บทที่ 604 บ่อน้ำลึกซ่อนศพ
ด้วยการยืมแสงยามค่ำคืนอันน้อยนิด ที่ไกลๆมีเงาคนเคลื่อนไหว ร่างกายของพวกเขาค่อมลงอยู่ตามกันก่อนหลัง ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังยกของหนักอะไร
ใกล้แล้วจึงพบว่า สองคนที่ยกของหนักก็คือคนที่แต่งตัวเป็นประชาชนธรรมดาที่อยู่ในโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ และของที่พวกเขายกก็คือคนผู้หนึ่ง อีกทั้งยังเป็นคนตายที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยคราบเลือด
พวกเขาเอาศพยกขึ้นบนขอบของบ่อน้ำลึกอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว มัดหินก้อนใหญ่ไว้ก้อนหนึ่ง เอาศพและก้อนหินโยนลงในบ่อน้ำลึกพร้อมกัน จากนั้นก็กลับไปทางเดิมอย่างรวดเร็ว
พอพวกเขาจากไป ก็มีคนยกศพอีกเรื่อยๆ ใช้วิธีเดียวกัน เอาศพกับก้อนหินจมลงไปในบ่อน้ำลึกด้วยกัน……
เห็นเช่นนี้ หลานเยาเยาขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ศพหายไปเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าไม่ทำให้เป็นผง ก็ทำให้ศพจมลงไปในน้ำลึก หายไปอย่างไร้วี่แววตั้งแต่ตอนนี้
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง
ก็นึกถึงได้ยาก บ่อน้ำลึกที่เงียบสงบสวยงาม นึกไม่ถึงว่าจะซ่อนศพลึกลับไว้มากมายขนาดนั้น
แต่ทำให้หลานเยาเยาตกตะลึงยิ่งกว่าคือ เสื้อผ้าของบางศพถ้าไม่ใช่เครื่องแบบขุนนางทหาร ไม่เป็นเครื่องแบบของสาวใช้ ก็เป็นเครื่องแบบของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่สวมใส่ในราชสำนัก จนกระทั่งชุดที่แสดงออกถึงความใหญ่โตหรูหราขององค์ชายก็มีหมด
หลานเยาเยาดึงแขนเสื้อของเย่แจ๋หยิ่งเบาๆ ระหว่างที่เขามองมาทางนาง นางใช้สายตาบอกใบ้เล็กน้อย สองคนจึงได้ถอยไปตำแหน่งที่ไกลออกมาหน่อย
“ที่ตายคือทูตต่างประเทศ เย่แจ๋หยิ่ง เรื่องที่ท่านกังวลเกิดขึ้นแล้ว”
ทูตเป็นตัวแทนหน้าตาของประเทศ ทหารสองฝ่ายรบกัน ก็ล้วนไม่สังหารทูต ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาทำสงครามใหญ่ของประเทศมหาอำนาจ ทูตไม่กี่ประเทศมาแสดงความยินดีที่เมืองหลวงประเทศก่วงส้า ตายอยู่ที่นี่อย่างไร้เหตุผล หากว่าไม่มีการอธิบายที่ดี ประเทศก่วงส้าก็จะกลายเป็นประเทศที่ถูกโจมตี
ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือตรวจสอบให้กระจ่างว่าฆาตกรคือใคร……
สีหน้าท่าทางของเย่แจ๋หยิ่งยังคงเคร่งขรึม คิ้วขมวดแน่น แววตาลึกล้ำดั่งน้ำวน ขณะที่มองดูหลานเยาเยา ถึงได้ปรากฏความอ่อนโยนเล็กน้อย
“บางทีอาจจะร้ายแรงกว่าที่พวกเราคิด!”
หลานเยาเยาพยักหน้าเห็นด้วย
รุนแรงกว่าที่คาดคิดจริงๆ นี่คือการเจตนา
มีคนอยากทำลายประเทศก่วงส้า!
เวลานี้ เย่แจ๋หยิ่งยื่นมือแล้วโบก องครักษ์ลับในที่ลับผู้หนึ่งแฉลบตัวออกมา คุกเข่าลงพื้นข้างหนึ่ง รอฟังคำสั่ง
“บอกเรื่องนี้กับเขา ไม่ใช้นกพิราบส่งข่าว เจ้าไปเองรอบหนึ่ง”
เขาที่นี่แน่นอนว่าหมายถึงฮ่องเต้องค์ใหม่เย่หลีเฉิน เรื่องราวร้ายแรงเช่นนี้ ยิ่งรู้เร็วยิ่งดี “แล้วค่อยส่งคนไปเรียกรวมพลกองกำลังเก่าของข้า รอฟังคำสั่ง”
“ขอรับ!”
หลานเยาเยาไตร่ตรองลึกซึ้ง กองกำลังเก่าที่เย่แจ๋หยิ่งพูดถึง ก็คือคนของราชวงศ์เก่าที่ติดตามเขาอย่างจงรักภักดีโดยตลอด นั่นเป็นถึงนักรบที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดี ไม่ถึงที่สุดจะไม่ระดมกำลังอย่างง่ายๆเด็ดขาด
องครักษ์ลับรับคำสั่งและจากไป นางจึงได้เอ่ยปาก
“จะทำสงครามแล้วหรือ?”
ตอนนี้เหตุการณ์การซุ่มสังหารทูตเพิ่งจะเกิดขึ้น การหารือของทุกประเทศ ตรวจสอบความจริงอย่างกระจ่าง ให้การอธิบายต่อแต่ละประเทศ การหารือสำเร็จยังดี เปลี่ยนอันตรายเป็นความสงบ หากหารือล้มเหลว ก็คือการพบกันของทหารและอาวุธ
แต่การไปมาเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองสามเดือน การพูดคุยร้าวฉาน กองกำลังทหารแต่ละประเทศ ที่ตั้งกองกำลังที่ชายแดน แม้ว่าจะถึงการเปิดสงคราม อย่างน้อยที่สุดก็ต้องการเวลาสามเดือนถึงครึ่งปี
แต่ทว่า……
ตอนนี้เย่แจ๋หยิ่งเรียกรวมพลกองกำลัง เห็นได้ว่าเขายังมีความกังวลอื่น
เย่แจ๋หยิ่งก็ไม่ได้ปิดบังนาง พูดความกังวลของตัวเองออกมา
“ข้าเดาว่ามีคนวางแผนการใหญ่ ซุ่มสังหารทูตต่างประเทศ แน่นอนว่าจะไม่รอจนหลังจากพวกเราพบเจอแล้ว เขาถึงเดินหมากขั้นต่อไป
บางทีคนที่อยู่เบื้องหลัง รอเพียงแค่ทันทีที่ซุ่มทูตขุนนางสำเร็จ ส่งจดหมายไปแต่ละประเทศ ให้ถึงมือฮ่องเต้แต่ละประเทศตามเวลาที่กำหนด ประเทศเชียนหลิงกับก่วงส้ามีความขัดแย้งกันมาโดยตลอดไม่หยุดหย่อน ก่วงส้าในตอนนี้เสื่อมลงกลายเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้องค์ใหม่ครองราชย์ เรื่องราชสำนักบ้านเมืองเพิ่งจะทุเลาลง ใจของทหารค่อยๆมั่นคงแข็งแรง
แต่ประเทศเชียนหลิงพัฒนาอย่างรวดเร็ว กองกำลังทหารม้าแข็งแรงกำยำ อยากจะกลืนกินก่วงส้าตั้งนานแล้ว ไม่ยินยอมที่จะเห็นประเทศก่วงส้าฟื้นสภาพได้เป็นธรรมดา
เรื่องการซุ่มสังหารขุนนางทูต เป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่จะล้มพวกเรา”
มีจุดหนึ่งที่เย่แจ๋หยิ่งไม่ได้พูด เพราะเป็นเพียงการคาดเดา เขาไม่อยากให้บุคคลตรงหน้าเป็นกังวล
“เช่นนั้นตอนนี้ตรวจสอบหาความจริงให้กระจ่างยังจะมีประโยชน์หรือ?”
“แน่นอนว่ามี ประเทศเชียนหลิงอยากโค่นล้ม ประเทศซีเม่าและประเทศผึงไหลก็ไม่แน่” แต่ว่าก็ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้อื่นทิ้ง
“เช่นนั้นท่านก็ส่งคนไปบอกสำนักหงอีให้รู้หน่อย”
หากเรื่องราวย่ำแย่เหมือนที่พวกเขาคาดคิดจริงๆ บอกสำนักหงอีให้รู้ก็ดี พวกเขาจะได้เตรียมตัวให้ดีไว้หน่อย อย่างน้อยก็เลี่ยงการถูกกองกำลังยุทธจักรใช้โอกาสเข้าโจมตี
“อืม!”
ขณะกำลังพูดคุย ในอากาศก็มีความเคลื่อนไหวพรั่งพรูอีกครั้ง องครักษ์ลับที่ได้แอบสะกดรอยตามนักฆ่าที่แต่งตัวเป็นคนธรรมดากลุ่มนั้นกลับมา สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึมผิดปกติ
“รายงานเจ้านาย นักฆ่าเหล่านี้คืนนี้ได้ดักซุ่มสังหารทูตขุนนางของซีเม่าขอรับ ขณะที่ข้าน้อยไป พวกเขาได้สังหารคนทั้งหมดแล้ว ตอนนี้กำลังเคลื่อนย้ายฝังศพ เพื่อเลี่ยงการแหวกหญ้าให้งูตื่น ข้าน้อยจึงได้เพียงกลับมารายงานก่อนขอรับ”
เย่แจ๋หยิ่งไม่ได้พูดจา สีหน้าขรึม เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าตัวเองรู้แล้ว
องครักษ์ลับยังไม่ได้ถอยไป ในอากาศมีความเคลื่อนไหวพรั่งพรูอีกครั้ง แล้วองครักษ์ลับผู้หนึ่งก็แฉลบตัวเข้ามา ยังไม่ปรากฏตัว พวกเขาก็ได้กลิ่นคาวเลือดแล้ว องครักษ์ลับร่วงลงมา สองเท้ายืนไม่มั่นคงก็ล้มลงพื้นแล้ว บนร่างของเขามีบาดแผลหลายรอย
เห็นดังนั้น!
หลานเยาเยารีบเข้าไปห้ามเลือดพันแผลให้เขาทันที
องครักษ์ผู้นั้นอดทนอย่างหนักไม่ให้ตัวเองสลบไป พูดเหตุการณ์ที่ตัวเองเห็นออกมา
ที่แท้ หลังจากที่ได้รับภารกิจที่เย่แจ๋หยิ่งมอบให้พวกเขาแล้ว องครักษ์ลับผู้นั้นกับจื่อเฟิงได้ไปทางถนนใหญ่ที่ทูตขุนนางต่างประเทศต้องผ่าน ดูว่าคืนนี้แถวๆนี้มีทูตขุนนางได้มาถึงหรือไม่ เตือนพวกเขาให้ระวัง
ตลอดทางที่ตรวจดู บังเอิญพบเห็นนักฆ่ามากมายซุ่มสังหารทูตขุนนางของประเทศผึงไหลพอดี พวกเขาลงมือช่วยเหลือ ไร้ปัญญานักฆ่าที่แอบซุ่มมากเกินไป จื่อเฟิงให้เขากลับมารายงานข่าว
เหล่านักฆ่าปราดเปรียวมาก ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดรอดไปได้สักคน แผนการใหญ่ของคนเลว
ฟังจบ แรงสังหารของเย่แจ๋หยิ่งแผ่ซ่านไปทั่วเหลือหนึ่งคนไว้ปกป้องหลานเยาเยา แล้วนำองครักษ์ลับที่ยังหลบซ่อนในที่ลับไปอย่างรีบร้อน
“อาส้ง ไปช่วย!”
“ขอรับ!”
แม้จะเกรงกลัวเย่แจ๋หยิ่ง แต่ชีวิตคนสำคัญ เขาต้องไปอย่างแน่นอน เพราะว่าก่อนหน้าพูดถึงต้องทำสงครามตอนนั้น เขารับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเจ้านายตัวเองแล้ว
เพราะยุคสมัยของฮ่องเต้
เจ้านายและฮ่องเต้ได้เผชิญกับความทุกข์ทรมานหนักหน่วง ท้ายที่สุดก็รักกัน สัญญากันจะอยู่ด้วยชั่วชีวิต ท้องที่ในหยินไห่กลับมีข่าวร้ายแว่วมา คนจากนอกแผ่นดินสูงใหญ่กำยำบุกรุก เห็นคนก็ฆ่า ไม่มีมโนธรรมสักน้อย ราวกับว่าต้องการฆ่าพวกเขาให้หมด ยึดแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ไว้เอง
ประชาราษฎรถูกฆ่าตายอย่างอนาถ ขณะที่ข่าวคราวส่งมาถึงวังทอง คนจากนอกแผ่นดินได้ยึดครองหมู่บ้างการประมงในท้องที่ของหยินไห่ทั้งหมดแล้ว
ขบวนขอแต่งงานเป็นทางสีแดงยาวเป็นสิบลี้ ทั้งนอกและในเมืองหลวงปูผ้าแดงเต็มไปหมด ถนนใหญ่ตรอกซอยเล็ก ฮ่องเต้รุ่นแรกขี่ม้ารบต้อนรับการแต่งงานด้วยตัวเอง ขณะนั้นชื่อเสียงที่ดังกึกก้อง ซ่างกวนหนานซู่ผู้มีชีวิตรอดหนึ่งเดียวของตระกูลซ่างกวนได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพธิดาแล้ว
เดิมทีควรเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองของทั้งประเทศ
แต่ข่าวร้ายกลับส่งมาว่าคนจากนอกแผ่นดินสังหารประชาราษฎรอย่างโหดเหี้ยม หลานเยาเยาเงยหน้าถามฮ่องเต้ที่มาแต่งงานกับนางตรงหน้า :
“ต้องทำสงครามหรือ?”
ฮ่องเต้รุ่นแรกมองดูนาง พยักหน้า : “อืม”
“ข้าไปกับท่าน”
พูดจบ นางก็ถอดมงกุฎราชินีลง เปลื้องชุดแต่งงาน สวมชุดเครื่องแบบทหาร นำทหารรีบไปยังหยินไห่พร้อมกับฮ่องเต้รุ่นแรก
แต่เมื่อไปคราวนั้น ก็เป็นเวลาทำสงครามใหญ่เกือบห้าปี สุดท้ายโจมตีศัตรูต่างชาติถอยไป บังคับจนพวกเขาคืนหยินไห่อีกด้านหนึ่ง แต่ว่าฮ่องเต้รุ่นแรกบาดเจ็บสาหัสไร้ทางรักษา แล้วมีคนชั่วแอบทำร้ายอีก ถึงได้มียาอายุวัฒนะที่หลานเยาเยาปรุง เรื่องแย่งชิงครอบครองของขุนนางมากมาย สุดท้ายหลานเยาเยาเสียชีวิต ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์เพื่อความรัก……
แต่ตอนนี้……
เหมือนกับว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยแล้ว