บทที่ 560 คนโดนมนต์ดำปรากฏตัวที่เมืองหลวงอีกแล้ว
หากบอกว่าบุคคลที่ปีนกำแพงผู้นั้นเป็นผู้หญิง เจ้านายจะต้องคิดไปทางคุณหนูเป็นแน่ เช่นนี้บางทีเขาอาจจะออกจากประตูจวน ไปตามสืบคนผู้นั้นด้วยตัวเอง
น่าเสียดายสายไปแล้ว
แสงประกายเล็กน้อยบนใบหน้าของเย่แจ๋หยิ่งค่อยๆจางไป ในที่สุดก็หันกลับไป กล่าวอย่างแผ่วเบา
“ถอยไป!”
จื่อซีถอยออกมาพร้อมองครักษ์ลับคนอื่น จากการตอบสนองเมื่อครู่ของเจ้านาย จื่อซีมีความคิดสร้างสรรค์แวบออกมา คิดวิธีรักษาโรคไข้ใจของเจ้านายได้อย่างฉับพลัน
วิธีนี้ยิ่งคิดยิ่งมีความเป็นไปได้
แต่ว่าต้องได้รับความร่วมมือจากพ่อบ้านเหมยถึงจะได้ คิดถึงตรงนี้ จื่อซีรีบจ้ำเท้าไปหาพ่อบ้านเหมยทันที
วันที่สอง
โรงหมอแห่งหนึ่งที่ดูแล้วมีระดับโอ่อ่าเริ่มประกอบกิจการ ร้านไม่ใหญ่ อีกทั้งมีเพียงหมอตรวจโรคเพียงสองคน
เดิมทีไม่ควรจะเตะตา
ทำอะไรไม่ได้ก่อนหน้าที่คนอื่นเขาจะเริ่มประกอบกิจการ ได้ทำการโฆษณาอย่างเพียงพอ ทุกบ้านแทบจะรับรู้ เมื่อเปิดร้านวันนี้ ผู้มาตรวจโรคเข้าแถวยาวเป็นมังกร
มีมาตรวจโรคก็ตรวจโรค ไม่มีโรคก็มามุงดูความคึกคัก
แรกเริ่มเห็นหมอที่อายุยังน้อยสองคน บรรดาผู้คนยังคิดว่าพวกเขารู้เพียงผิวเผินเท่านั้น อย่างไรเสียพวกเขาตรวจโรคเร็ว อีกทั้งยังไม่ตรวจให้บางคนอีกด้วย
กระทั่งมีคนเห็น หมอรูปหล่อหน้าตาดีหนึ่งในนั้น ไม่ตรวจดูโรคดีๆ มักจะชอบทำกิริยาและพูดจาน่าขันเสมอ ดื่มชาดูหนังสือ อย่างไรเสียก็คือไม่ตรวจโรคให้ดี
กลับเป็นหมอที่มีท่าทางของปัญญาชนเล็กน้อยอีกผู้หนึ่ง ทำงานอย่างเต็มที่ ตรวจโรคและเขียนใบสั่งยาตลอด ไม่ขยับก้นแม้สักน้อย
มีบางคนดูจนขัดตาแล้ว
“โรงหมอของพวกเจ้าชั่งเปิดอย่างตามใจปรารถนาเหลือเกิน? คนมากมายขนาดนั้นต่อแถวรอตรวจอาการ เจ้าดูเขา ดื่มชาอ่านหนังสือ ไม่รู้ยังคิดว่าที่นี่เป็นโรงเหล้าซะอีก!”
“หมอเฮงซวยอะไร ท่าทางเช่นนี้ ยังจะเปิดโรงหมออะไร? จากที่ข้าเห็นนะ! ฤกษ์ดีของการปิดกิจการไปเลย จะได้ไม่ขวางหูขวางตาพวกเรา”
“นั่นสินั่นสิ ครั้งแรกที่เห็นหมอที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่เช่นนี้ คาดว่าแม้แต่ยาสมุนไพรก็รู้จักไม่หมด ทุกคนแยกย้ายเถอะ!”
“……”
หลังจากที่มีหนึ่งถึงสองคนเริ่ม ก่อนหน้านี้แม้จะขัดตา แต่คนไข้ที่มีท่าทางพยายามขอร้องให้ลองตรวจ ก็เริ่มหวั่นไหว มีบางคนที่กระทั่งแม้แต่แถวก็ไม่ต่อแล้ว ก็จากไปด้วยความโกรธโดยตรง
แต่ทว่าที่แปลกก็แปลกตรงที่ ไม่ว่าผู้อื่นจะวิจารณ์อย่างไร หมอผู้นั้นที่อ่านหนังสือดื่มชาก็ยังคงทำตามทางของตนเอง สุดท้ายจนกระทั่งนอนลงและยกขาไขว่ห้างบนเตียงโดยตรง
ส้งเย่นกุยที่กำลังนั่งตรวจโรค หาโอกาสมองหลานเยาเยาแวบหนึ่ง จิตใจไม่วอกแวก สงบและสบายใจ ไม่ได้ผลกระทบจากการวิจารณ์ของประชาชนสักนิด
ส้งเย่นกุยยกมุมปากขึ้น มองดูฝูงชน ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
โง่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
เจ้านายอยู่ในยุคปัจจุบันมีอิทธิพลสามารถบงการสิ่งต่างได้ คิดต้องการให้นางลงมือรักษาโรค จ่ายเงินมากเท่าไหร่ อำนาจยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ยังจะต้องดูอารมณ์ของนาง
อารมณ์ดี ไม่เก็บเงินใดๆ
อารมณ์ไม่ดี ร้องไห้เป็นลมไปถึงห้องน้ำก็ไม่มีความหมาย
เพียงแค่……
เขาค่อนข้างไม่เข้าใจ เจ้านายให้เขาเปิดโรงหมออย่างยิ่งใหญ่ จุดประสงค์ก็เพื่อคนผู้นั้นในจวนอ๋องเย่
แต่ท่าทางเช่นนี้ในตอนนี้ คาดว่าชื่อเสียงหลังจากนี้คงไม่ดีนัก
ชื่อเสียงไม่ดีแล้วจะดึงดูดคนของจวนอ๋องเย่ได้อย่างไร?
ทันใดนั้น!
เสียงเอะอะในกลุ่มฝูงชน ยังมีเสียงคนร้องไห้เสียงดังมาก แหลมเหมือนกับคนในบ้านตายแล้วเช่นนั้น
ต่อจากนั้นมีคนสองสามคนพุ่งทะลุขบวนที่วุ่นวายเข้ามา พวกเขาหามคนผู้หนึ่งวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ด้านหลังตามมาด้วยสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิง ร้องไห้จนตาบวม
“หมอ ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ! รีบช่วยนายท่านของครอบครัวข้าด้วยเถอะ! เขาแทบจะไม่ไหวแล้ว”
หญิงผู้หนึ่งไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น พุ่งเข้ามาคุกเข่าด้านหน้าของส้งเย่นกุยทันทีด้วยมือที่เลอะเทอะไปหมด กำแขนเสื้อของเขาแน่น
ส้งเย่นกุยที่ไม่คุ้นชินกับการสัมผัสกับผู้อื่น คิดต้องการดึงแขนเสื้อตัวเองกลับ ขณะที่สายตาตกลงไปยังร่างของผู้ป่วย ก็ชะงักทันที
หรี่ตาลงเล็กน้อย ผุดลุกขึ้นเดินไปด้านหน้าของผู้ป่วย
สีหน้าคนผู้นั้นซีดขาว ไร้สีเลือด ตรงคอมีรอยขีดข่วนอยู่บ้าง ที่ล้วนเน่าเฟะแล้ว ยังส่งกลิ่นเหม็นออกมาเป็นระยะ เส้นผมก็ร่วงไปมากกว่าครึ่งแล้ว
ทันทีที่เห็นผู้คนก็คิดว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หายแล้ว
ส้งเย่นกุยค่อยๆขมวดคิ้วแน่นขึ้น เขายกมือขึ้น ใช้นิ้วสองนิ้วหนีบแขนเสื้อของผู้ป่วยเล็กน้อย พลิกขึ้นด้านบนเบาๆ จะมองอย่างไร ก็เป็นเนื้อชิ้นใหญ่ที่เน่าเฟะ น่าหวาดกลัวเป็นที่สุด
“คนผู้นี้ดูเหมือนจะตายไปแล้ว เกรงว่าแม้จะมีวิชาการรักษาล้ำเลิศก็ไม่มีทางรักษาได้”
“เหม็นเกินไปแล้ว อย่ารักษาเลย รีบเตรียมงานศพ ฝังไปโดยเร็วแต่เนิ่นๆ หากว่าเป็นเหมือนโรคเรื้อนที่ติดต่อได้เช่นนั้น นั่นก็ทำร้ายตัวเองและผู้อื่นด้วยแล้ว”
“จริงๆเลย เหม็นขนาดนี้ ก็กล้าหามออกมา ไม่รู้ว่าโรงหมอแห่งนี้เปิดใหม่ วิชาการรักษาย่ำแย่หรือ?”
สมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาน จึงไม่ได้สนใจคำพูดของบรรดาผู้คน
หมอโรงหมอของเมืองหลวงล้วนดูมาหมดแล้ว ไม่มีสักคนที่สามารถรักษาได้ หากว่าไม่ได้จำใจต้องทำเช่นนี้ นางจะให้คนรับใช้หามนายท่านมาที่โรงหมอเปิดใหม่แห่งได้อย่างไรกัน
อย่างไรเสียทั้งที่รู้ว่าช่วยไม่ได้ก็ลองทำให้ถึงสุด
“หมอ ขอร้องท่าน รีบคิดวิธี ช่วยนายท่านของครอบครัวข้าด้วยเจ้าค่ะ”
ส้งเย่นกุยไม่พูดจา หลังจากที่สำรวจชีพจรบริเวณคอ หันหน้าไปหาหลานเยาเยา
“คุณชายซ่างกวน รีบมาดู ตรงนี้มีคนไข้ที่น่าสนใจผู้หนึ่งขอรับ”
เจ้านายไม่ให้เขาเรียกนางว่าหลานเยาเยา และไม่ให้เรียกว่าเจ้านาย อนุญาตให้เรียกเพียงคุณชายซ่างกวน แบบนี้ทั้งแสดงให้เห็นว่าอายุยังน้อย ทั้งรู้สึกว่าน่าฟัง
สังเกตถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของส้งเย่นกุย
หลานเยาเยาวางหนังสือลง ลุกขึ้นสาวเท้าไปถึงด้านหน้าของคนไข้ เพียงแค่แวบแรก สีหน้าของนางก็หนักหน่วงลงมา
คนโดนมนต์ดำ……
ทำไมที่นี่ถึงมีคนโดนมนต์ดำ?
ทุ่งดอกกระดูกขาวที่ราชครูเทียนเวิงเลี้ยงบำรุงได้ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง จากนิสัยที่ละเอียดรอบคอบของเย่แจ๋หยิ่ง ไม่น่าปล่อยให้เล็ดลอดได้
แต่ว่า ตอนนี้คนโดนมนต์ดำปรากฏตัว ทั้งยังอยู่ในเมืองหลวง มองดูคนที่ได้กลายเป็นคนโดนมนต์ดำระยะเวลาหนึ่งแล้ว
อีกทั้ง คนโดนมนต์ดำผู้นี้ค่อนข้างประหลาด เขาไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่เปลี่ยนแปลงไปทีละวันๆ สุดท้ายกลายเป็นคนโดนมนต์ดำ
ไม่ใช่คนโดนมนต์ดำของการควบคุมพิษกู่จิ้น และไม่ใช่คนโดนมนต์ดำที่แพร่เชื้อจากคนมนต์ดำ พลังการโจมตีนี้อ่อนแอมาก
ไม่เช่นนั้น!
เวลาไม่กี่วัน คาดว่าเมืองหลวงก็กลายเป็นเมืองที่ไม่มีชีวิตไม่มีผู้คนอยู่แล้ว
คนผู้นี้ต้องช่วยเหลือ
นางจำเป็นต้องหาที่มาของการแพร่เชื้อ ไม่เช่นนั้นผลที่ตามมาจะเป็นหายนะที่คาดไม่ถึง
หลานเยาเยาเงยหน้ามองคนในครอบครัวที่เป็นผู้หญิง ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม :
“นายท่านของเจ้าเป็นแบบนี้มีกี่วันแล้ว?”
“สี่ สี่วันแล้ว”
“สี่วัน? !” เวลานานใช้ได้ นายท่านผู้นี้ยังไม่ได้กลายเป็นคนโดนมนต์ดำโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนต้องหาโอกาสพบเย่หลีเฉินแล้ว
จำได้ว่าในสมัยนั้นนางกับเย่หลีเฉิน หานแสพวกเขา พบทุ่งดอกไม้ดอกกระดูกขาวของราชครูเทียนเวิงที่สวนว่างฮัวภายใต้ชื่อของถังมู่หวั่นลูกสาวของเฉิงเสี้ยง
ตอนนั้นคนโดนมนต์ดำได้ถูกสังหารหมดแล้ว ศพทั้งหมดนำกลับไปที่ราชสำนักรอการตัดสินโดยเย่หลีเฉิน ต่อจากนั้นเย่หลีเฉินเคยบอกนางว่า ศพของคนโดนมนต์ดำเหล่านั้นทั้งหมดถูกเผาแล้ว
เย่หลีเฉินคงไม่น่าจะโกหกนาง
สำหรับการจัดการทุ่งดอกไม้ดอกกระดูกขาวเหล่านั้นของเย่แจ๋หยิ่ง นางก็ยิ่งวางใจแล้ว
แต่ตอนนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวง คนโดนมนต์ดำน่าประหลาดเช่นนี้ แบบนั้นน่าจะเป็นอุบัติเหตุของการเผาศพคนโดนมนต์ดำของเย่หลีเฉินที่เกิดขึ้นก่อนหลังที่เขาไม่รู้
แน่นอน!
นี่เป็นเพียงการคำนวณเท่านั้น
ความจริงเป็นอย่างไรนางไม่รู้ ช่วยให้คนโดนมนต์ดำที่แปลกประหลาดตรงหน้าผู้นี้ให้ฟื้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
“ข้าสามารถช่วยเขาได้ แต่ จำเป็นต้องวางเขาไว้รักษาในโรงหมอ”
เห็นท่าทางที่เคร่งขรึมของนาง คำพูดไม่เหมือนโกหก คนในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงผู้นั้นก็พยักหน้าติดๆกัน
แต่บรรดาผู้คนที่ดูละครมาโดยตลอด คิดว่าคำพูดของนางเกินจริง รู้ว่าในจวนของผู้อื่นมีสมบัติมากมาย จงใจวางไว้ในโรงหมอหลอกเอาเงินคนอื่น
แต่รอจน หลานเยาเยาขูดเนื้อที่เน่าเฟะบนร่างของคนไข้ออกต่อหน้าพวกเขา และจัดการฆ่าเชื้อโรค ใส่ยา จากนั้นแอบเอายาถอนพิษของพิษกู่จิ้นออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บยัดเข้าในปากคนผู้นั้น บังคับป้อนลงไป
ลักษณะท่าทางของคนไข้ก็ไม่ได้น่าเกลียดเหมือนเมื่อครู่นั่นแล้ว
บุคคลก่อนหน้านี้ที่ดูถูกหลานเยาเยา แต่ละคนเงียบกริบ แต่ละคนอับอายหน้าแดง จากไปอย่างหงอยๆแล้ว……