อร่อยไหม?”
“ฝีมือทำอาหารไม่เลว!”
นี่เป็นการยอมรับต่อซาลาเปาที่ส้งเย่นกุยทำออกมา หลังจากที่กินซาลาเปาอย่างสุภาพอ่อนโยนแล้ว เขาจึงกล่าว :
“เอ๊ะ น่าแปลก? หมู่บ้านของพวกเจ้าไม่ใช่ว่านับถือต้นไม้เก่าแก่นี้เฉกเช่นเทพเจ้าหรือ? ทำไมเจ้าก็นั่งลงด้วย?”
“เดิมทีข้าไม่คนของหมู่บ้านฝันฮั๋ว เพราะเรื่องยากลำบากนิดหน่อยตอนเด็กๆต้องเร่ร่อน สุดท้ายร่อนเร่อย่างลำบากมาอยู่ที่หมู่บ้านฝันฮั๋ว เป็นหัวหน้าหมู่บ้านรับข้าไว้”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาตอนเด็ก ส้งเย่นกุยก็เศร้าสลดขึ้นในพริบตา
ยู่หลิวซูสงสัย ถามด้วยความไม่เข้าใจ :
“เจ้าคิดว่าเจ้าสำนักจะคิดแค้นหัวหน้าหมู่บ้าน? ความจริง ด้วยความสามารถของเจ้าสำนักผู้เดียวเท่านั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้หมู่บ้านฝันฮั๋วแยกออกแล้ว
ไม่ต้องเป็นห่วง ใจของเจ้าสำนักไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้มีความสนใจต่อหมู่บ้านแห่งนี้แม้สักน้อย หากจะต้องพูดว่ามี ความสนใจอย่างเดียวก็มีเพียงเจ้า”
“ข้า……?”
ได้ฟังคำพูดของเขา ส้งเย่นกุยหน้าแดงขึ้นทันที สีหน้าเริ่มมีความไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมาเล็กน้อย
“เห้ย อย่าคิดเลอะเทอะ……”
ยังพูดไม่จบ ก็เห็นส้งเย่นกุยนั่งลำตัวตรงทันที สายตามองไปทางอื่น ทางอื่นตรงนั้นก็มีเงาร่างสีแดงปรากฏขึ้นมาพอดี
คนที่มาก็คือหลานเยาเยา
นางรัดตัวเองด้วยเสื้อผ้าชุดสีแดง โฉมหน้างดงามเย็นชาเป็นที่สุด รอยประทับดอกไม้ผลิบานบนใบหน้าก็งามหยาดเยิ้มเป็นพิเศษ มุมปากนั้นมีรอยยิ้มที่เหมือนไม่ได้ยิ้ม ขับให้นางทั้งคนสวยงามหยาดเยิ้มเด่นขึ้นเป็นพิเศษ
ใบหน้าของส้งเย่นกุยยิ่งแดงขึ้น……
เขาผุดลุกขึ้นยืนในทันที จากนั้นก็เดินไปทางในบ้านของตัวเองอย่างรีบร้อน
“ส้งเย่นกุย เดินไปรีบร้อนขนาดนั้นทำอะไร?”
“ข้า ข้ารีบไปทำธุระ……”
เดิมทีก็รู้สึกเคอะเขิน หลังจากที่ได้ยินว่าตัวเองพูดอะไรแล้ว ส้งเย่นกุยยิ่งเคอะเขินแล้ว ถึงสุดท้ายแทบจะวิ่งเตลิดหนีไป
หลานเยาเยาเดินมาถึงด้านหน้าของยู่หลิวซู แต่สายตากลับทอดไปที่ร่างของส้งเย่นกุยที่ไกลออกไปเรื่อยๆ ถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย :
“ส้งเย่นกุยมาหาเจ้าแล้ว?”
“อืม! เขาเอาซาลาเปามาให้ข้า เข้าทำเองกับมือ การวางตัวจัดการเรื่องล้วนไม่เลว แต่ว่าเหมือนในใจเขาจะมีปัญหา”
ยู่หลิวซูรู้สึกได้ไม่ค่อยแน่ชัด ส้งเย่นกุยสองสามปีมานี้ใช้ชีวิตอย่างกดดันมากมาตลอด ราวกับว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีใครสามารถเข้าไปในใจเขาได้
“ความลับของเขามากมายนักล่ะ!”
พูดพลาง หลานเยาเยาก็หยิบเองขาหมูที่ใช้ใบไม้ใบใหญ่ห่ออย่างดีออกมาจากแขนเสื้อ เอียงศีรษะ ยื่นมือ ในใจเต็มไปด้วยความหวังว่ายู่หลิวซูจะถ่อมตัวสักหน่อย อย่าเหมือนโหลวเย่วเช่นนั้นที่หยิบไปก็แทะ
ใครจะรู้……
นางประเมินโหลวเย่วสูงไป ประเมินยู่หลิวซูต่ำไป
หลานเยาเยารู้สึกเพียงมือเบาทันใด ขาหมูที่ยังอุ่นๆ ถูกหยิบไปแล้ว เมื่อหันหน้าไป ขาหมูก็ได้ถูกจัดการเกลี้ยงแล้ว
“……” ความรวดเร็วนี้ยังเก่งกว่าโหลวเย่วอีก เมื่อนึกถึงยู่หลิวซูที่ปกติแล้วเจียมตนอ่อนโยน ไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นนักกินผู้หนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ :
“ลาก่อน!”