บทที่ 520 เขามาแล้ว
เขาเบิกตากว้าง พูดใบหน้าดุร้าย
“เกาจื้อ เจ้าหมารับใช้เป็นพยาน ว่าข้านั้นฆ่าพี่ฆ่าน้อง ฆ่าเมียฆ่าขุนนางโดยไม่เคยใจอ่อนเลยสักนิด ตอนนี้ก็เพียงแต่มาถึงตาเจ้า ทำให้ข้าลงมือเองได้ ถือว่าเป็นเกียรติของเจ้าในชีวิตนี้”
แก้ปัญหาเกาจื้อแล้ว
ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้ามองเกาจื้อที่เลือดยังไหลไม่หยุดอย่างเย็นชา นิ่งไปครู่นึง แล้วก็หมุนตัวไล่ตามกองขบวนราชครูเทียนเวิงไปด้วยความเร็ว
——
ซากปรักหักพังหมู่บ้านฝันฮั๋ว
ม้าผอมแห้งตัวหนึ่ง มีชายแต่งตัวกะทัดรัดจูงอยู่ เดินไปข้างหน้าทีละก้าว ละก้าว บนหลังม้ามีผู้หญิงตัวผอมแห้งคนหนึ่ง ที่อ่อนแรงจนทำได้เพียงแค่นอนคว่ำอยู่บนหลังม้า
“จื่อซี ถึงหมู่บ้านฝันฮั๋วหรือยัง?”หญิงสาวพูดอย่างอ่อนแรง
จื่อซีได้ยิน ก็มองหญิงสาวที่อยู่บนม้านิ่งๆ และจูงม้าเดินไปข้างหน้าต่อไป พูดพึมพำว่า:
“พระราชธิดา ใกล้จะถึงแล้ว”
เห็นๆอยู่ว่าถึงแล้ว เพียงแต่หมู่บ้านฝันฮั๋วที่เขาเคยเห็น กับหมู่บ้านฝันฮั๋วที่พระราชธิดาจาวหยางไม่เหมือนกัน
เพื่อไม่ให้นางผิดหวัง ทุกครั้งที่นางถาม จื่อซีก็จะพูดว่า ‘ใกล้จะถึงแล้ว’แม้จะถึงแล้ว หรือผ่านไปแล้ว เขาก็จะตอบเช่นนี้
“อ้อ ยังไม่ถึงอีก!”
หลังจากผิดหวังเล็กน้อย พระราชธิดาจาวหยางก็เน้นอีกครั้ง
“ถ้าถึงแล้ว แม้แค่เห็นหมู่บ้านฝันฮั๋วเท่านั้น เจ้าก็ต้องบอกข้า เพียงแค่ถึงหมู่บ้านฝันฮั๋ว เจ้าก็ไม่ต้องสนใจข้าแล้ว รีบไปหาเยาเยาที่ทะเลทราย นางน่าจะเป็นอันตรายมาก”
จื่อซีและจื่อเฟิงเป็นผู้ช่วยของหลานเยาเยา จะขาดใครไปไม่ได้
ตอนนี้เป็นเพราะนาง จื่อซีจำเป็นต้องทำตามคำสั่งของหลานเยาเยา ด้วยการมาส่งนางที่หมู่บ้านฝันฮั๋ว
นางรู้ว่า จื่อซีเป็นห่วงเรื่องความสะดวกสบายของหลานเยาเยามาโดยตลอด
นางพูดโน้มน้าวเขาหลายครั้งว่าให้กลับไปหาหลานเยาเยา นางสามารถเดินออกจากทะเลทรายไปเองได้ แต่ก็ถูกจื่อซีตัดบทตลอด
ตอนนี้มีเพียงแต่ต้องรีบถึงหมู่บ้านฝันฮั๋วเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้จื่อซีไปอย่างสบายใจ
ดวงตาของพระราชธิดาจาวหยางเหมือนจะเปิดขึ้น หันหน้าอยู่บนหลังม้า
ทันใดนั้น ป้ายบนพื้นที่ถูกทรายปกคลุมไปครึ่งหนึ่ง ดึงดูดความสนใจของนาง
“……หมู่บ้านฮั๋ว?”
ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ พระราชธิดาจาวหยางตื่นเต้น พูดโพล่งออกมา
“คือหมู่บ้านฝันฮั๋ว!”
นางรีบยันตัวขึ้น สิ่งที่ประทับอยู่ในนัยน์ตานางก็คือทะเลทรายโกบีเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน นางส่ายหัวอย่างไม่เชื่อ และมองป้ายที่อยู่บนพื้นอย่างละเอียดอีกรอบ
จากนั้นก็กระโดดลงม้า คุกเข่าลงที่พื้น พยายามคว้าป้ายที่ถูกทรายคลุมไว้ส่วนหนึ่งออกมา
“คือหมู่บ้านฝันฮั๋ว คือหมู่บ้านฝันฮั๋วจริงๆ”
นางไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือจะเป็นทุกข์ โดยรวม มีความสับสนแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนอยู่ในแววตา นางยืนขึ้น เดินไปยังกองทรายชำรุดทรุดโทรม ที่ยังพอมองร่องรอยการเป็นบ้านออก
ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเหี่ยวเฉามากี่ปีแล้วนั้นดึงดูดความสนใจของนาง
ทำให้นางเดินไปอย่างห้ามไม่ได้ ร่างกายสั่นเทาไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก
ตอนที่นางเห็นกองกระดูกล้อมรอบต้นไม้เหี่ยวเฉานั้น ทั้งตัวก็อ่อนแรงลงไปอยู่ที่พื้น สีหน้าก็ซีดเผือด
หลังจากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเสียงต่ำ
“กระดูกจากศพเปื่อย……”
“ต้นไม้เหี่ยวเฉา……”
“หมู่บ้านที่ตายไปนานแล้ว……ที่แท้ ที่นี่ก็ไม่มีหมู่บ้านฝันฮั๋ว……”
ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ พระราชธิดาจาวหยางหันกลับมามองจื่อซีที่เดินไปข้างหลังนางและมองนางเงียบๆทันที ถามอย่างเหลือเชื่อว่า:
“ตอนที่รวมตัวกับหลานเยาเยาที่ทะเลทราย เจ้าเห็นส้งเย่นกุยหรือไม่? ชายคนที่เหมือนกับนักปราชญ์ หน้าตาดูอ่อนเยาว์แต่กลับเป็นหมอ”
“อื้ม เห็น”จื่อซีพยักหน้า
เขารู้ว่าพระราชธิดาจาวหยางคิดว่าพวกเขาเห็นผี
แต่เขาและจื่อเฟิงเห็นส้งเย่นกุยจริงๆ!
ส้งเย่นกุยผู้นั้นไม่ใช่วิญญาณ……
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?”
“ไม่ทราบ”จื่อซีส่ายหัว และรีบพูดขึ้นว่า “เยาเยารู้เรื่องนี้หรือไม่?”
“รู้”
“งั้นก็ดี” ถ้าหากไม่รู้ นางจะต้องเป็นอันตรายมากแน่ๆ
เมื่อเห็นความงวยงงบนใบหน้านาง และสายตาที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นจื่อซีก็เห็นท่าทางเหมือนตอนที่นางป่วยเมื่อสามปีก่อน จื่อซีก็ทนไม่ไหว
“พระราชธิดา คุณหนูไม่อยากเห็นท่านเป็นแบบนี้แน่ ท่านต้องร่าเริงขึ้น รอจนกระทั่งคุณหนูกลับมาก็จะไม่ทุกข์ใจ”
พระราชธิดาจาวหยางช้อนสายตาขึ้น สบตากับเขาและมองเขานิ่ง
จู่ๆนางก็เพิ่งคิดขึ้นมาได้ ตลอดทางนี้ ทุกประโยคที่จื่อซีพูดก็ล้วนมีหลานเยาเยา และเพราะเยาเยา นางถึงได้ยืนหยัดมาตลอด
ทว่า……
กลับพบว่า พอมีจื่อซี นางก็ไม่ได้ดูถูกตัวเองและยอมแพ้ และไม่ได้คิดต้องการหนีความจริง เห็นได้ชัดว่าคนที่พูดจาขนาดนั้น ตอนนี้กลับเงียบพูดจาน้อย
นางจึงอดถามไม่ได้ว่า: “แล้วเจ้าหล่ะ?”
จื่อซีตะลึงไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถามเช่นนี้ ตอนที่ย้ายสายตาไปทางอื่น ก็ถามเสียงทุ้มว่า
“แน่นอนว่าต้องหวังให้พระราชธิดาปลอดภัยมีความสุข”
“อื้ม ข้าเข้าใจแล้ว”พระราชธิดาจาวหยางยืดตัวขึ้น “ไปเถอะ! ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ห่างจากหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดไม่ไกลแล้ว”
จะมายืดเยื้ออีกไม่ได้แล้ว ไปยังหมู่บ้านอื่น จะให้จื่อซีกังวลกับความสะดวกสบายของหลานเยาเยาไป พร้อมๆกับที่ต้องส่งนางไปยังสถานที่ปลอดภัยอีกไม่ได้
พระราชธิดาจาวหยางเพิ่งจะขึ้นม้า พบว่าจื่อซีไม่มีการเคลื่อนไหว จึงรีบมองไปทางเขา
กลับพบว่าเขามองจ้องไปยังที่ไกลๆ เมื่อมองตามสายตาเขาไป ตรงที่ไกลๆมีกองทัพคนและม้าควบมา แม้ระยะทางจะไกล แต่ท่าทางหล่อราวเทพบุตรของผู้นำ สวมชุดสีดำเสื้อผ้าปลิวไสว……
คือเสด็จอา!
“เสด็จอา เสด็จอา ข้าคือจาวหยาง พวกเราอยู่นี่ ท่านมาเร็วหน่อย! เยาเยานางต้องการท่าน”
นางเรียกเสียงดัง พูดไปพูดไป ดวงตาก็ตกลงอย่างควบคุมไม่ได้ จึงล้มลงจากบนม้าไปยังพื้น และรีบปีนขึ้นมา มองคนที่ควบมา
เย่แจ๋หยิ่งที่หน้าซีดเล็กน้อยมองเห็นสองคนและม้าตัวหนึ่งจากที่ไกลๆ พอมาถึงตรงหน้าพวกเขา ก็เห็นพระราชธิดาจาวหยางที่มีแผลไหม้จนเหมือนเปลี่ยนไปเป็นอีกคน นัยน์ตาก็ฉายความกังวล ประโยคแรกที่ถามก็คือ:
“เยาเยาหล่ะ?”
“ยังอยู่ในทะเลทราย มุ่งไปทางส่วนลึก อีกทั้งยังเกิดเรื่องแปลกประหลาดมากมาย……”พระราชธิดาจาวหยางเหมือนจะพูดออกมาหมด
เย่แจ๋หยิ่งมองจื่อซีที่ไม่ส่งเสียงอะไรแว็บนึง และรีบหยุดจาวหยาง ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด พูดกับองครักษ์ลับข้างหลังสองนายว่า:
“พวกเจ้าคุ้มกันจาวหยางกลับไปยังก่วงส้า ส่วนคนที่เหลือตามข้ามา”
“ขอรับ!”
จาวหยางขึ้นม้าองครักษ์ลับนายหนึ่ง มองจื่อซีอย่างกังวล และพูดขึ้นมาอย่างรีบร้อน
“เสด็จอา จื่อซีนั้นทำตามคำสั่งของเยาเยา จึงมาคุ้มกัน เขาไม่ได้เต็มใจ”
นางรู้ความสำคัญของเยาเยาที่มีต่อเสด็จอา แต่เพื่อฝ่าอันตรายเพื่อนาง ก็กลัวว่าเสด็จอาจะลงโทษจื่อซีโดยไม่แยกแยะถูกผิด
“รีบไปส่งนาง”
พูดจบ ก็มองไปจื่อซี สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย ริมฝีปากเปิดเล็กๆ
“ขึ้นม้า เดินไปด้วยและอธิบายอย่างละเอียดไปด้วย”
“ขอรับ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ จื่อซีถึงจะเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เจ้านายสามารถไม่พอใจ สามารถลงโทษ สามารถแทงให้ตาย ที่กลัวที่สุดก็คือไม่ให้เขาปกป้องหลานเยาเยา
“ไป……”
คนกลุ่มนี้ควบม้าออกไป
องครักษ์ลับนายหนึ่งที่ช้าไปก้าว แอบบอกกับจื่อซีว่า
“เจ้านายได้รับบาดเจ็บ”
เพียงประโยคธรรมดา ก็ทำให้จื่อซีตกใจ
ผิวด้านนอกบางส่วนของเจ้านายไม่นับว่าบาดเจ็บ องครักษ์ลับก็คงไม่ใส่ใจ ที่ทำให้องครักษ์ลับพูดออกมาจริงจังเช่นนี้ ก็สามารถบอกได้ว่า
เจ้านายบาดเจ็บสาหัส