บทที่ 500 ยิ่งพูดยิ่งไม่ปลอดภัย
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
หลานเยาเยาที่กำลังนอนหลับอยู่บนเนินทราย หลังจากตื่นขึ้นมา ก็ลุกขึ้นและปัดทรายสีเหลืองที่เปื้อนตามร่างกาย จากนั้นก็เดินไปที่สถานพักผ่อนของโหลวเย่ว
แม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่อาการบาดเจ็บพระราชธิดาจาวหยางก็ดีขึ้นมาก แม้แต่รอยไหม้ที่ร้ายแรงที่สุดที่หลังของนางก็เป็นสะเก็ดทั้งหมด
แต่ว่า… …
ลักษณะอาการของพระราชธิดาจาวหยางยังไม่ค่อยดีนัก ดูเหม่อๆลอยๆ สภาพจิตใจแย่ สีหน้าเป็นกังวล นางถึงกับไม่กินไม่ดื่ม
จื่อซีที่อยู่เคียงข้างนางตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก หัวของพระราชธิดาจาวหยางพิงที่ไหล่เขาตลอด
และจื่อซีมักหาหัวข้อที่จะคุยกับนางตลอด พระราชธิดาจาวหยางไม่เบื่อ แต่ก็ไม่ได้มีความสุข แต่บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาขุ่นมัวเล็กน้อย มีหลายครั้งอยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
หลังจากจื่อซีมองเห็นหลานเยาเยามาถึง ก็รีบลุกออกจากร่างกายพระราชธิดาจาวหยาง ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดด้วยความเคารพ
“คุณหนู!”
เห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา หลานเยาเยาก็พยักหน้าเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไร แต่ถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายของพระราชธิดาจาวหยาง
โหลวเย่วเป็นยังไงบ้าง?”
“ยังดี เพียงแต่ยังคงไม่กินไม่ดื่ม แม้ว่าจะบังคับนาง นางก็แค่กินสองคำ”
จื่อซีรายงานอย่างละเอียด สีหน้าก็กลับสู่สภาพเดิม
เมื่อหลานเยาเยาได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็หมองเล็กน้อย
นางรู้ว่าทำไมโหลวเย่วถึงไม่กินไม่ดื่ม นางคงรู้สึกว่า ที่นี่คือทะเลทราย สิ่งที่มีค่าที่สุดคืออาหารและน้ำ เมื่อนึกถึงการกระทำของเสด็จพ่อนาง และนึกถึงอาการบาดเจ็บของตัวเอง ไม่ต้องการเป็นภาระของคนอื่น ดังนั้นจึงไม่กินไม่ดื่ม
ในขณะนี้ แม้ว่าโหลวเย่วจะหลับตา แต่ก็รู้ ว่านางตื่นแล้ว
ดังนั้นจึงนั่งยองๆข้างๆโหลวเย่ว ค่อยๆดึงมือที่โดนไฟไหม้เล็กน้อยของนาง และลูบเบาๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ
โหลวเย่ว ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้?” เมื่อเห็นโหลวเย่วค่อยๆลืมตาขึ้น นางจึงพูดต่อ
“วันนี้พวกเรากำลังจะออกเดินทาง ถึงตอนนี้ ตรงนี้ยังคงปลอดภัย แต่ว่าตอนนี้พวกข้าต้องออกเดินทางไปที่ลึก ซึ่งมีอันตรายมากมาย และอาจถึงตายได้ เจ้ากำลังบาดเจ็บ ไปที่นั่นไม่ได้”
คำพูดของนางทำให้พระราชธิดาจาวหยางตกตะลึง
นางมองไปที่หลานเยาเยาด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยแสงสลัว หม่นหมอง ราวกับว่ามีน้ำตากำลังไหลลงมา นางพูดด้วยความยากลำบาก
“เยาเยา เจ้าไม่ต้องสนใจข้า ปล่อยให้ข้าอยู่และตายที่นี่คนเดียว! ข้าไม่อยากเป็นภาระของพวกเจ้า และไม่ต้องการให้พวกเจ้าต้องฟุ่มเฟือยอาหารเพื่อข้าอีกต่อไป ข้าคิดว่า… …”
“พูดเรื่องไร้สาระอะไร?”
หลานเยาเยาขัดจังหวะคำพูดของนางไว้ ดวงตาโกรธเล็กน้อย ทำตาเหลือกใส่นาง และยกมือขึ้นดีดที่หน้าผากของนางหนึ่งครั้ง
ไม่แรง ถือเป็นการลงโทษ
“ภาระอะไร เจ้าคือโหลวเย่ว เป็นองค์หญิงของประเทศก่วงส้าที่เที่ยงธรรม ไม่ใช่ภาระเข้าใจไหม?
แม้ว่าเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นภาระ แต่เจ้าต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ตัวเองดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่กลายเป็นภาระ
ไม่กินอาหารไม่ได้ เจ้าต้องรู้ว่า ถ้าเจ้าไม่กินอาหาร จะทำให้ข้าเป็นห่วง เจ้าคงไม่อยากให้ข้าเสียสมาธิในช่วงที่ตกอยู่ในอันตราย?”
นางแสร้งทำเป็นไม่พอใจ ใบหน้าก็เคร่งเครียด
พระราชธิดาจาวหยางส่ายหัวและพูดว่า
“ไม่ ไม่ ข้า… …”
“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกว่าสิ้นเปลืองอาหารและน้ำ อันที่จริงมันไม่ใช่ มีเพียงเจ้าหายดีเท่านั้น องค์ชายรัชทายาทพี่ชายของเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล ข้าก็จะไม่ต้องกังวล และยังมีคนทั้งหมดที่ห่วงใยเจ้าก็ไม่ต้องกังวลใจอีก”
ประโยคนี้กระตุ้นพระราชธิดาจาวหยางอย่างมาก แต่เมื่อนางนึกถึงทุกสิ่งที่เสด็จพ่อของนางทำ น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลลงแก้มของนาง
ตั้งแต่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บ นางก็นิ่งเงียบ ไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย และในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดออกมา
เยาเยาข้าขอโทษ เสด็จพ่อของข้าไม่ใช่คน ไม่ เขาไม่ใช่เสด็จพ่อของข้า ข้าไม่มีเสด็จพ่ออย่างนั้น เขาทำร้ายเจ้า”
โดยไม่สนใจความเจ็บปวดบนร่างกาย โผเข้าไปในอ้อมกอดหลานเยาเยา ร้องไห้เสียงดัง
หลานเยาเยาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กอดนางไว้แน่นๆ มืออีกข้างค่อยๆตบหลังนางเบาๆ เหมือนกำลังกล่อมเด็ก
ร้องเถอะ!
ร้องไห้ออกมาดังๆ
ความเก็บกดที่อัดอั้นไว้ในใจมาหลายวัน ความเจ็บปวดและคับข้องใจ ระบายออกมาให้หมด
จื่อซีที่ยืนอยู่ด้านข้าง มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออดไม่ได้ที่จะกำหมัดไว้แน่น มองพระราชธิดาจาวหยางที่กำลังร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ
เขาค่อยๆหันไปด้านข้าง และในที่สุดก็ค่อยๆหลับตาลง
เขาทนเห็นคนอื่นร้องไห้ไม่ได้ รู้สึกว้าวุ่นในหัวใจ และบีบรัดหัวใจ
หลังจากที่โหลวเย่วร้องไห้เสร็จแล้ว นางก็ตั้งสติขึ้นมา และมองดูอาหารแห้งที่หลานเยาเยาให้ นางไม่ปฏิเสธแล้ว หยิบอาหารแห้งและกิน กินคำใหญ่ๆ สภาพจิตใจก็ไม่เฉื่อยชาอีกต่อไป
“เยาเยา เจ้าพูดถูก ข้าไม่ควรทำให้เจ้ากังวล ไม่ควรทำให้พี่ชายเป็นห่วง ข้าต้องเข้มแข็ง และไม่มีอุปสรรคใดๆที่ฝ่าฟันไม่ได้”
“ถูกต้อง! ทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง หลังจากที่กินอิ่มแล้ว ข้าจะให้จื่อซีและองค์ชายรัชทายาท ส่งเจ้าไปยังหมู่บ้านฝันฮั๋ว พวกเจ้าอยู่ที่นั่นรอพวกข้ากลับมา จากนั้นก็จะพาเจ้ากลับไปที่เมืองหลวงประเทศก่วงส้า”
โหลวเย่วพยักหน้าอย่างแรง ไม่ว่าหลานเยาเยาจะจัดการยังไง นางก็จะเชื่อฟัง
“หมู่บ้านฝันฮั๋ว?”
เสียงที่แปลกใจของจื่อซีแว่วเข้ามาในหูของหลานเยาเยา ทำให้นางเงยหน้าขึ้นมองเขา ด้วยความงุนงง
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาที่เขา จื่อซีหันกลับมาทันที ชั่วขณะก็สบตากับหลานเยาเยาทันที และพูดอีกครั้ง
“ที่คุณหนูกำลังพูดถึงคือหมู่บ้านฝันฮั๋วเหรอ?”
ชื่อหมู่บ้านนี้คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
แต่ว่า!
เขาจำได้ว่า จากนอกเมืองเมืองทะเลทรายโกบี และเข้าสู่ทะเลทรายโกบี จากนั้นเข้าไปในทะเลทราย เขาและซีเฟิงได้ติดตามเครื่องหมายที่คุณหนูทิ้งไว้ และตามมาถึงที่นี่
ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง ก็ไม่เคยเห็นหมู่บ้านไหนอีกเลย
คุณหนูจำผิดหรือเปล่า?
เมื่อเห็นจื่อซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนจะงุนงง หลานเยาเยาจึงกล่าวจุดตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านฝันฮั๋ว จากนั้นก็บอกว่ามันอยู่ในทะเลทรายโกบี ไม่ไกลจากหมู่บ้านฝันฮั๋วยังมีที่ลาดชันสูง
สำหรับที่ลาดชันสูง แต่ดูเหมือนว่าจื่อซีจะนึกภาพขึ้นมาได้ แต่สำหรับหมู่บ้านนั้น รู้สึกจำไม่ได้เลย
ในตอนนี้ หลานเยาเยาอดสงสัยไม่ได้… …
จากนั้นพูดอีกครั้ง
“ที่หมู่บ้านฝันฮั๋วในทะเลทรายโกบี ข้าทำเครื่องหมายไว้ อยู่ในหมู่บ้านฝันฮั๋ว จนถึงทะเลทรายข้าได้ทำเครื่องหมายไว้ตลอดทาง พวกเจ้าเดินมาตามเครื่องหมายมาเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เห็นหมู่บ้านฝันฮั๋ว”
หลานเยาเยาครุ่นคิด… …
จื่อซีก็เงียบ… …
ที่ลาดชันขนาดใหญ่… …
ทันใดนั้นจื่อซีก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่าง เขามองไปที่หลานเยาเยาอย่างเหลือเชื่อ
“สิ่งที่คุณหนูพูดคือ มีต้นไม้เก่าแก่ที่แห้งตายแล้วต้นหนึ่ง และมีบ่อร้างอยู่ใต้ต้นไม้ที่แห้งตาย มีกองกระดูกอยู่รอบๆบ่อร้างนี้?”
แต่ทำไมสิ่งที่เขาเห็น มันแตกต่างจากที่คุณหนูอธิบายราวฟ้ากับดิน?
อย่างไรก็ตาม ห่างจากต้นไม้แห้งตายนั้น พบป้ายชื่ออันหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะเขียนว่าหมู่บ้านฝันฮั๋ว… …