บทที่ 62 คืนวันเข้าหอ 2
อย่างไรก็ตาม
ความฝันที่สวยงาม แต่ในความเป็นจริงกลับโหดร้าย
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเอาเลือดของข้าด้วย?”
หลานเยาเยาเหมือนจะมีแผนการอย่างอื่นอีก คิดว่าเขาไม่รู้หรือยังไง?
“เกี่ยวสิ ต้องเกี่ยวอยู่แล้ว”
ทำแบบนี้แล้วนางก็ไม่ต้องกลายเป็นที่ต้องหลบซ่อนต่อไปอีก เพราะเขาไม่มีทางจับนางเข้ากรงไปเลี้ยงเป็นหนูแน่นอน นางฉวยโอกาสพูดไปตรง ๆแล้ว อย่างน้อยก็จะอาจจะได้เลือดเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย
นางพูดไปพลาง เค้นเลือดไปพลาง จากนั้นก็เอาถ้วยออก
นางรู้สึกได้ว่าเย่แจ๋หยิ่งแผ่ไอความน่ากลัวออกมา นางจึงรีบยิ้มให้เขา
“มามามา ท่านอ๋องทรงมาตรงนี้ ได้ว่าพิสูจน์ความพิศวงแล้ว”
หลานเยาเยารีบเดินไปริมหน้าต่าง หลังจากเปิดหน้าต่างออกแล้ว สายตาของนางก็มองไปยังกระถางต้นไม้ที่แขวนอยู่ที่หน้าต่าง แต่ว่านางกลับพบว่าเย่แจ๋หยิ่งไม่ได้ตามมาด้วย
นางเลยเดินกลับไปข้างตัวเขา ไม่ได้สนใจว่าเขาจะยินดีด้วยหรือเปล่า ลากเขามายังริมหน้าต่างด้วยเลย
จากนั้นก็เอากระถางต้นไม้ที่แขวนอยู่ลงมา จากนั้นก็เดินไปเอากาน้ำชาที่ยังร้อนอยู่มา
นางเอาน้ำชาเทลงบนใบไม้ ไม่นานใบชาก็เหี่ยวลง
เมื่อเห็นดังนั้น หลานเยาเยาก็รีบเอาเลือดที่อยู่ในถ้วยชามาหยดใส่ใบไม้ที่กำลังจะเหี่ยวตาย หลังจากนั้นไม่นาน ใบไม้ที่กำลังจะเหี่ยวตายก็ฟื้นกลับมาเหมือนเดิม ต้นไม้ในกระถางที่กำลังจะตายกลับกลายมาเป็นมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านดูสิ แปลกมากเลยใช่ไหม? ที่จริงแล้วยังมีที่น่าแปลกกว่านี้อีกนะ เพียงแต่ที่นี่ไม่มีเครื่องมือดีดี เลยทำให้ท่านดูไม่ได้”
นางชอบการแพทย์มาก นางชอบการค้นคว้าวิจัยเรื่องการแพทย์มาก ๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ตอนที่นางอยู่ในยุคปัจจุบันก็เคยใช้เลือดตัวเองศึกษามาก่อน
แต่ว่าในยุคประวัติศาสตร์แบบนี้ถือว่าเป็นครั้งแรก
สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ยังต้องมาแสดงให้คนที่สมบูรณ์แบบมากคนหนึ่งดู
คิดแล้วก็ปวดหัว
นางอดไม่ได้อยากจะเห็นหน้าตาที่ตกใจของเขามาก ๆ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่า …… ที่ไหนถึงจะมีเครื่องมือดีดีที่เจ้าว่ากัน?” น้ำเสียงที่เหมือนแม่เหล็กดังเข้มขึ้นมา
เขาไม่เคยได้ยินคำว่าเครื่องมือมากก่อน แต่เขารู้ว่าไอ้เครื่องมือนี่น่าจะเกี่ยวข้องกับการแพทย์แน่นอน
หรือว่านางจะมาจากต่างแดน?
“มันก็คือของในยุค ……”
หลานเยาเยาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางเลยหยุดพูดไป
จากนั้นก็หันหน้าหนี ไม่ไปสนใจเขา
คิดจะมาหลอกถามนางเหรอ? ฝันไปเถอะ
ใครจะคิด เย่แจ๋หยิ่งกลับใช้สองมือของเขาจับไปที่หน้าต่าง เหมือนกับกักขังนางเอาไว้ระหว่างตัวเขากับหน้าต่าง
เอ่อ ……
ตั้งกำแพงล้อมเหรอ?
พวกเขาสองคนอยู่ใกล้กันมาก เย่แจ๋หยิ่งราวกับจับนางกดลงกับหน้าต่าง อีกทั้งลมหายใจของเขามันก็เหมือนรดลงบนผมของนางด้วย
มันทำให้นางอดคิดถึงเรื่องไม่ควรขึ้นมา
“ตึก ตึก ตึก ……”
เสียงหัวใจที่หนักแน่น มันดังเข้ามาในหูของนาง ทำให้นางอดที่จะหดตัวลงไม่ได้
“ยังไงที่นั่นท่านก็ไม่เคยไปหรอก ต่อให้บอกท่านไปท่านก็ไม่รู้จัก”
โชคดีที่ข้าฉลาด หัวไว ไม่ได้หลงกลเขา
นางรีบหลบสายตาที่เหมือนจะมองนางออกทะลุปรุโปร่ง จากนั้นก็ใช้สองมือไปมองกระถางต้นไม้อย่างตั้งใจ
ใครจะคิด
เย่แจ๋หยิ่งกลับเดินขึ้นหน้า ใช้คางของเขาวางลงบนหัวของนาง ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือเปล่า มือของเขาทั้งสองข้างเหมือนกำลังโอบตัวนางไว้ มือข้างหนึ่งไปจับกระถาง ส่วนอีกข้างก็ที่เลือดยังคงไหลอยู่ยกขึ้นเหนือกระถางนิดหน่อย แล้วให้เลือดไหลลงไปบนใบไม้
แต่ว่าท่าทางแบบนี้ มันทำให้มือทั้งสองข้างของเขามันโอบนางไว้ ไออุ่นจากตัวเขามันส่งผ่านไปยังมือของนาง มันแผ่ลงลึกไปถึงในใจของนาง
“ท่าน ……”
เดิมคิดอยากพูดว่า เจ้าคิดจะลวนลามข้าเหรอ รบกวนเอามือของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้
แต่ว่า พอนางหันมามองเขา พบว่าเขาไม่ได้มองนางเลย อีกทั้งยังตั้งใจมองเลือดที่หยดลงไปในกระถางอยู่ด้วย
สายตาของเขานอกจากความเย็นชาแล้ว ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกเลย
มันทำให้หลานเยาเยารู้สึกรับมือได้ยาก
อาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ หากเขาบอกว่าเขาลวนลามนาง มันดูฝืน ๆ ไปหน่อย?
เพียงแต่ หากไม่พูดอะไรเลย ผู้ชายหล่อเหลาแบบเขาสัมผัสมือของนาง อีกทั้งตัวเขายังเหมือนแนบชิดหลังนางมาทั้งตัวแบบนี้
จะแก้ไขปัญหานี้ยังไง?
นางเป็นผู้หญิงปกตินะ
หือ ไม่สิ เป็นเด็กผู้หญิง เพราะนางยังไม่เคยมีความรักมาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้
ในใจเลยคิดอะไรเกินเลยไปบ้าง
หลานเยาเยารู้สึกอึดอัด ในหัวของนางคิดมีแต่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา กับร่างกายอันกำยำล่ำสันจนแทบกระอักเลือด ……
กำลังคิดอยู่ จมูกก็ร้อน เหมือนมีเลือดร้อน ๆ ไหลออกมาจากรูจมูกสองข้าง
“อุ้ย”
นางรีบเก็บมือกลับมา แล้วปิดไปที่ปากและจมูก มืออีกข้างหนึ่งของนางก็ผลักเย่แจ๋หยิ่งออก
“ข้าขอเตือนท่านก่อนนะ อย่าเข้าใกล้ข้าอีก ไม่อย่างนั้น ……” ข้าจะผลักเจ้าจนล้มแน่
ในใจก็คิดว่าถึงแม้จะคิดแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทำอีกอย่างหนึ่ง
เย่แจ๋หยิ่งหน้านิ่งลง สายตาของเขาดูอันตรายมาก
แต่ว่าตอนที่เขาเห็นหลานเยาเยาเอามือปิดปากและจมูกเอาไว้ เขาก็ตะลึงไปเพราะตามร่องมือของนางมันมีเลือดไหลออกมาด้วย
เขาหน้านิ่งไป
ผู้หญิงบ้า ในหัวจะต้องคิดอะไรลามกอยู่แน่
เขารีบเอากระถางวางกลับไปที่เดิม จากนั้นก็ถอยออกมา
หลานเยาเยาแอบถอนหายใจ ชายหนุ่มรูปงามอยู่ใกล้นางขนาดนี้ ทำหัวใจของนางเต้นแรงจนจะหลุดออกมาอยู่แล้ว หากเขาไม่ถอยออกไปอีกแล้วล่ะก็ คิดว่าเลือดกำเดาไม่หยุดไหลแน่
หลานเยาเยารีบหันไปนอกหน้าต่าง แล้วรีบเอาชายเสื้อมาเช็ดเลือดกำเดา
เมื่อเช็ดจนเกือบจะเรียบร้อยแล้ว ทหารที่ไปเอายาก็กลับมา
เดิมคิดอยากจะไปทำแผลให้กับเย่แจ๋หยิ่ง แต่พอนางหันกลับไป ก็เห็นเย่แจ๋หยิ่งนั่งอยู่ที่ขอบเตียงกำลังทำแผลให้ตัวเองอยู่
หลานเยาเยายักไหล่
ถือว่ายังพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
นางเลยเดินไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลง แล้ววางถ้วยชาที่มีเลือดอยู่บนโต๊ะ
นางคิดในใจว่าหลังจากเย่แจ๋หยิ่งไปแล้ว นางค่อยจัดการเก็บมันเข้าระบบไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน
หลานเยาเยาเหมือนจะรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นในเวลากลางคืน
“ฮัดเช้ย”
หลังจากที่นางจาม ในหัวของนางก็เริ่มมีสติขึ้น
เกือบจะหลับไปแล้ว
หลานเยาเยาก็เลยเตรียมที่จะลุกไปนอนที่เตียง แต่กลับพบว่าที่เตียงนั้นเย่แจ๋หยิ่งที่ไม่ควรนอนอยู่ที่นี่นอนอยู่ เลยอึ้งไปครู่หนึ่ง
นางขมวดคิ้วแล้วเดินไปหา
พบว่าเย่แจ๋หยิ่งนอนตะแคงอยู่ที่เตียง ท่าทางการนอนของเขาเท่ห์มาก เขาหายใจปกติ น่าจะหลับไปแล้ว
นางเลยใช้เท้าถีบไปที่เตียง เสียงก็ไม่ได้ดังมากไม่ได้เบามาก แต่มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเย่แจ๋หยิ่งที่เหมือนจะตื่นตัวได้ดีกว่าคนอื่น
ไม่ผิดอย่างที่คิด
ถีบไปไม่กี่ที เขาก็ลืมตาขึ้นมา แล้วมองมาที่นาง
เหมือนว่านางไปทำให้เขาตื่นขึ้นจากฝันดี สายตาของเขาไม่ดีเลย
“ทำไมท่านยังไม่ไปอีก?” นางถามเขา