บทที่ 53 ไม่มีหญ้าขึ้นเหนือหลุมศพ
ขณะนั้นหลานเยาเยายืนอยู่เบื้องหน้าเขา มองเขาด้วยสายตาเย็นชา ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยปาก
“หลานเฉินมู๋อยู่ที่ไหน?”
เมื่อท่านแม่ฉูซื่อให้กำเนิดนาง ร่างกายก็อ่อนโรยลง และยังปิดประตูตายไม่ออกไปไหนมาไหน และในท้ายที่สุดก็ป่วยทรุดลงจนเสียชีวิต
แต่ทว่ากลับไม่มีใครเห็นศพของนาง เมื่อนางยังเด็กมีคนพูดกันว่า เพราะนางเป็นเพียงอนุภรรยา ทางจวนจึงไม่มีการจัดงานพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่
มีเพียงโลงศพเรียบง่าย พิธีฝังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว หรือว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังปิดบังอยู่หรือไม่?
เป็นอย่างที่หลานเยาเยาคาดคิด หลานเฉินมู๋กลับไม่อยู่ในจวนแม่ทัพ กลับมาอยู่ที่ห้องส่วนตัวแห่งหนึ่งบนร้านเหล้าอันหรูหราตระการตา
“คุณหนูหก ท่านแม่ทัพอยู่ด้านใน!”
บนหน้าผากขององครักษ์มีแผลและเลือดปะปนจนแยกไม่ออก เลือดสดแดงฉานถูกเช็ดอย่างรีบร้อน จนทั้งหน้าผากและทั่วทั้งใบหน้าต่างเปรอะเต็มไปด้วยรอยเลือด เขาคำนับอย่างนอบน้อมพานางมายังประตูห้องส่วนตัว
“อืม!”
หลานเยาเยานำผ้าสีขาวสะอาดผืนหนึ่ง วางไว้บนมือขององครักษ์ “ผ้าผืนนี้อบด้วยยา เจ้านำไปพันแผลเจ้าเอง”
เมื่อพูดจบก็ปั้นหน้าเย็นชาเดินเข้าไปในห้อง
องครักษ์มองดูผ้าสีขาวสะอาดบนมือ ยืนนิ่งงันอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน แล้วก็ทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้น ร้องไห้เงียบๆ พลางเอ่ยปากพึมพำกับตัวเอง
“ขอบพระคุณคุณหนูหก ขอบพระคุณคุณหนูหก ข้าน้อยต้องตอบแทนท่านในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน”
หลานเยาเยากลับไม่ใส่ใจเสียงคร่ำครวญตรงประตู เมื่อนางก้าวเขามาในห้อง ก็ปิดประตูตามหลัง
ภายในห้องส่วนตัวตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่า หลานเฉินมู๋แต่งกายด้วยอาภรณ์สีน้ำตั๋วเงินเข้ม เขายืนอยู่ตรงขอบหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง ก็ค่อยๆหันกายมา ใบหน้าซีดราวกระดาษขาว
เมื่อทราบว่าหลานเยากำลังเดินมา แววตาของเขากับปรากฏแววกระอักกระอ่วนขึ้น แต่ก็หายไปในพริบตาเดียว พลางรีบหัวเราะขึ้นอย่างเบิกบานใจ
“เยาเยา ในที่สุดเจ้าก็มา บิดาเช่นข้าดีใจเป็นอย่างยิ่ง เจ้าอยากกินอะไร?ดื่มอะไรรีบสั่งเถิด ขอเพียงเป็นสิ่งที่เจ้าชอบ ข้าจะซื้อให้เจ้าทุกอย่างเลย”
เหอะ เหอะ!
สายตาอันสัตย์ซื่อ น้ำเสียงอันจริงใจ ท่าทางที่ดูสงบ นี่มันช่างเป็นภาพลักษณ์ของบิดาแสนประเสริฐจริงๆ!
น่าเสียดายที่ภาพลักษณ์นี้ช่างซับซ้อน น่ารังเกียจ และแสนจอมปลอม…
“ท่านไม่ต้องแสดงบทบิดาผู้แสนประเสริฐ เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ท่านแสดงไม่ได้หรอก ท่านเพียงแค่บอกข้ามาว่าท่านอยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องมารดาข้า?”
นางพูดขวานผ่าซาก ไม่อยากจะเปลืองน้ำลาย
ที่นางตกลงใจมากับองครักษ์ เพียงเพื่ออยากรู้เรื่องเกี่ยวกับมารดาของนางเท่านั้น คนอื่นในจวนแม่ทัพต่างก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรสำหรับนาง
“เยาเยา… ช่างเถอะ ช่างมันเถอะ เรื่องราวในอดีตที่เคยทำกับเจ้า เจ้าคงยังโกรธและเกลียดแค้นในใจ
องค์รัชทายาทยกเลิกงานเสกสมรสกับชิวหยุนแล้ว นางร้องไห้ทั้งวันจนน้ำตาไหลเป็นสาย แม้แต่น้ำซักหยดก็ยังไม่ดื่ม คิดว่านางคงเศร้าโศกเสียใจจนซึมเซาไปแล้ว นางคงได้รับผลกรรมที่นางก่อไว้แล้ว
อีกสองวันต่อจากนี้ เจ้าก็จะเสกสมรสกับอ๋องเย่แล้ว เจ้าก็กลับมาอยู่ที่จวนเถิด!ในสองวันสุดท้ายนี้ให้ข้า บิดาเจ้าได้ทดแทนหน้าที่พ่อให้เจ้าเถิด
เจ้าน่ะ มีเกียรติเป็นคุณหนูหกแห่งจวนแม่ทัพได้เสกสมรสกับอ๋องเย่ เมื่อแต่งไปแล้วก็ไม่นับว่าเสียตำแหน่งในจวนของเจ้าไป เมื่อไปอยู่หลังวังแล้วจะได้มีอำนาจบ้าง”
คำกล่าวนี้ฟังดูล้วนคิดเพื่อหลานเยาเยาทั้งสิ้น แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น หลานเฉินมู๋ในใจกับคิดแต่เพื่อตัวเองเท่านั้น
ในตอนแรกหลานเฉินมู๋มองหลานเยาเยาเป็นเพียงความอับอายของตัวเองเท่านั้น แต่ในตอนท้ายคนที่ทำให้เขาเสียหน้าอย่างที่สุดกลับกลายเป็นหลานชิวหยุนที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา
เมื่อองค์รัชทายาทยกเลิกงานเสกสมรสกับหลานเยาเยา เพียงพริบตาเดียวก็หมั้นกับหลานชิวหยุน แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน งานหมั้นก็ถูกยกเลิกอีกครั้ง เช่นนี้แล้วเขาจะรักษาหน้าไว้ได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น
ชื่อเสียงของชิวหยุนถูกทำลายจนป่นปี้ ไม่ว่าองค์รัชาทายาทจะชอบนางจริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว สิ่งที่แน่นอนก็คือชิวหยุนจะไม่มีวันได้ตำแหน่งพระชายาขององค์ชายรัชทายาทอีกต่อไป
ทั้งหมดนี่ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับความรัก ต่างมีแต่เพียงเรื่องภาพลักษณ์ขององค์จักรพรรดิเท่านั้น!
ในตอนแรกเขาคิดว่าคงต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าขุนนางและแม่ทัพทั้งหลายแล้ว แต่กลับคาดไม่ถึงว่า อ๋องเย่ผู้มีอำนาจล้นฟ้ามากบารมีจะถูกใจหลานเยาเยา ทั้งยังจะจัดพิธีสู่ขอนางเป็นพระชายาอย่างยิ่งใหญ่
พริบตาเดียวก็แปรเปลี่ยนสายตาอันเหยียดเย้ยหยันของเหล่าขุนนางพวกนั้น เป็นสายตาแห่งความริษยา
นี่เท่ากับกู้ภาพลักษณ์เขาคืนมาได้เลยทีเดียว!
“ท่านเล่าเรื่องมารดาของข้ามาก่อน จากนั้นท่านเพียงแค่เตรียมพิธีการให้พร้อมก็เท่านั้น ในวันพิธีข้าจะไปยังจวนเอง”
ให้กลับไปอยู่ที่จวนแม่ทัพรึ ไม่มีทางหรอก!
ทว่าแต่งออกมาจากจวนแม่ทัพ มีแต่จะเป็นผลดีกับนาง ไม่มีผลเสีย ทำไมจะไม่รับเสียล่ะ?
ดังนั้น!
หลานเยาเยาหาเก้าอี้ได้หนึ่งตัวก็นั่งลง รอให้หลานเฉินมู๋เอ่ยปากเล่าเรื่องให้นางฟัง เรื่องที่นางอยากรู้
ในตอนนั้นหลานเฉินมู๋ยืนอยู่เบื้องหน้าหน้าต่างนิ่งไม่ไหวติง ราวกับเขากำลังคิดหาวิธีพูดให้ดูน่าเชื่อถือที่สุด
ดูราวกับเขายืนจนเหนื่อย เขากลับเพียงเขยิบตัวเล็กน้อย กลับไม่ได้หาเก้าอี้ แต่ใช้สองมือยันบานหน้าต่างเอาไว้
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาทอดถอนหายใจ พยักพเยิดหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้น
“อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน”
“เมื่อมารดาของเจ้าฉูซื่อยังเยาว์วัย นางสวยสะคราญ รูปร่างงดงามท่าทางอ่อนช้อย นางงามทั้งรูปลักษณ์และยังเพียบพร้อมด้วยความสามารถ นางแต่งกับข้าเพียงเพราะตอบแทนบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตนาง แต่นางกลับเป็นนับนางอัปมงคล…”
หลานเฉินมู๋เล่าเรื่องในอดีตออกมาเป็นฉากๆ สายตาฉายความรู้สึกอันแปลกประหลาด!
แท้จริงแล้ว เมื่อมารดาของนางคลอดนางออกมาแล้ว ร่างกายก็กลับฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ภายหลังไม่รู้ว่าทำไม นางกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อกลับมายังจวนแม่ทัพอีกครั้งก็ราวหนึ่งเดือนผ่านไปแล้ว นางซูบกลับกลายเป็นผอมหนังหุ้มกระดูก ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จะคนก็ไม่ใช่ภูตผีก็ไม่เชิง
หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนนางก็จากไปอย่างลึกลับ เนื่องเพราะมีศักดิ์เป็นเพียงอนุภรรยาจึงทำพิธีอย่างรีบร้อน แต่เมื่อสามปีผ่านไป ที่หลุมศพของมารดานางได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีหญ้าขึ้นเลย เป็นที่แปลกประหลาดใจยิ่งนัก
เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยกับผู้คน หลานเฉินมู๋ออกคำสั่งให้ขุดดินติดหญ้าจำนวนมากฝังกลบเหนือหลุมศพของมารดานาง แต่ผ่านไปเพียงสามวันหญ้าเหล่านั้นต่างแห้งเป็นฝุ่นไป แม้นคนดูแลหลุมศพก็หายไปอีกด้วย
ดังนั้น หลานเฉินมู๋ก็ไม่มีวิธีอื่นใด สุดท้ายทำได้เพียงออกคำสั่งให้นำก้อนหินมาวางไว้บนหลุมศพแทน แม้นไม่มีต้นหญ้าขึ้น คนอื่นก็ยังมองไม่ออกถึงความผิดปกติ
เมื่อฟังจบแล้ว
ทั้งหมดนี่!
หลานเยาเยาแม้นใบหน้านิ่งสงบ แต่ในใจกลับราวมีพายุกระหน่ำ
เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร?
แปลกประหลาดนัก?
เรื่องราวทั้งหมดนี้นางสืบหาจากบันทึกทั้งหมดแล้ว กลับไม่พบแม้เพียงหลักฐานใด
แต่เมื่อมองดูลักษณะของหลานเฉินมู๋ เขาไม่ได้พูดโกหกเป็นแน่ เพราะเพียงนางไปยังหลุมศพมารดาก็คงรู้ว่าจริงหรือไม่แล้ว
เห็นได้ชัด!
ในเวลานั้น เพื่ออนาคตของตัวเอง หลานเฉินมู๋ปิดบังหลายเรื่องราว
“ท่านแม่เป็นคนที่ไหน?”
เรื่องนี้นางไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อน นางอยากรู้ว่าครอบครัวของมารดานางจะยังมีใครอยู่บ้าง?
“ข้าไม่รู้!”
สำหรับหลานเฉินมู๋แล้ว ฉูซื่อเป็นดั่งปริศนา!
นางไม่ใช่ชาวเมืองหลวง และดูราวกับไม่ใช่ได้เป็นประชาชนชาวประเทศก่วงส้า แต่แท้จริงแล้วมาจากที่ใด?เกิดที่ไหน?เขากลับไม่รู้อะไรเลย
ไม่รู้หรือ?
หลานเฉินมู๋ออกจะชาญฉลาดมิใช่หรือ?เรื่องเหล่านี้กลับมิรู้ได้?
ช่างมันเถอะ
เรื่องร้านเหล้านี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว หากมารดานางยังพอมีญาติของนางอยู่บ้าง ก็คงติดต่อมาก่อนหน้านี้แล้ว
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอไปก่อนแล้ว”
พูดจบก็หันกายจากไปทันที นางไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้เพียงครู่เดียว กลับคาดไม่ถึงว่าเท้ายังทันก้าวออกจากห้องสักนิด หลานเฉินมู๋ก็รีบเรียกนางเอาไว้
“เยาเยา เจ้า…”