บทที่ 510 ใช้ของทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด
มุมปากเป็นวงม่วง มือที่ยื่นชี้มายังเย่หลีเฉินสั่นเพราะความโกรธ แม้แต่การพูดก็เริ่มไม่สัมพันธ์กัน
“ลูกเน ลูกเนรคุณ”
มีหลานเยาเยาอยู่จะที่วางแผนว่าจะยุแยงก็ไม่ได้แล้ว และก็ยังถูกสายตาที่เย็นชาของหลานเยาเยาคุกคาม อำนาจที่แสดงออกมาของเขาก็เห็นได้ชัดว่าลดลงมาก
หลานเยาเยายกยิ้มเยาะที่มุมปาก เดินไปข้างกายเย่หลีเฉิน ตบๆไหล่เขา
จากนั้นก็ชักกระบี่คมที่นางจับไว้แน่นในมือออกมา และขีดเส้นไว้บนพื้น พร้อมกับเอ่ยเสียงเย็นชาผิดปกติว่า:
“นี่เป็นเขต ถ้ากล้าก้าวข้ามมาเพียงก้าวเดียว หัวของพวกเจ้าจะกลายมาเป็นม้านั่ง”
หลังจากพูดจบ ก็หันไปพูดกับเย่หลีเฉินว่า: “ไปเถอะ!”
เมื่อเห็นเขาพยักหน้าเงียบๆ จึงหมุนตัวจากไป เย่หลีเฉินก็ตามมาด้านหลังหลานเยาเยา กลับไปยังสถานที่ที่พวกเขาพักผ่อนพร้อมกัน
หลังจากที่ทั้งสองกลับมาถึงกองขบวน
ก็พูดเล่าเรื่องที่ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าอยู่ตรงเท้าของรูปปั้นหินทารกยักษ์ออกมา ซึ่งเย่หลีเฉินเป็นคนเริ่มพูด
เมื่อเห็นท่าทางที่แค้นเคืองของทุกคน เขาก็แค่นั่งลงไม่พูดอะไร หลับตาพิงหินทารกยักษ์เงียบๆ
มีคนในสำนักหงอีสงสัย:
“เจ้าสำนัก ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าก็มีเจตนามุ่งร้าย เขาต้องการกำจัดพวกเราเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่ทำไมพวกเราต้องเก็บพวกเขาไว้?”
นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในใจทุกคน และไม่สามารถหาคำตอบได้ รวมถึงเย่หลีเฉินด้วย
หรือเพราะฮ่องเต้ชั่วนั้นเป็นเสด็จพ่อแท้ๆขององค์ชายรัชทายาท?
แต่ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้านั่นสติฟั่นเฟือน แม้แต่ลูกสาวแท้ๆของตนเองก็ยังถูกไฟคลอกตาย หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าสำนักยั้งมือไว้ เกรงว่าพวกเขาจะเก็บรักษาม้า,น้ำ,อาหารไว้เป็นอย่างดี
พวกเขาไม่มีทางรอดมาได้จนถึงตอนนี้
หลานเยาเยาเอาสองมือไปไว้ด้านหลัง ยืนหันหลังต่อหน้าทุกคน เท้าข้างหนึ่งเตะทรายเหลืองใต้เท้าอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ
“ตอนนี้พวกเราต้องสะสมกำลังไว้ คนเลวทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผล เพียงแค่ตอนไหนก็เท่านั้นเอง ทำไมจึงต้องใช้พลังงานของตัวเองในตอนนี้ด้วย?”
นางไม่ได้โง่
ตอนนี้ปล่อยพวกฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าไปก็คือหายนะ เมื่อครู่นางเหลือบเห็นว่าพวกฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าไม่มีอาหารและน้ำ
อีกทั้งดูจากท่าทางของพวกเขา ก็น่าจะหิวมานานแล้ว พวกเขาจะต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อมาจัดการกับอาหารและน้ำของพวกเขาด้านนี้แน่
สาเหตุที่ไม่ฆ่าพวกเขาตอนนี้ เพราะนางรู้สึกว่าที่นี่ผิดปกติ การใช้พลังงานไปจัดการพวกเขา สู้ให้คนที่กำลังจะตายพวกนี้ไปทำเรื่องที่มีความหมายดีกว่า
นางไม่ใช่คนที่มีจิตใจกว้างขวาง
คนชั่วที่ต้องการให้นางตาย นางเอาคนชั่วนั้นมาทำเป็นบันไดสู่ความสำเร็จมันก็ไม่เลว
แต่เรื่องนี้นางให้คนอื่นรู้ไม่ได้
พอทุกคนเข้าใจความหมายของนาง ก็รู้สึกว่าหลานเยาเยาตั้งใจจะปกป้องพวกเขา ทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ
แต่ละคนมองสายตาของนางก็ล้วนเปล่งแสงออกมา
“เจ้าสำนักเฉลียวฉลาด พวกเราเข้าใจแล้ว”
“อื้ม!” นางพยักหน้าเล็กน้อย และเอ่ยอธิบายขึ้นอีกว่า “จำไว้ว่าต้องส่งคนไปคุ้มกันน้ำและอาหารของพวกเราให้ดี แล้วก็ม้าด้วย โดยเฉพาะในคืนนี้ต้องเฝ้าระวังมากขึ้น หากมีการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยต้องรีบบอกทุกคนทันที”
“ทราบ!”
แม้ในตอนนี้พวกฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าจะไม่ใช่ปัญหา แต่คนเจ้าเล่ห์ชอบใช้อุบายต่ำๆ ก็ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน
ช่วงเย็นสิ้นสุดลง
ทางด้านเท้าของรูปปั้นหินทารกยักษ์มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา
คนของด้านหลานเยาเยา เพียงแค่หันไปมองทางนั้นแล้วก็เก็บสายตากลับมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ใช้ลูกไม้อะไรอีกหล่ะ……
ด้านฮ่องเต้ประเทศก่วงส้ากำลังแสดงฉากโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม
องครักษ์วังหลวงนายหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้กำลังตัวสั่นถอยกลับไปข้างหลัง แววตาเผยความหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นเทิ้ม
ข้างขาของเขาคือองครักษ์วังหลวงนายหนึ่งที่ตายไปแล้วมีใบหน้าขาวซีด ไม่มีรอยเลือด ร่างกายตายไปแล้วแต่ยังอุ่นอยู่ แต่มือเท้าทั้งสี่ของเขานั้นถูกมีดแหลมกรีดเป็นบาดแผล บาดแผลนั้นเลือดไม่ได้แข็งตัว แต่ก็ไม่ได้มีเลือดไหลออกมาอีก
ตอนนี้ องครักษ์วังหลวงผู้นั้นยังไม่หยุดถอยหลัง เพราะที่เท้าบาดเจ็บจึงต้องกลายเป็นคนที่ถูกขูดเลือดเนื้อ
ที่เขาเห็นในสายตาก็คือ พี่น้องสองสามคนที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ บุกน้ำลุยไฟมาด้วยกัน ตอนนี้กำลังถือกระบี่ เดินมาหาเขาทีละก้าว ละก้าว
ฮ่องเต้บอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บเดินไม่ได้ พวกเขาก็ไม่สามารถพาเขาที่เป็นภาระออกเดินทางไปด้วยได้
หลังจากพูดจบ ฮ่องเต้ก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า:
“ใช้ของทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด!”
ดังนั้น ตอนนี้พวกเขาจึงต้องการขูดเลือดเนื้อเขา และพวกเขาก็ยังต้องการกินเลือดของเขาอีก
และในตอนนี้ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าก็ถือกาน้ำ และเงยหน้าขึ้นดื่ม “น้ำ” หลังจากที่ดื่มเสร็จ ก็ทำเสียงว่ารสชาติแย่มาก มุมปากก็มีเลือดสีแดงสดไหลนองออกมา
ในกาน้ำของพวกเขาไม่มีน้ำแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ใส่ไว้ก็คือเลือดสด
พอปิดฝากาน้ำเสร็จ ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าก็เห็นองครักษ์วังหลวงไม่กี่นายที่อยู่ด้านหลังเขา กำลังจ้องกาน้ำในมือเขาด้วยตาที่เป็นประกาย จึงจ้องพวกเขาอย่างดุร้าย
รีบพูดออกมาอย่างโมโหว่า: “มองอะไร ไสหัวไปซะ อยากดื่ม? ก็ไปเอาที่ตัวเขานู่น”
เขาคนนั้น ชี้ไปยังองครักษ์วังหลวงคนนั้นที่ตอนนี้กำลังถอยหลังหนีไปทีละก้าว ละก้าว
“ฮ่อง ฮ่องเต้ ท่านได้โปรดปล่อยข้าไป กระหม่อมนั้นซื่อสัตย์ภักดีต่อท่านไม่เคยคิดไม่ซื่อ อย่าฆ่าข้าเลย ได้โปรดปล่อยข้าไป ให้ข้าเป็นไปตามยถากรรมเถอะ”
คำร้องขอและน้ำตาที่รินไหลของเขาไม่มีใครมองเห็น สิ่งที่เห็นมีเพียงเลือดที่ไหลภายในร่างกายเขา
ต่างพูดว่าผู้ชายไม่เสียน้ำตาง่ายๆ แต่พอถึงเวลาแบบนี้ คนที่ติดตามกันมาสิบกว่าปี จู่ๆก็จะมากินเลือดกินเนื้อเขา เขาได้เข้าใกล้จุดล่มสลายแล้ว
ความสิ้นหวังก่อนจะตาย และสัญชาตญาณการร้องขอชีวิต ทำให้เขาขอร้องอย่างสุดชีวิต วิ่งหนีอย่างสุดชีวิต……
แต่องครักษ์วังหลวงไม่กี่นายที่ว่องไวนั้นทนไม่ไหว ก็พุ่งไปพร้อมกับกระบี่แหลมคม และกรีดไปตรงข้อมือ ข้อเท้าที่สะอาดของเขา
หลังจากนั้นก็เตรียมกาน้ำมารองเลือดที่ไหลออกมา
องครักษ์วังหลวงที่ดิ้นรนหนีตายนั้น เขารู้สึกได้ถึงเลือดที่ไหลออกจากร่างกายตัวเองไปละน้อย ละน้อยอยากจะดิ้นก็ดิ้นไม่หลุด ทำได้เพียงแค่นอนรอความตายที่กำลังจะมาถึงอย่างสิ้นหวัง
แต่สายตาของเขาก็ไปจับเห็นสองคนที่ยืนอยู่บนรูปปั้นหินทารกยักษ์
คนนึงสวมชุดสีเทาขาว ก็คือส้งเย่นกุยที่ตามออกมาจากหมู่บ้านฝันฮั๋ว;ส่วนอีกคนคือเทพธิดา ที่สวยงดงามทำให้คนหลงใหล
พวกเขามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเย็นชา เขาอยากจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
เขารู้สึกเสียใจแล้ว……
ทำไมเขาเกิดมาก็ต้องเป็นองครักษ์วังหลวงของฮ่องเต้ด้วย?
ทำไมถึงไม่ได้เจ้านายอย่างเทพธิดา สุดท้ายก็หลับตาไปเงียบๆ
“อ๊า……”
เสียงพังทลายที่เกือบจะบ้าดังขึ้นมากลางกลุ่มคน องครักษ์วังหลวงที่แขนอีกข้างบาดเจ็บ มองคนที่ได้รับบาดเจ็บที่แข็งทื่อ ด้วยใบหน้าที่ซีด หัวใจก็ค่อยๆพังทลายลง
หลังจากที่ถูกเอาเลือดเป็นครั้งที่สอง ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและพุ่งออกไปหางูทองที่จ้องพร้อมตะครุบเหยื่ออยู่ด้านนอก
จะตาย……
เขาก็อยากตายที่ปากของงูทอง ไม่ใช่ตายอยู่ในมือของคนกินคนพวกนี้
พอเห็นว่ามีคนวิ่งหนีออกไปจากข้างกาย สีหน้าของฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าก็เคร่งขรึมลงทันที พร้อมกับคำรามอย่างโหดเหี้ยมว่า:
“รีบไปจับมัน อย่าให้ที่พึ่งสุดท้ายของพวกเจ้าหนีไป”