บทที่ 52 หลานเฉินมู๋ต้องการพบนาง
เมื่อออกมาจากร้านเหล้า จิตใจของหลานเยาเยานั้นเบิกบานยิ่งนัก นางเดินสาวเท้าก้าวเร็ว เดินฮัมเพลงพลางทอดน่องบนถนนใหญ่
สายตาที่มองไปต่างพบเจอแต่บรรยากาศแห่งความสุขไปทั่ว!
รอยยิ้มมุมปากที่ยิ้มตั้งแต่ออกจากร้านเหล้ายังไม่หุบลงเลย
แต่ทว่า!
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ใบหน้าของนางก็ค่อยๆ หม่นลงเรื่อยๆ
หากนางแต่งเข้าจวนอ๋องเย่ แล้วตาเฒ่าเย่นหล่ะจะทำอย่างไร?
นางก็คงไม่สามารถพาเขาเข้าไปอยู่ด้วยกันได้หรอกกระมัง?
ไม่ได้!ไม่ได้!ไม่ได้อย่างแน่นอน!
เย่แจ๋หยิ่งยศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งอำนาจบารมีล้นเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ ด้วยสมองอันชาญฉลาดไหวพริบสูง ถ้าให้เขาเจอเข้ากับตาเฒ่าเย่น ต้องเกิดความสงสัยแน่ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น!
ตาเฒ่าเย่นนั้นก็พิเศษยิ่งนัก คนชาญฉลาดมองปราดเดียวก็ต้องเห็นความพิเศษไม่เหมือนใคร
และเมื่อตอนอยู่ในป่าลึก เย่แจ๋หยิ่งก็เคยปรากฏตัวที่นั่น หากนางคาดไม่ผิดแล้วหล่ะก็ การปรากฏตัวของเย่แจ๋หยิ่งต้องเกี่ยวข้องอะไรกับตาเฒ่าเย่นเป็นแน่
ดังนั้นนางก็จะพาตาเฒ่าเย่นเข้าไปยังจวนอ๋องเย่ไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่างนั้นเรื่องหาห้องพักนี้อย่างไรก็ต้องหาต่อไป
คิดดูแล้วอย่างไรนางก็ต้องไปตลาดมืดสักครั้งเสียแล้ว!
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง
หลานเยาเยามาถึงที่พักของถิงเมี่ยนในตลาดมืด ในเวลานั้นถิงเมี่ยนนั่งอย่างร้อนรน เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง?
“โอ้ ว่างสบายจริงเชียวนะ!” เสียงไพเราะกังวานใสเสียงหนึ่งดังขึ้น
ถิงเมี่ยนรีบหันกลับมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นนางแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำคือมองไปทางด้านหลังของนาง เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่น ใจที่กระวนกระวายก็สงบลงในที่สุด
“โชคดีที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่!”
หลังจากนั้น หลานเยาเยาเพียงได้ยินเสียง “ตุ้บ” ถิงเมี่ยนที่อยู่เบื้องหน้านางกลับทรุดลงกับพื้น
“แม่นางหลาน ข้าขออภัย!ที่ทำอย่างนั้นไป เป็นเพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่น โชคดีที่ท่านปลอดภัยกลับมา ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย”
เขาเตรียมตัวไว้แล้ว เตรียมให้หลานเยาเยาด่าเขายกใหญ่
แต่เมื่อเขาสบตากับหลานเยาเยา กลับพบว่านางไม่มีร่องรอยความโกรธเลยสักนิด นอกจากจะไม่โกรธแล้ว ยังมีรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นอีกด้วย
ถิงเมี่ยนตะลึงงันไปแล้ว!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?หรือว่าหลานเยาเยากินยาผิดไป?
เขายังไม่ทันเข้าใจเรื่องราว ตั๋วเงินมูลค่าไม่มากก็ปรากฏเบื้องหน้าเขา
“ให้เจ้า!”
“ให้ข้าหรือ?” ข้างหน้าเขาคือตั๋วเงินเลยนะ!
หลานเยาเยาคิดจะทำอะไร?เขาเริ่มกลัวเข้าแล้ว!
จากการร่วมมือกันครั้งแรกเขาก็มองออก หลานเยาเยาเป็นคนขี้เหนียวขนาดไหน และยังเป็นคนขี้เหนียวอย่างมีกฎเกณฑ์อีกด้วย
พูดตามหลักเหตุและผลแล้ว คนอื่นไม่เอาเปรียบนางก็ดีมากแล้ว นางจะใจกว้างให้ตั๋วเงินเข้าได้อย่างไร?”
“เอาไปสิ งานของเจ้ายังไม่จบหรอกนะ!ไม่ใช่จะหาบ้านให้ข้าหรอกหรือ?เจ้าหาได้หรือยัง?”
“เอ่อ เรื่องนั้น เรื่องนั้น…”
พอพูดถึงเรื่องหาบ้านเมื่อไหร่ ใจของถิงเมี่ยนก็ให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ เขาจึง
ก็ขอโทษไปแล้วไงหล่ะ ตอนนี้หลานเยาเยาก็ยังให้เขาหาบ้านให้อยู่ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
หรือว่าไม่ใช่อ๋องเย่ที่จัดการนางได้ แต่เป็นนางที่ปราบอ๋องเย่ไปแล้ว?
ไม่จริง จะเป็นไปได้อย่างไร?
นั่นคือท่านอ๋องเย่เลยนะ!
“เจ้าในตอนแรกมิใช่สบายอกสบายใจอยู่หรือ ตอนนี้อึกอึกอักอักอะไรเหมือนกับผู้หญิง?จำไว้ก็แล้วกันว่าข้าให้เจ้าช่วยหาบ้านให้ข้า ต้องเป็นแบบส่วนตัวและบรรยากาศต้องดี ราคาสมเหตุสมผล ไม่อย่างนั้น…”
หลานเยาเยามุมปากกระตุกขึ้น แววตาหรี่ลง คำพูดข่มขู่แม้ไม่เอ่ยแต่ก็ดูได้จากท่าทาง
ในตอนนี้ไม่ว่าถิงเมี่ยนจะคิดอย่างไร จากคำแนะนำที่เขาให้นางในวันนี้ ก็ทำให้เห็นว่า เขาเป็นคนเชื่อถือได้
เพราะฉะนั้นฝากเรื่องหาบ้านไว้กับเขา นางก็สบายใจได้แล้ว!
พูดถึงเรื่องราวในวันนี้ ก็ให้มันผ่านพ้นไปอย่างนี้แหละ
นางจะไม่ทั้งขอบคุณหรือกล่าวโทษเขา
มองดูถิงเมี่ยนรับตั๋วเงินจากมือนางไปอย่างเงอะงะ แววตาเต็มไปด้วยความสับสน แต่เมื่อเห็นนางหัวเราะ ก็อดไม่ได้หัวเราะออกมาด้วยความเก้กัง
“ข้าไปหล่ะ ไม่ต้องส่ง!”
เมื่อนางหันหลังจากไป หลานเยาเยายังฮัมเพลงไปด้วย ทอดน่องเดินไปอย่างสบายอารมณ์
สร้างความสับสนงงงวยให้กับถิงเมี่ยน…
เมื่อหลานเยาเยาออกจากตลาดมืดแล้ว คิดว่าวันนี้เพียงซื้ออาหารกลับไปทะเลาะกับตาเฒ่าเย่นก็จบเรื่อง กลับไม่คาดคิดว่าจะพบกับองครักษ์ของจวนแม่ทัพ
และยังเป็นคนเดิมก่อนหน้านี้อีกด้วย!
“คุณหนูหก ในที่สุดข้าน้อยก็หาตัวคุณหนูพบ วันนี้ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูต้องฟังข้าน้อยพูดให้จบ”
องครักษ์คนนั้นรีบตามนางมาติดๆ ใบหน้าซีดขาวนั้นมีร่องรอยของความเร่งร้อน
“ข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าเรียกข้าคุณหนูหก ข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับจวนแม่ทัพอีกแล้ว หากเจ้ายังจะรั้งข้าไม่ปล่อยอย่างนี้ ข้าจะไปที่ที่ทำการร้องเรียนว่าเจ้าก่อกวนข้า”
แม้นดูท่าทางนางจะไม่ได้ดูโกรธ แต่ที่นางพูดในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!
ใครจะรู้…
เมื่อนางหยุดพูดไป องครักษ์ก็ร้องขออีกรอบ
“คุณหญิงหก ข้าขอร้องท่าน ขอร้องให้ท่านช่วยฟังข้าให้จบเถิด หากวันนี้ข้าไม่นำสารมาบอกท่านให้ได้ ท่านแม่ทัพต้องฆ่าข้าแน่ๆ”
ครั้งที่แล้วคุณหญิงหกไม่ได้กลับไปกับเขา ตอนแรกเขาคาดว่าอาจจะโดนท่านแม่ทัพดุด่าว่ากล่าวฉากหนึ่ง หากแต่คาดไม่ถึงสุดท้ายเขาถูกทำโทษโดยถูกโบยตีถึงสิบกว่าไม้
และยังบอกอีกว่าหากครั้งหน้าพาคุณหญิงหกกลับไปไม่ได้ จะตีเขาให้ถึงตาย!
เขายังไม่อยากตาย ดังนั้นจึงบุ่มบ่ามทรุดตัวนั่งลงบนพื้น คำนับขอร้องนาง
“ไอ้หยา ข้าแปลกใจนัก เจ้าจะตายหรือไม่ตายเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไรหรือ?
ปกติแล้วพวกเจ้ารับคำสั่งจากหลานเฉินมู๋ ไปแสดงอำนาจบารมีไปทั่วทุกที่ ทำไมไม่คิดจะคุกเข่าขอโทษพวกเขาเหล่านั้นเล่า?ในตอนนี้ กลับรู้ซึ้งความสำคัญของชีวิตแล้ว?”
เมื่อเห็นสีหน้าขององครักษ์ซีดขาว หลานเยาเยาก็ให้ทราบว่าเขาไม่ได้โกหก ในใจก็อดไม่ได้ที่จะยิ่งเกลียดชังหลานเฉินมู๋ขึ้นมา
หลานเฉินมู๋ช่างเป็นคนไร้จิตใจ
ยังกล้าใช้ชีวิตคนเบื้องล่างตนไปยำเกรงคนอื่น
มนุษย์ ต่างช่างยากแท้หยั่งถึง
ยังคิดว่านางยังเป็นหลานเยาเยาในอดีต ที่นอกจากจะไม่กล้าหาญอ่อนแอไม่สู้คน และยังมีจิตใจเมตตาราวพระโพธิสัตว์อยู่หรือ?
นางกลับไปหยุดฝีเท้าลง กลับเดินเร่งรุดไปข้างหน้า
องครักษ์คนนั้นก็ไม่ได้ยืนขึ้น แต่กลับออกแรงโขกศีรษะคำนับอยู่ตรงนั้นอย่างแรง เสียงดัง “ตึง ตึง ตึง”
ที่หน้าผากเขามีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ดูราวกับหากนางไม่ตอบตกลงแล้วล่ะก็ เขาก็จะยังคำนับอยู่อย่างนั้น คำนับจนตายไป!
ปากก็ยังเอ่ยขอร้องต่อไป
“ข้าขอร้องหล่ะ คุณหญิงหก ข้าน้อยผิดไปแล้ว ต่อไปนี้ข้ามิอาจแล้ว ท่านแม่ทัพมีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน เกี่ยวข้องกับเรื่องมารดาของท่านเมียน้อยฉู
เพียงคุณหญิงหกตกลงไปพบกับท่านแม่ทัพเพียงครั้งเดียว ข้าน้อยจักตอบแทนท่านด้วยกตัญญูรู้คุณท่าน จะตอบแทนท่านเป็นอย่างดี”
“ตึง ตึง ตึง…”
องครักษ์กล่าวขอร้องไปพลาง คำนับไม่หยุด
บนพื้นปรากฏรอยเลือดเจิ่งนองแอ่งใหญ่น่ากลัวนัก
เมื่อครู่เขาเห็นเงาของหลานเยาเยาอยู่ไกลๆ แล้ว ราวกับจะไม่หันหลังกลับมาเลย ในใจให้รู้สึกผิดหวังไปแล้ว
เพียงแต่ว่าเขายอมคำนับอยู่ที่นี่จนตาย แต่ไม่ยอมกลับไปโดนลงโทษจนตาย…
ใครจะรู้!
เมื่อเขากำลังจะคำนับไปอีกครั้ง กลับไม่ได้คำนับลงไปบนพื้นแข็งกร้าว แต่เจอกับรองเท้าอันสลักสวยงามข้างหนึ่ง
เพียงมองภาพปักสละสลวยบนรองเท้านั้น องครักษ์ก็ยินดีขึ้นในทันที เขารีบเงยหน้าขึ้นไปมอง